ที่งานเปิดนิทรรศการศิลปะในบาร์เฟติช (Fetish Bar) แห่งหนึ่งย่านพัฒน์พงศ์ หญิงสาวคนหนึ่งดึงดูดสายตาของผม เธอเป็นสาวใส่แว่นผมยาว แต่งตัวเรียบง่าย ดูเป็นผู้หญิงเรียบๆ ธรรมดาคนหนึ่ง แต่ที่ดึงดูดและชวนให้ผมแปลกใจ คือทำไมสาวเนิร์ดๆ อย่างเธอถึงมาสถานที่แบบนี้คนเดียว เธอยืนอยู่ในเงาของแสงสีแดงและจังหวะของเสียงดนตรีที่เร่งเร้าท่ามกลางคนรักงานศิลปะที่แต่งตัวมีสไตล์เป็นของตัวเอง เช่นเดียวกับที่ผมยืนอยู่ในเงาสีแดงฝั่งตรงข้าม จึงเห็นเธอยืนนิ่งพลางสังเกตเหตุการณ์ตรงหน้าและผู้คนที่เดินวนเวียนอยู่ในงาน
ระหว่างกำแพงของเธอและผมคือโต๊ะกลางตัวใหญ่ ซึ่งหญิงสาวใส่หน้ากาก ปากของเธอถูกอุดด้วยก้อนกลมๆ ให้อ้าค้างอยู่แบบนั้น เธอถูกมัดมือและขานอนอวดร่างเปลือยเปล่า เพียงเพื่อให้หญิงสาวอีกคนในชุดหนังวางผลไม้บนร่างกาย ซึ่งถูกใช้เหมือนเป็นภาชนะอาหารว่างให้บรรดาแขกเหรื่อที่เข้ามาชมงาน
ภายในห้องจัดนิทรรศการเต็มไปด้วยเครื่องไม้เครื่องมือของการทรมานที่เห็นในหนังเรท X เช่น เตียงทรมาน โซ่ที่ห้อยลงมาจากเพดาน เก้าอี้ไม้แข็งแรงคล้ายเก้าอี้ไฟฟ้า กุญแจมือ แส้ และอุปกรณ์อื่นๆ ขณะผมเดินดูงานภาพสีน้ำที่เสนออวัยวะเพศชายหญิง ภาพถ่ายตุ๊กตายาง หญิงสาวใส่แว่นหายไปจากที่เธอยืนอยู่ ไม่นานเมื่อแขกเหรื่อคลาคล่ำเกือบเต็มพื้นที่และถึงเวลาโชว์ ท่ามกลางเสียงอื้ออึงของจังหวะที่ปลุกเร้าและเสียงสนทนาที่ฟังไม่ได้ศัพท์ ที่ประตูทางเข้า—ปรากฎหญิงกลางคนถือแส้กับชายกลางคนร่างกายล่ำสันเปล่าเปลือยใส่หน้ากากหนัง ชายสวมหน้ากากถูกหญิงคนนั้นจูงโดยเชือกที่ผูกเข้ากับเครื่องเพศของเขา เขาเดินตามเข้ามาอย่างทาส ถูกสั่งให้ยืนโก้งโค้งที่ปลายหนึ่งของโต๊ะตัวนั้น แล้วหญิงคนนั้นก็กระหน่ำฟาดเขาด้วยแส้ เมื่อเสียงดังจากแส้สัมผัสเนื้อหนังของชายสวมหน้ากาก พลันกล้ามเนื้อของเขาก็สะดุ้งตามครั้งแล้วครั้งเล่า
…อืมมมมมมม เสียงครางของเขาเล็ดลอดออกมาผ่านหน้ากาก
2-3 นาทีของความตกตะลึงผ่านไป ผมมองภาพที่อยู่ข้างหน้าด้วยความรู้สึกแปลก มันเป็นการทรมานหรือความบันเทิง เป็นการถูกกระทำด้วยการขืนใจหรือการยอมให้กระทำด้วยความพึงพอใจ ความเจ็บปวดที่ได้รับเป็นสิ่งที่อยากหลีกหนีหรือไขว่คว้าปรารถนา มันเป็นอีกโลกหนึ่งที่ผมเคยรู้ว่ามีอยู่ แต่ไม่คิดว่าจะได้เห็นมันผ่านคนที่มีเลือดเนื้อแบบต่อหน้าต่อตา
