ชื่อของ เจเรมี อัลเลน ไวต์ (Jeremy Allen White) กลับมาอยู่ในความสนใจของผู้คนอีกครั้งหลังซีรีส์ The Bear ซีซัน 2 (2023) ออกฉาย ซึ่งเอาเข้าจริงๆ ก็เป็นไปได้ว่า ชื่อของเขาไม่เคยหายไปจากหน้าสื่อเลย นับตั้งแต่การปรากฏตัวในซีรีส์คนทำครัวสุดโฉดที่ซีซันแรกออกฉายในปี 2022 และส่งเขาคว้ารางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม สาขาซีรีส์คอมเมดีจากเวทีเอ็มมี (Emmy Awards) และรางวัลลูกโลกทองคำ (Golden Globe Award) 

The Bear ว่าด้วยชีวิตอันชวนปวดเศียรเวียนเกล้าของ คาร์มี (แสดงโดย เจเรมี อัลเลน ไวต์) พ่อครัวหนุ่มดาวรุ่งที่ประจำอยู่ในภัตตาคารหรู ตัดสินใจกลับมาดูแลร้านอาหารเล็กๆ ในชิคาโกของ ไมค์ (แสดงโดย จอน เบิร์นธัล) พี่ชายที่ตัดสินใจจบชีวิตตัวเองไปโดยไม่บอกไม่กล่าว ทิ้งบาดแผลทางใจให้คาร์มี และ ริชชี (แสดงโดย อีบอน มอสส์-บาชรัช) ญาติสนิทที่ช่วยประคับประคองร้านอาหารไปพลาง ด่าทอคาร์มีไปพลาง 

แม้จะดูเหมือนเป็นไม้เบื่อไม้เมากันแค่ไหน แต่สิ่งที่คาร์มีและริชชีมีร่วมกัน (นอกไปเสียจากความเจ็บช้ำต่อการจากไปของไมค์) คือการหาทางให้ร้านอาหารอยู่รอดให้ได้ในสมรภูมิสุดเดือดของธุรกิจการทำอาหาร

ภายหลังจากความสำเร็จในซีซันแรก The Bear กลับมาพร้อมเส้นเรื่องของเหล่าตัวละครในร้านอาหารร้านเดิม กับความทะเยอทะยานใหม่เมื่อพวกเขาตัดสินใจมุ่งหวังคว้าดาวมิชลินมาประดับร้านท่ามกลางสถานการณ์ที่เอาแน่เอานอนใดๆ ไม่ได้ ทั้งการปิดปรับปรุงร้านที่มีเส้นตายต้องเปิดทำการให้ได้ตามกำหนด เงินทุนที่เหมือนจะร่อยหรอลงไปทุกที หรือการขอใบอนุญาตที่เต็มไปด้วยขั้นตอนแสนโกลาหล ทั้งซีรีส์ยังพาไปสำรวจความสัมพันธ์อันขมขื่นของครอบครัวคาร์มี ในวันที่ไมค์พี่ชายผู้เป็นที่รักของเขายังมีชีวิตอยู่

ในซีซันนี้ การกลับมาของ เจเรมี อัลเลน ไวต์ ในฐานะคาร์มี เชฟหนุ่มกับชีวิตที่เหมือนจะอับปางลงทุกขณะ ก็ยังได้รับคำยกย่องชมเชยอย่างหนาหูในแง่การถ่ายทอดมิติต่างๆ ของตัวละครได้อย่างละเอียดอ่อน 

สำหรับ อัลเลน ไวต์ เอง ที่เติบโตในครอบครัวที่มีพ่อแม่เป็นนักแสดงสายละครเวที การแสดงจึงไม่ใช่เรื่องไกลตัวนัก 

“ผมรู้ตัวมาตลอดแหละว่าสนใจการแสดงอยู่ไม่น้อย” อัลเลน ไวต์ กล่าวเช่นนั้น 

แต่ทว่าเขาก็ไม่ได้กระโจนเข้ามาเป็นนักแสดงตั้งแต่แรก เขามุ่งมั่นเรียนเต้นตั้งแต่เด็กและเชี่ยวชาญเกือบทุกศาสตร์ ไม่ว่าจะบัลเลต์ แจ๊ซ ไปจนถึงการเต้นแท็ป ซึ่งหมกมุ่นเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวร่างกายเช่นนี้ ส่งผลให้ตอนอายุ 13 เขาก็ได้เข้าเรียนโรงเรียนมัธยมศึกษาในนิวยอร์ก

