เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 27 มกราคม ที่สำนักอัยการสูงสุด ถนนรัชดาภิเษก นายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด แถลงความคืบหน้ากรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ส่งสรุปสำนวนสั่งฟ้องนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร อดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน และพวกรวมสี่คน ในคดีฆาตกรรม บิลลี่-พอละจี รักจงเจริญ แกนนำชาวบ้านกะเหรี่ยงบ้านบางกลอย โดยระหว่างการแถลงข่าว นางสาวพิณนภา พฤกษาพรรณ หรือ ‘มึนอ’ ภรรยาของบิลลี่ ซึ่งเดินทางมายื่นหนังสือขอคำชี้แจงจากอัยการในกรณีดังกล่าว ขอเข้าร่วมฟังการแถลงข่าวด้วย
รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด แถลงว่า อัยการมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องนายชัยวัฒน์และพวก ในข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เนื่องจากหลักฐานไม่เพียงพอฟ้อง โดยหลังจากที่บิลลี่ถูกนายชัยวัฒน์และพวกควบคุมตัว มีพยานเห็นว่าเขาถูกปล่อยตัวแล้ว และมีพยานเห็นว่าบิลลี่ขี่รถจักรยานยนต์ออกไปแล้ว ต่อมาครอบครัวของบิลลี่ได้ยื่นคำร้องต่อศาลเพชรบุรี ขอให้นายชัยวัฒน์ปล่อยตัวนายบิลลี่ คดีนี้เป็นที่สุดแล้วโดยไปถึงศาลฎีกา มีการชี้ขาดว่า ผู้ต้องหาทั้งสี่ได้ปล่อยตัวบิลลี่ไปแล้ว
ในกรณีของการตรวจพิสูจน์กระดูก นายประยุทธกล่าวว่า “การตรวจพิสูจน์กระดูก ซึ่งเป็นวัตถุพยาน โดยวิธีไมโครควอเทรียม เห็นความเชื่อมโยงว่ากระดูกมีการไล่สาย DNA ไปทางยายและแม่ของบิลลี่ แต่วิธีนี้ไม่เพียงพอที่จะยืนยันตัวบุคคล หรือชี้ชัดเอกลักษณ์บุคคลได้ชัดเจนว่าเป็นบิลลี่จริงๆ อีกทั้งไม่มีความเชื่อมโยงใดๆ ที่บอกว่าจำเลยเป็นผู้ฆ่า เนื่องจากวัตถุพยานไม่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ เพราะถูกเผาด้วยความร้อนสูง และถูกแช่น้ำมาเป็นเวลาหลายปี”
อย่างไรก็ตาม อัยการคงมีความเห็นสั่งฟ้องนายชัยวัฒน์กับพวก ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ มาตรา 157 กรณียึดน้ำผึ้งป่าของบิลลี่ แล้วปล่อยตัวไปโดยไม่นำตัวส่งให้ตำรวจดำเนินคดีในข้อหาลักของป่า
ขณะนี้สำนักงานคดีพิเศษได้ส่งสำนวนพร้อมคำสั่งไปยังอธิบดีกรมสอบสวนพิเศษ (ดีเอสไอ) เพื่อพิจารณาตามขั้นตอนกฎหมายต่อไป หากมีความคืบหน้าคดีเป็นประการใด งานโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุดจะแถลงให้ทราบต่อไป
นายประยุทธ กล่าวด้วยว่า หากต้องการฟ้องเองจะต้องเขียนสำนวนคดีว่า มีการฆ่าบิลลี่อย่างไร ที่ไหน เมื่อไหร่ แต่ในชั้นนี้ถือว่าไม่พอฟ้อง เพราะไม่มีข้อเท็จจริงหรือประจักษ์พยาน และพยานแวดล้อมใดๆ ไม่เพียงพอที่จะระบุได้ว่านายชัยวัฒน์และพวกฆ่าบิลลี่ที่ไหน เมื่อไหร่ และวิธีใด อีกทั้งคดีอาญาสามารถฟ้องได้เพียงครั้งเดียว ศาลอาจยกฟ้องได้หากข้อมูลไม่เพียงพอ อย่างไรก็ตาม หากภรรยาบิลลี่ไม่เห็นด้วยกับคำตัดสิน ครอบครัวและภรรยาสามารถยื่นฟ้องได้ โดยนายประยุทธกล่าวว่า “ในแง่ของกฎหมายของไทย ญาติสามารถยื่นฟ้องเองได้ โดยทางอัยการจะให้ความร่วมมือเต็มที่”
ด้าน มึนอ ภรรยาของบิลลี่ ที่นำเอกสารที่เขียนด้วยลายมือ มายื่นต่ออัยการขอให้สำนักอัยการชี้แจงเหตุผลการยกฟ้อง กล่าวว่า รู้สึกผิดหวัง และไม่สบายใจมากที่อัยการมีคำสั่งไม่ฟ้อง หากหลักฐานไม่พอ เหตุใดจึงไม่วินิจฉัยต่อเพิ่ม ขอให้ชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษร
มึนอ ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวว่า เธอไม่เข้าใจบางส่วน โดยเฉพาะคำศัพท์ทางเทคนิคที่ยาก แต่ก็ยังเชื่อในนิติวิทยาศาสตร์ว่ากระดูกที่พบคือสามีของตนเอง ทั้งนี้หากคดีที่ยื่นฟ้องโดยกรมสอบสวนคดีพิเศษตกไป ก็อาจยื่นฟ้องด้วยตัวเอง จะไม่ปล่อยให้คดีนี้หลุดไปเฉยๆ เพราะไม่เชื่อว่าคนหนึ่งคนจะหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยได้
กรณีบิลลี่หายตัวไปเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อปี 2557 โดยเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2557 บิลลี่ หรือ นายพอละจี ถูกนายชัยวัฒน์และพวกควบคุมตัวไปพร้อมน้ำผึ้งป่า 3 ขวดแต่มีพยานเห็นว่าบิลลี่ถูกปล่อยตัวแล้ว ต่อมาทางครอบครัวของบิลลี่ร้องศาลจังหวัดเพชรบุรี ให้นายชัยวัฒน์ปล่อยตัวบิลลี่ ได้ความว่าบิลลี่ถูกปล่อยตัวออกมาแล้ว ในวันที่ 2 กันยายน 2557 ศาลฎีกายกคำร้องในคดีที่นายชัยวัฒน์ถูกกล่าวหา ตาม ป.วิอาญามาตรา 90 ควบคุมตัวบิลลี่โดยมิชอบด้วยกฎหมาย โดยให้เหตุผลว่าหลักฐานไม่เพียงพอ
ต่อมาวันที่ 28 มิถุนายน 2561 ดีเอสไอได้รับคดีการหายตัวไปของบิลลี่เป็นคดีพิเศษ และในวันที่ 3 กันยายน 2562 ดีเอสไอแถลงพบชิ้นส่วนกระดูกบิลลี่ถูกเผาถ่วงน้ำ โดยผลตรวจดีเอ็นเอตรงกับแม่ของบิลลี่
Tags: มึนอ, พอละจี รักจงเจริญ, คดีบิลลี่