ไฟสีแดงที่สลัวอยู่แล้วถูกหรี่ให้มืดลงอีก ชายสวมหน้าการถูกสั่งให้นอนลงบนพื้น หญิงกลางคนยืนคร่อมอยู่บนร่างกำยำ จุดเทียนแท่งใหญ่แล้วเทน้ำตาของมันลงบนหน้าอกของเขา แสงเทียนวูบไหว ผมละสายตาจากฉากตรงหน้า พลันเห็นหญิงสาวใส่แว่นคนนั้นยืนพิงกำแพงในเงาของแสงสีแดงตรงที่เดิม
วันนี้เธอมาที่นี่คนเดียว แต่ไม่ใช่ครั้งแรก เพราะเธอสนใจประสบการณ์ทางกามารมณ์แบบนี้ เธอตามดูการแสดงประเภทนี้ตามสถานที่หลายแห่งในกรุงเทพฯ นอกจากนั้น เธอยังวาดรูปเกี่ยวกับเซ็กซ์อย่างหลากหลายรูปแบบในเพจส่วนตัวของเธอ
“ชอบชิบาริ (Shibari) ไหม” ผมคิดว่าเธอน่าจะสนใจศิลปะการมัดร่างกายแบบนี้อยู่เหมือนกัน
“ชอบ” แพรว – อรอนงค์ หญิงสาวสวมแว่นตอบกลับมา
“ถ้าให้เลือกระหว่างเพชรดากับญาดา คุณชอบแบบไหน” ผมเอ่ยชื่อ Shibari Artist สาว 2 คนขึ้นมา
“เราชอบเพชรดา”
“ถ้าให้เพชรดามัดคุณ คุณโอเคไหม”
“เอาสิ อยากลอง” เธอตอบรับเป็นแบบถ่ายภาพให้ผม
ก่อนจากกัน บทสนทนาเราจบลงตรงนี้
*
งานภาพถ่ายของ อะรากิ (Nobuyoshi Araki) ช่างภาพชาวญี่ปุ่น เป็นผลงานที่น่าตื่นตะลึงด้วยการนำเอาศิลปะการมัดด้วยเชือก (Kinbaku) บนเรือนร่างเปลือยของหญิงสาว ภาพเปลือยหญิงสาวที่ถูกมัดของเขานั้นอยู่บนเส้นแบ่งแคบๆ ระหว่างศิลปะกับความลามกอนาจารระหว่างรสชาติของความสวยงามละเมียดละไมและความหยาบคาย อะรากินำเอารสนิยมเรื่องความงามและกามารมณ์ในวัฒนธรรมญี่ปุ่นมาเปิดเผยในโลกเล็กๆ ของศิลปะภาพถ่าย และในทันทีทันใด งานของเขาถูกจัดวางให้อยู่บนขอบของศีลธรรมอันดี โลกสีดำของกามารมณ์ที่อารากิเปิดแสงแฟลชให้สว่างวาบนั้นปะปนคละเคล้ายากต่อการตัดสิน มันเป็นช่องว่างของการบรรจบกันระหว่าง 2 สิ่ง การทรมานร่างกายและความพึงพอใจทางเพศรส ความลามกอนาจารและความงามทางศิลปะ การเป็นวัตถุทางเพศของเพศหญิงและมารดาแห่งความสุขสม ความรู้สึกเหล่านี้นำพาให้เดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ เพื่อสัมผัสรับรู้อารมณ์ส่วนลึกที่อยู่ในเงามืดของแสงสว่างทางศีลธรรม ผลงานของอะรากิชุดนี้คล้ายเป็นคัมภีร์ภาพถ่ายอีโรติกที่สำคัญชิ้นหนึ่งในแวดวงศิลปะภาพถ่าย