“ผมว่าตัวเองอาจไม่ได้ชอบเต้นขนาดนั้นมั้ง ก็เลยคิดจะลองไปเข้าเรียนการแสดงดู” อัลเลนเล่าถึงช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อในวัยมัธยมศึกษา “แล้วผมโชคดีด้วยล่ะที่ได้เจอครูสอนการแสดงที่เก่งเอามากๆ แล้วถ้าเขาเห็นว่าเด็กคนไหนมีแววหรือมุ่งมั่นอยากแสดงจริงๆ เขาจะลองส่งเด็กๆ เหล่านั้นไปออดิชันหนัง ละครเวทีหรือโฆษณาดู”

เป็นเหตุให้ อัลเลน ไวต์ ได้ประเดิมงานแสดงในบทเล็กๆ ตั้งแต่ปี 2006 แต่ทว่าหลายคนอาจจำเขาได้จากผลงานใน 2 ปีถัดมาอย่าง Afterschool (2008) หนังดราม่าปวดประสาทของผู้กำกับ อันโตนิโอ คัมโปส (Antonio Campos) ผู้ที่ในเวลาต่อมาจะกลับมาเขย่าขวัญคนดูอีกครั้งใน Simon Killer (2012) และ The Devil All the Time (2020) โดย Afterschool เล่าถึง โรเบิร์ต (แสดงโดย เอซรา มิลเลอร์) เด็กหนุ่มที่หมกมุ่นกับวิดีโอในอินเทอร์เน็ต เขาบังเอิญเจอเด็กนักเรียนหญิงฝาแฝดเสียชีวิตจากการเสพสารที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย และแทนที่จะช่วยเหลือเพื่อนนักเรียนด้วยกัน โรเบิร์ตกลับบันทึกภาพพวกเธอไว้ในกล้องวิดีโอที่เขาถือติดมืออยู่

Afterschool เป็นหนังแจ้งเกิดของคัมโปสและมิลเลอร์ พร้อมกันนี้มันก็เป็นหนังยาวลำดับที่สามของ อัลเลน ไวต์ เขารับบทเป็น เดฟ เพื่อนร่วมชั้นเรียนของโรเบิร์ต เด็กหนุ่มที่มักแกร่วอยู่ในห้องด้วยกัน และด้านหนึ่งยังเป็นคนที่เกี่ยวโยงกับยาเสพติดที่ระบาดอยู่ในโรงเรียนด้วย

ผลงานต่อมาที่น่าสนใจคือ Movie 43 (2013) หนังสุดเหวอที่รวม 12 ผู้กำกับ กับ 14 เรื่องเล่าไว้ในหนังเรื่องเดียว กับนักแสดงลำดับต้นๆ ของฮอลลีวูดทั้ง เจอราร์ด บัตเลอร์ (Gerard Butler), ฮิวจ์ แจ็คแมน (Hugh Jackman), เอ็มมา สโตน (Emma Stone), อูมา เธอร์แมน (Uma Thurman), คริส แพร็ตต์ (Chris Pratt) และ นาโอมิ วัตต์ส (Naomi Watts) ซึ่งแสดงร่วมกับอัลเลน ไวต์ ในตอน Homeschooled ว่าด้วยเรื่องสุดวายป่วงของสองผัวเมียมิลเลอร์ (แสดงโดย วัตต์ส และ ลีฟ ชไรเบอร์) ที่ตัดสินใจให้ เควิน (แสดงโดย อัลเลน ไวต์) ลูกชายวัยรุ่นของทั้งคู่ออกจากการศึกษาในระบบแล้วมาเรียนโฮมสคูล เพื่อแก้ปัญหาสารพัดทั้งการถูกกลั่นแกล้ง ตลอดจนการใช้ความรุนแรงในโรงเรียน และเพื่อจะทดแทนประสบการณ์ที่พ่อหนุ่มเควินอาจขาดหายจากการไม่ได้ไปเรียนโรงเรียนในระบบ พวกเขาเลยพยายามสร้างประสบการณ์จำลองทุกอย่างที่โรงเรียนจะมอบให้เควินได้ ไม่ว่าจะงานปาร์ตี้สุดเฮ้ว ไปจนถึงการมี ‘จูบแรก’ ของเด็กหนุ่ม!

อย่างไรก็ดี ความเซอร์แตกของหนังทั้งเรื่องที่วางตัวเองเป็นหนังตลกเสียดสี ที่สำหรับหลายๆ คนแล้วก็กลับกลายเป็นการสร้างความกระอักกระอ่วนระหว่างดู (ตอน Homeschooled ก็เป็นหนึ่งในตอนที่ได้รับคำวิจารณ์ว่า ‘โคตรชวนกระอักกระอ่วน’) ทำให้นักแสดงหลายสิบชีวิตจากหนังทั้งเรื่อง ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล ‘นักแสดงกลุ่มยอดแย่’ จากเวทีราสเบอร์รีทองคำในปีนั้นไปโดยปริยาย แต่ก็ยังพ่ายให้สองพ่อลูก วิลล์ สมิธ​ (Will Smith) และ จาเด็น สมิธ (Jaden Smith) ผู้เข้าชิงด้วยกันจาก After Earth (2013)

