หากโจทย์คือการนึกถึงภาพเมืองต่างๆ ในประเทศจีน เชื่อว่าหลายคนคงนึกถึงนครเซี่ยงไฮ้หรือปักกิ่ง ขึ้นมาเป็นลำดับแรกๆ เพราะเป็นเมืองขนาดใหญ่และเป็นที่รู้จักในฐานะเมืองท่องเที่ยวของจีน
แต่หากโจทย์คือการนึกถึงเมืองที่ยังไม่เป็นที่รู้จักในแวดวงการท่องเที่ยวของจีนนั้นคงเป็นเรื่องยากจะนึกถึงสำหรับประเทศที่มีพื้นที่ราว 9.6 ล้านตารางกิโลเมตร
เช่นเดียวกับนักเขียนที่ยังนึกภาพไม่ออก ทันทีที่ได้ทราบว่าตนจะได้เดินทางไปยังเมืองหนานหนิงและชินโจวของเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง สาธารณรัฐประชาชนจีน แม้ว่ามณฑลดังกล่าวจะมีอาณาเขตติดกับประเทศเวียดนามซึ่งอยู่ไม่ไกลจากไทยมากนัก
เมื่อเราไม่รู้จักเมืองนี้ การเดินทางไปจีนในครั้งนี้ (ซึ่งเป็นครั้งแรก) จึงเป็นการเดินทางแบบ ‘แบลงก์ๆ’ ไม่เคยเห็นรูปร่างหน้าตาของเมือง ไม่รู้การกินการอยู่ แม้กระทั่งชื่อของเมืองยังไม่คุ้นหู เป็นความน่าตื่นเต้นอีกแบบของการเดินทาง และนี่คือบันทึกทั้งหมดในทริปนี้

เมืองสีเขียว
น่าจะราวๆ 2 ชั่วโมงได้กระมัง ที่ผู้เขียนกับคณะนั่งจ้องตากันบนเครื่องบิน สื่อสารกันผ่านความเงียบว่า พวกเราตื่นเต้นกันแค่ไหนที่จะได้ไปเหยียบแผ่นดินแดนมังกรครั้งแรก แม้บางคนจะเคยผ่านมาแล้วทั้งฮ่องกง เซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง เฉิงตู แต่ทริปนี้่แตกต่าง เพราะหากถามคนไทยที่ร่วมเดินทางมากับเราในครั้งนี้ว่า ‘รู้จักไหมเมืองที่เราจะไปกัน’ ก็คงส่ายหัวกันเกือบทั้งลำ
หนานหนิง ซึ่งเป็นเมืองแรกของทริปนี้ ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของจีน เป็นเมืองเอกของเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง ด้วยความเป็นเมืองเอกนี้เอง จึงทำให้หนานหนิงมีความน่าสนใจในหลากหลายด้าน ในแง่ของการเป็นหน้าเป็นตาให้กับเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง เมืองนี้ได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘นครสีเขียวของจีน’ ซึ่งมองด้วยตาเนื้อก็ไม่ทำให้แปลกใจที่เขาจะได้ฉายานี้ไป เพราะคนจีนเล่นปลูกต้นไม้จนเขียวทั้งเมือง ซึ่งผลลัพธ์ของการมีต้นไม้เยอะก็ค่อนข้างเด่นชัด เงาไม้ทำให้อากาศในเมืองเย็นลงแม้มีแดดจ้า ชาวจีนที่ขับรถยนต์จึงไม่นิยมเปิดเครื่องปรับอากาศ แต่เลือกลดกระจกรับลมแทน