นอกจากความงามของเส้นเชือกที่เปิดเผยเน้นย้ำสรีระและเรือนร่าง การพันธนาการร่างกายเพื่อปลดปล่อยอารมณ์ เหมือนเป็นความทรมานที่สุขสม บางคนบอกว่ามันเป็นการคืนความสมดุลให้ส่วนที่ขาดหายไปของจิตใจผ่านการตระหนักรู้และสมาธิ บางคนบอกว่าเป็นการบำบัดทางอารมณ์ บางคนถึงกับบอกว่ามันพาไปให้บรรลุถึงจุดสูงสุดทางเพศ
ผมสงสัยใคร่รู้ เหมือนยืนอยู่อย่างหมิ่นเหม่บนขอบเหวของความรู้สึกด้านมืดที่ชวนให้กระโจนลงไป
*
‘No Word for This: เหนือคำสังวาส’ ผมชอบชื่อนี้ แพรว – อรอนงค์ คล้ายสุบรรณ์ บอกว่าเธอมีความสุขที่ถ่ายทอดความพึงพอใจทางเพศรสออกมาทางลายเส้นมากกว่าจะออกมาเป็นคำพูด ก่อนหน้านี้เธอเลือกอยู่หลายคำ แต่หาไม่พบความงามของกิจกรรมทางกามารมณ์ในภาษาไทย เพราะแต่ละคำล้วนมีความหมายไปในทางที่ชวนให้อาย หรือไม่ก็เป็นคำที่ไม่แสดงอารมณ์และมีความเป็นวรรณกรรมสูงเข้าถึงยาก
เธอบอกว่าการมีเซ็กซ์เป็นเรื่องธรรมชาติ มนุษย์มีเซ็กซ์กันเพราะอยากมีลูก แต่ก็ไม่ใช่จุดประสงค์นั้นอย่างเดียว มนุษย์มีเซ็กซ์เพราะสนุกด้วย ในที่สาธารณะเรามักไม่พูดถึงเซ็กซ์หรือทำเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องปกติธรรมดา ในครอบครัวของเธอซึ่งค่อนข้างหัวเก่าก็ไม่เคยเปิดปากกันถึงเรื่องเซ็กซ์
“ถ้าแม่รู้ว่าเรามีแฟน เขาจะไม่พูดกับเราเป็นเดือนๆ เขางอน”
สำหรับเธอ การมีเซ็กซ์เป็นเรื่องสวยงาม สนุก และทำให้เธอมีความสุข เธอรู้จักการช่วยตัวเองครั้งแรกจากการเรียนรู้ร่างกายของตัวเอง สมัยยังอยู่มัธยมฯ มันเป็นความรู้สึกพิเศษ และเธอชอบความรู้สึกนั้น การมีเซ็กซ์ครั้งแรกเป็นประสบการณ์ที่เธอรู้จักเมื่อเรียนอยู่มหาวิทยาลัยและเรียนรู้ต่อมาผ่านชายหนุ่มที่เธอสนใจ ซึ่งความรู้สึกสนุกนำพาให้เธอไปพบเจอประสบการณ์หลายอย่าง แต่ทุกครั้งมันเกิดจากข้อตกลงที่สมยอมกันทั้งสองฝ่าย บางครั้งคือเพื่อน บางคราวคือคนแปลกหน้า จบแล้วก็แยกย้ายกันไป แต่เมื่อมีแฟน เธอพอใจที่จะหยุดประสบการณ์ทางเพศกับชายหนุ่มของเธอ ผมรู้สึกตั้งแต่แรกเห็นเธอในคลับเฟติชแล้วว่า เธอเป็นสาวที่มั่นใจในตัวเอง แต่น้อยครั้งที่จะรู้สึกว่าผู้หญิงเป็นเจ้าของร่างกายของตัวเอง