ส่วนตัวหนัง Movie 43 คว้ารางวัลจากเวทีนี้ไปสามสาขาด้วยกันคือ ภาพยนตร์ยอดแย่แห่งปี, กำกับยอดแย่แห่งปี และบทภาพยนตร์ยอดแย่แห่งปี (ฮือ)

ทั้งนี้ แม้จะถูกนำเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลสุดเหวอไปอย่างงงๆ แต่ปีนั้นก็ไม่ใช่ปีที่แย่ของอัลเลน ไวต์ เมื่อซีรีส์ Shameless (2011-2021) ที่เขาร่วมแสดงฮิตติดลมบน ตัวซีรีส์เล่าถึงความพินาศของบ้านกัลลาเกอร์ ครอบครัวชนชั้นแรงงานในเซาธ์ไซด์ ชิคาโก รัฐอิลลินอยส์

แฟรงค์ (แสดงโดย วิลเลียม เอช มาซี) พ่อและหัวหน้าครอบครัวกัลลาเกอร์จอมหลงตัวเอง ที่ผลาญเวลาแต่ละวันไปกับเหล้าและรำลึกความชอกช้ำในอดีตของตัวเอง โดยที่ลูกๆ อีกหกคนกลายเป็นคนที่คอยแบกรับบาดแผลของแฟรงค์ และอีกด้านหนึ่งพวกเขาก็ทำร้ายกันและกันทั้งที่รู้และไม่รู้ตัว 

อัลเลน ไวต์ รับบทเป็น ฟิลลิป หรือ ลิป ลูกชายคนโตที่ดูเหมือนจะเก่งกาจไปหมดเสียทุกด้าน แต่กลับเสียเวลาส่วนใหญ่ของชีวิตไปกับอาการติดเหล้าแบบเดียวกับแฟรงค์ผู้เป็นพ่อ 

“ผมว่าลิปฉลาดกว่าผมมาก คือผมชอบรับบทเป็นตัวละครนี้นะเพราะได้ทำอะไรต่อมิอะไรที่คิดอยากทำมาตลอด แต่ไม่เคยมั่นใจพอจะทำได้เลย” อัลเลน ไวต์ว่า “กระนั้น ผมก็ไม่คิดว่าผมเหมือนกับลิปหรอก เว้นก็แต่ว่าเราต่างรักครอบครัวตัวเองมากๆ เหมือนกัน ผมนี่เป็นพวกที่จะปกป้องพี่สาว น้องชายตัวเองแบบสุดตัวแน่ๆ แต่นอกนั้นผมกับลิปก็ไม่มีอะไรเหมือนกันเท่าไร”

บทฟิลิปส่งให้ อัลเลน ไวต์ กลายเป็นที่รู้จักในวงกว้างอย่างไม่ต้องสงสัย เขาเล่าว่าช่วงปีแรกๆ ที่ซีรีส์ออกฉาย มีหลายคนที่เดินมาทักเขาขณะเดินอยู่ในที่สาธารณะ และเอ่ยชมเชยการแสดง “เพื่อนผมกับผมนี่สุดจะทึ่งเลย ผมตอบกลับไปประมาณว่า ‘ว้าว คุณใจดีจังที่ชมแบบนั้น’ ผมอยากให้คนใจดีต่อกันแบบนี้อยู่เรื่อยๆ นะ พวกเขาอาจคิดว่าการชื่นชมกันแบบนี้มันไม่ได้มากมายอะไร แต่จริงๆ มันชวนชื่นใจมากเลย”

และนั่นจึงมาถึง The Bear ซีรีส์ที่ อัลเลน ไวต์ ระบุว่า พาเขาไปหาคนดูกลุ่มใหม่ๆ ที่เป็นวงกว้างกว่าเดิมรู้จัก และสำหรับซีซันที่ 2 นี้ ซีรีส์พาสำรวจอดีตที่ก่อร่างสร้างให้คาร์มีกลายเป็นตัวละครที่เต็มไปด้วยบาดแผลและหลีกเลี่ยงจะพูดถึงครอบครัวตัวเอง 

“คาร์มีเป็นคนไม่ค่อยพูด และถ้าคุณได้ดูซีซันนี้คุณจะรู้เลยว่าทำไมเขาถึงกลายเป็นคนเงียบขรึม เก็บเนื้อเก็บตัวอย่างนั้น” อัลเลน ไวต์บอก 