สิ่งที่ผู้เขียนสังเกตเห็นระหว่างทางจากท่าอากาศยานหนานหนิงอู๋ซูไปโรงแรมหนานหนิงหรงหรง คือความนิยมใช้ยานพาหนะไฟฟ้าของคนท้องถิ่น ซึ่งแยกได้ผ่านสีของป้ายทะเบียนรถที่แตกต่างกัน โดย ‘สีฟ้า’ หมายถึง ยานพาหนะยังคงใช้น้ำมัน ส่วน ‘สีเขียว’ หมายถึง ยานพาหนะที่ใช้พลังงานใหม่ หรือเรียกง่ายๆ ว่ารถไฟฟ้า ซึ่งโดยทั่วไปรถไฟฟ้ามักได้รับสิทธิประโยชน์ที่ดีกว่า ไม่ว่าจะเป็นภาษี ราคาที่เข้าถึงได้ รวมไปถึงข้อกำหนดของบางเมืองที่พยายามจำกัดการใช้งานรถสันดาป ส่งผลให้ชาวเมืองหันมานิยมรถไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
สำหรับนักเดินทางที่ยังคงมีพลังงานเหลือจากการเก็บสัมภาระเข้าโรงแรม ผู้เขียนแนะนำให้ท่องเมืองหนานหนิงในช่วงเย็น เหตุผลก็เพราะชีวิตของเมืองแห่งนี้นั้นคึกคักอย่างมากหลังพระอาทิตย์ตก และจะคึกคักเป็นพิเศษตามตรอกซอยที่มีตลาดนัด
เอาที่ผู้เขียนได้มีโอกาสเดินทางไปคือ ‘สามถนนสองซอย’ (三街两巷) ชื่อตั้งตามผังของย่านที่มีถนนสายหลัก 3 สายกับอีก 2 ซอย จุดนี้เป็นแหล่งรวมอาคารเก่าแก่ตั้งแต่ปลายราชวงศ์ชิงจนถึงยุคสาธารณรัฐ ที่มีโครงสร้างหลักเป็นอิฐและไม้ และมีหลังคาแบบโบราณ โดยรัฐบาลหนานหนิงปรับปรุงให้กลายเป็นย่านท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม เปิดพื้นที่ให้กับร้านอาหารพื้นเมืองและอาหารสมัยใหม่เข้าไปทำในพื้นที่ ควบคู่ไปกับการเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ของเมือง
อย่างไรก็ตามแม้จะเป็นย่านที่ขึ้นชื่อเรื่องความเก่าแก่ แต่ประชาชนชาวจีนที่เดินทางมาท่องเที่ยว ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเด็กรุ่นใหม่วัยนักเรียน-นักศึกษา ย่านนี้จึงถือเป็นการบรรจบกันระหว่างอดีตกับปัจจุบันของหนานหนิงไปกลายๆ
ที่สำคัญ ใครที่เดินทางมาย่านเมืองเก่าในหนานหนิง อย่าลืมเก็บภาพการแสดงแสงไฟของเหล่าอาคารสูงที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ ช่วงกลางคืน เป็นภาพบรรยากาศที่ไม่ควรพลาดจะบันทึกเอาไว้จริงๆ

เมือง AI
เป็นที่ทราบกันดีว่า หนึ่งในการแข่งขันระหว่าง 2 ประเทศยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอย่างจีนและสหรัฐอเมริกานั้นหนีไม่พ้นการแข่งขันด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งสหรัฐฯ ได้ประกาศแผนปฏิบัติการ AI ในชื่อ ‘Winning the Race: America’s AI Action Plan’ ไปก่อนหน้านี้ เพื่อทำขยับตัวเองให้เป็น ‘ผู้นำ’ ด้านปัญญาประดิษฐ์ ขณะเดียวกันประเทศจีนก็ประกาศแผนปฏิบัติการ AI ในที่ประชุมปัญญาประดิษฐ์โลกตามหลังสหรัฐฯ มาติดๆ
การเดินทางมายังเมืองหนานหนิงในครั้งนี้ หนึ่งในจุดหมายคือ การเดินทางมายัง China-ASEAN Artificial Intelligence Collaborative Center สถานที่แห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อหวังให้เป็นศูนย์รวมนวัตกรรมและความร่วมมือด้าน AI จีน-อาเซียน เพราะในแผนปฏิบัติการด้าน AI จีนเน้นสร้างความร่วมมือพัฒนาและวิจัยร่วมกับประเทศอื่น มีการแบ่งปันข้อมูลแบบเปิด พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานข้ามพรมแดน และมีการฝึกอบรมความรู้ AI ในกลุ่มประเทศอาเซียนภายใต้แผน AI Plus ที่ต้องการผนวกปัญญาประดิษฐ์ให้เป็นส่วนหนึ่งของทุกภาคอุตสาหกรรม

ด้วยภูมิศาสตร์ของหนานหนิงที่ตั้งอยู่ใกล้กับประเทศเวียดนาม เมืองนี้จึงถูกตั้งเป้าให้เป็นประตูสู่อาเซียนที่ไม่เพียงแต่ส่งออก-นำเข้าสินค้าเกษตรเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการส่งออกเทคโนโลยี โดยเฉพาะ AI ไปยังกลุ่มประเทศอาเซียนอีกด้วย
ภายในศูนย์ถูกออกแบบให้มีความทันสมัย มีระบบจอสัมผัสติดตั้งอยู่ตลอดทางเดิน รวมไปถึงอุปกรณ์ที่เป็นผลิตภัณฑ์จากจีน โดยมีการเสริมระบบ AI เข้าไปอยู่ในระบบการทำงานของอุปกรณ์ต่างๆ ซึ่งมีหลายสิ่งที่น่าสนใจ เช่น แว่นแปลภาษาที่สามารถแปลคำพูดของคู่สนทนามาเป็นภาษาจีนหรือภาษาอื่นๆ ได้อย่างรวดเร็ว โดยจะมีการแสดงคำแปลอยู่ที่เลนส์ของแว่น
น่าสนใจว่า จีนได้ใช้ระบบ AI ในการควบคุมการจราจรและตรวจตราคนกระทำความผิดตามกฎหมายด้านการจราจรอย่างเข้มข้น ผ่านทรัพยากรที่มีอยู่แล้ว เช่น กล้องวงจรปิด ที่จะช่วยตรวจจับการกระทำผิดได้อย่างแม่นยำ รวมไปถึงการนำระบบ AI มาใช้ในการวินิจฉัยอาการของโรคเพื่อลดขั้นตอนและภาระของบุคลากรทางการแพทย์ ผ่านเครื่องมือที่ออกแบบมาให้ตอบโจทย์กับการใช้งานทางการแพทย์

ในฐานะที่จะก้าวเข้าสู่การเป็นเมืองศูนย์กลางด้าน AI หนานหนิงยังใช้ระบบ AI กับการทำงานด้านการสื่อสารมวลชน ซึ่งในฐานะของสื่อมวลชนด้วยกัน ผู้เขียนได้เดินทางไปยังศูนย์การสื่อสารนานาชาติกว่างซี และพบว่า การทำงานข่าวของที่นี่ใช้ AI เข้ามาสนับสนุนการทำงานแทบทุกกระบวนการ ทั้งการเขียนบทความ เลือกรูปภาพ ทำวิดีโอ และแปลภาษา ทั้งยังมีการยกระดับให้ AI สามารถทำหน้าที่เป็นผู้ประกาศข่าวได้ ทั้งนี้จากการสอบถามกับเจ้าหน้าที่ภายในสำนักข่าวได้คำตอบที่พอจะทำให้ใครหลายคนสบายใจ นั่นคือทุกขั้นตอนยังคงอยู่ในกำกับดูแลของบุคลากรที่เป็นมนุษย์อยู่ ดังนั้นนี่จึงไม่ใช่การปล่อยให้ AI เข้ามามีส่วนร่วมในการทำงานทั้งหมด
ทั้งนี้แม้ระบบจะยังต้องการการพัฒนาอีกมาก แต่การได้มองเห็นเทคโนโลยีที่เคยอยู่ในจินตนาการอย่างแว่นแปลภาษา ยิ่งทำให้คิดว่าทุกสิ่งที่เคยฝันเมื่อตอนเด็กในอนาคตอันใกล้อาจจะเป็นไปได้ทั้งหมด

อนาคตทางเศรษฐกิจจีน-อาเซียน
เป้าหมายของทริปเดินทางมายังจีนที่มณฑลกวางซีในครั้งนี้ คือการมองเห็นความก้าวหน้าของจีนที่สะท้อนถึงความพร้อมในการเป็นประตูสู่อาเซียน จึงจะเป็นเรื่องที่ผิดมหันต์หากไม่ได้ไปเยี่ยมเยือนจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญทางการค้าของมณฑลกวางซี
จุดยุทธศาสตร์ที่ว่านี้จะต้องเดินทางข้ามจากเมืองหนานหนิง มายังเมืองชินโจว เป็นเมืองท่าของเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง เมืองนี้มีท่าเรือที่ชื่อว่า ‘ชินโจว’ ตั้งอยู่ในเขตเศรษฐกิจอ่าวเป่ยปู้ และเป็นท่าเรือที่หันหน้าออกไปยังกลุ่มประเทศอาเซียนด้วย