“ก็ใช่แหละที่เวลาเราพูดถึงคาร์มีกับบาดแผลของเขา กับไอ้เรื่องที่เขาเอาความพังของตัวเองติดมาเวลาอยู่ในห้องครัว มันช่างโกลาหล มันช่างเป็นงานที่ยาก กินทั้งเวลาทั้งแรง เพราะเขาเป็นพวกมีบุคลิกเฉพาะตัวที่เด่นชัดมากๆ แถมบ่อยครั้งยังมีบุคลิกที่โหดร้ายเอามากๆ ด้วย กระนั้น ตอนที่ผมดูซีรีส์ ได้เห็นตัวละครอื่นๆ รวมทั้งฉากที่ริชชีได้ไปฝึกงานในภัตตาคารระดับสามดาว ผมก็รู้สึกว่าตัวละครพวกนี้สร้างแรงบันดาลใจ และเป็นพวกที่ลึกๆ แล้วก็ห่วงใยกันและกันไม่น้อยเลยด้วย”

และแม้ตัวซีรีส์ The Bear จะคว้าความสำเร็จถล่มทลาย ทั้งยังส่งให้ อัลเลน ไวต์ กลายเป็นหนึ่งในนักแสดงแถวหน้า แต่เขาก็ยังต้องเผชิญกับปัญหาขาดความมั่นใจในตัวเองอยู่เนืองๆ 

“มันก็ดีจริงๆ แหละ ที่ซีรีส์ The Bear ซึ่งผมแสดงประสบความสำเร็จ ตัวผมเองก็ทำงานตรงนั้นได้ดี ได้รางวัลและอะไรต่อมิอะไร ซึ่งทำให้ในที่สุดแล้วผมก็รู้สึกเสียทีว่า เออ เราอาจจะเหมาะกับงานนี้อยู่หน่อยๆ ก็ได้นะ

“แต่มันก็น่าขายขี้หน้าหน่อยๆ ที่ต้องใช้เวลาถึง 15 ปีในแวดวงการแสดง กว่าที่ผมจะเริ่มรู้สึกว่า ‘จริงๆ แล้วเราก็อาจจะมีฝีมือด้านนี้อยู่มั้งนะ’ ซึ่งผมก็อยากมั่นใจในตัวเองโดยไม่ต้องมีเงื่อนไขแบบนี้พ่วงอยู่ด้วย และก็หวังให้นักแสดงรุ่นใหม่ๆ เจอหนทางที่ใช่ในแบบของตัวเองนะ”

หลังจากนี้อีกหนึ่งโปรเจกต์ที่น่าจับตาของอัลเลน ไวต์ ถัดจากนี้คือ The Iron Claw (2023) หนังที่ดัดแปลงจากเรื่องราวของบ้าน วอน เอริช ครอบครัวนักมวยปล้ำชื่อกระฉ่อนของอเมริกา เมื่อสมาชิกสามในห้าของพี่น้องบ้านวอน เอริช ตัดสินใจปลิดชีพตัวเองและกลายเป็นโศกนาฏกรรมที่ถูกเรียกว่า ‘คำสาปบ้านวอน เอริช’ ในเวลาต่อมา

ตัวหนังถูกจับตาตั้งแต่ยังไม่ออกฉาย เพราะนอกจากจะเพียบไปด้วยนักแสดงระดับต้นๆ ของวงการอย่าง อัลเลน ไวต์, แซ็ค แอฟรอน (Zac Efron), แฮร์ริส ดิกคินสัน (Harris Dickinson), ลิลี เจมส์ (Lily James) และ โฮลต์ แม็กคัลลานี (Holt McCallany) แล้ว ภาพที่ถูกปล่อยออกมาระหว่างการถ่ายทำก็ ‘สุดเดือด’ โดยเฉพาะเหล่านักแสดงนำชายที่ต้องปั้นร่างให้ล่ำบึ้กสุดขีดแบบนักมวยปล้ำ 

“เราต้องกินกันทั้งวัน แบบว่ากินกันไม่หยุดไม่หย่อนเลย” อัลเลน ไวต์เล่าถึงกระบวนการเสริมกล้ามเนื้อของเขาและเพื่อนนักแสดง “ตอนเช้า ผมกินวาฟเฟิล เนยอัลมอนด์ จากนั้นก็กินไส้ไก่งวงแล้วก็อะโวคาโด้จนหมดวัน โคตรอึ๋ยเลยจะบอกให้ เราแค่ต้องพยายามกินให้ได้มากที่สุดเท่าที่เราจะกินไหว และด้วยความสัตย์เลยนะครับ ผมไม่ได้รู้สึกดีอะไรทั้งนั้น คือผมก็ต้องออกกำลังกายด้วยแหละ แต่ไม่รู้สิ การต้องตัวใหญ่ขนาดนั้นมันไม่ใช่ทางผมเลยอะ”

Tags: , , , , , ,