แต่ความพิเศษไม่ได้อยู่ที่ภูมิศาสตร์ของท่าเรือแห่งนี้เพียงอย่างเดียว ทว่าระบบการทำงานของท่าเรือก็มีความน่าสนใจ เนื่องจากเป็นท่าเทียบเรือแห่งแรกที่มีการขนส่งตู้คอนเทนเนอร์อัตโนมัติเต็มรูปแบบแห่งแรกของจีน ซึ่งใช้เงินลงทุนไปกว่า 7,100 ล้านหยวน (ประมาณ 3.2 หมื่นล้านบาท) ดังนั้นหากใช้กล้องซูมดูจะเห็นว่า ตู้คอนเทนเนอร์แต่ละตู้ถูกขนย้ายจากเครนยกไปยังรถไฟ เพื่อขนต่อเข้าสู่ประเทศโดยไร้คนขับ
การใช้ระบบดังกล่าว ทำให้การใช้คนเข้ามาทำหน้าที่นี้ลดลงเหลือเพียง 10% เท่านั้น พนักงานในจำนวนนี้ก็ทำงานยาวนานขึ้นเนื่องจากมีความปลอดภัยในการทำงาน ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ที่พาชมการทำงานของท่าเรือชินโจวก็แว่วมาเหมือนกันว่า การที่ท่าเรือแห่งนี้สามารถทำงานได้อย่างอัตโนมัติเป็นส่วนใหญ่ ทำให้เกิดการจ้างงานผู้หญิงเข้ามาทำงานมากยิ่งขึ้น
และเช่นเคย ท่าเรืออัจฉริยะแห่งนี้ยังคงใช้ระบบ AI ในการตรวจจับสิ่งแปลกปลอมที่จะเข้าไปขัดขวางการทำงานอัตโนมัติของท่าเรือ เช่น คนหรือรถ ขณะที่เครนยกมีระบบในการอ่านที่อยู่ตามตัวเลขที่ติดไปกับตู้คอนเทนเนอร์ ดังนั้นจึงมีเพียง 10% ที่เป็นมนุษย์คอยกำกับดูแลการทำงานของท่าเรือแห่งนี้


นอกจากท่าเรือแห่งนี้ เรายังได้มีโอกาสพิเศษสุดๆ ในการเข้าไปชมอภิมหาโปรเจกต์ของจีนได้แก่ ‘คลองผิงลู่ ’ (Pinglu Canal, 平陆运河) โครงการขุดคลองขนาดใหญ่ที่ปัจจุบันมีความคืบหน้าแล้วกว่า 80% ในระยะเวลาการก่อสร้างตั้งแต่เริ่มเมื่อปี 2022 โดยใช้งบลงทุนไปราว 6.17 หมื่นล้านหยวน (ประมาณ 2.8 แสนล้านบาท) เพื่อเพิ่มศักยภาพในการคมนาคมขนส่งและการค้าระหว่างจีนกับภูมิภาคอาเซียน

คลองผิงลู่อยู่ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 14 และแผนแม่บทระเบียงการค้าเชื่อมทางบกกับทางทะเลแห่งภาคตะวันตก (New Western Land-Sea Corridor) นับเป็นการขุดคลองครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์จีนยุคใหม่ ด้วยความยาวกว่า 134.2 กิโลเมตร ตั้งแต่ปากน้ำผิงถัง เมืองเหิงโจว สิ้นสุดที่อ่าวเป่ยปู้ เปิดเป็นเส้นทางเดินจากพื้นที่ตอนในกว่างซีออกสู่ทะเลจีนใต้
หากใครนึกภาพไม่ออกว่า หน้าตาของโครงการนี้จะเป็นอย่างไร ให้นึกถึง ‘คลองสุเอซ’ ซึ่งเป็นคลองที่มนุษย์ขุดขึ้นในประเทศอียิปต์ และจีนกำลังจะทำสิ่งนี้เพื่อเปิดเส้นทางการเดินเรือใหม่ที่เร็ว ง่าย และประหยัดที่สุด คาดว่าอาจประหยัดได้ถึง 5,200 ล้านหยวน (ประมาณ 2.36 หมื่นล้านบาท) เลยทีเดียว

อย่างไรก็ดี การเดินทางมาจีนในครั้งนี้ แม้จะไม่ได้ไปเยือนเมืองชื่อดัง แต่การพัฒนาอย่างรวดเร็วในเมืองที่ยังไม่เป็นที่รู้จักมากนักในหมู่ชาวต่างชาติ ยิ่งทำให้เห็นว่า จีนไม่ได้ละทิ้งการพัฒนาเมืองอื่นๆ นอกเหนือจากเมืองท่องเที่ยว และยังคงวางบทบาทใหม่ๆ ที่ไม่ใช่เฉพาะการเป็นเมืองท่องเที่ยวให้กับหลายเมืองในมณฑลต่างๆ อย่างต่อเนื่อง
และการพัฒนาดังกล่าวก็เป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการที่ประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะไทยจะต้องนำมาถอดบทเรียน พัฒนา หรือแม้กระทั่งเตรียมที่จะรับมือกับความก้าวหน้าที่ก้าวกระโดดของประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะจีนด้วย
เพราะหากเราช้า เราก็จะล้าหลัง แต่หากเราตามทัน ไม่แน่ว่าวันหนึ่งประเทศไทยก็อาจจะก้าวหน้าได้แบบที่จีนทำ หรืออาจจะแซงหน้าหลายๆ ประเทศที่เรายังตามเขาอยู่ก็เป็นได้