“แล้วการที่ต้องรักษาความบริสุทธิ์ไว้ล่ะ”
“เราไม่คิดว่าเราต้องรักษาความบริสุทธิ์ไว้ให้ใครและถึงเมื่อไหร่ ไม่รู้ว่าเราต้องคุยกับผู้ชายที่เราสนใจไปนานเท่าไหร่ถึงจะมีเซ็กซ์กับเขาได้ ถ้าเขาโอเค เราโอเค ก็มีเซ็กซ์กัน”
“มีเซ็กซ์กับคนที่เพิ่งรู้จัก เคยถูก abuse ไหม”
“ก็มีบ้าง ตอนแรกก็โอเค แต่พอทำไปแล้วรู้สึกไม่โอเคแล้ว เราไม่ consent แล้วก็มีบ้าง แต่ไม่รุนแรงมาก เราไม่อยากมีต่อ เราพยายามเอาตัวรอด บอกให้หยุด บอกว่าเราไม่โอเคแล้ว”
“ถ้าเขาไม่หยุดล่ะ มันอยู่ในอารมณ์นั้น แล้วคุณก็เป็นผู้หญิงอยู่ในที่ปิด”
“อืม…เป็นเรื่องที่ยากมาก เท่าที่เคยเจอก็มีบ้าง เราก็ยอมให้เขาทำจนเสร็จ แล้วก็ไม่เจอกันอีก ก็รู้สึกแย่แหละ มันก็เป็นข้อเสียของการมีเซ็กซ์กับคนที่รู้จักกันน้อย ก็ได้แต่ยอมรับมัน ยังโชคดีที่ไม่เจอถึงขั้นขืนใจ”
“เห็นในเพจของคุณ คุณวาดสรีระหรือไม่ก็รูปแบบการมีเซ็กซ์ไว้หลายแบบ มีแบบใช้อุปกรณ์ด้วย คุณวาดด้วยจินตนาการหรือชอบใช้มันด้วย”
“มันเป็นการทดลองการมีเซ็กซ์แบบต่างๆ ก็ใช้บ้าง เวลาว่างๆ เราชอบไปดูของเล่นในร้านเซ็กซ์ช็อป เราชอบ handcuffs ชอบเป็นคนถูกใส่กุญแจมือ ตื่นเต้นดี” เธอตอบด้วยน้ำเสียงปกติพร้อมรอยยิ้มผ่านแว่นกระกรอบใหญ่
*
สตูดิโอของไมเนอร์ – เพชรดา ปาจรีย์ Shibari Artist ซึ่งใช้พื้นที่ชั้นล่างในบ้านของเธอ ม่านถูกรวบไว้ แสงแดดจึงสาดส่องผ่านบานเกล็ดกระจกที่กรองแสงให้นุ่มนวล แต่ผมชอบพื้นที่ชั้นบนที่ปูพื้นด้วยไม้ปาเกต์ที่แสงทอดมาจากด้านข้างมากกว่า ขณะที่ผมไปถึง เธอกับเพื่อนกำลังทดสอบอุปกรณ์ใหม่อยู่ ไมเนอร์ย้อมผมสีทอง แต่งตัววาบหวิว สูบบุหรี่ และมีแก้วเบียร์ติดมือเสมอ บนโต๊ะเต็มไปด้วยขวดเหล้านานาชนิด เราแนะนำตัวและพูดคุยกันอย่างผิวเผินถึงเทคนิคเบื้องต้นของศิลปะการมัดแบบชิบาริ สิ่งที่ควรระวัง และความงามจากเส้นเชือกที่เธอสนใจ เบียร์หลายแก้วผ่านไป การพูดคุยเพิ่มรสชาติขึ้นไปถึงรสนิยมทางเพศ ความคิดเห็นเรื่องเซ็กซ์ อย่างเปิดเผย ตรงไปตรงมา เวลาผ่านไป ความคุ้นเคยกันมีมากขึ้น ผมอนุญาตให้ตัวเองเปลี่ยนจากเบียร์เป็นจินโซดา คำถามคำตอบเสียงหัวเราะคลุกเคล้ากันเหมือนควันบุหรี่ที่อวลอยู่ในห้อง ผมรู้สึกว่าไมเนอร์เป็นคนมั่นใจในตัวเองอย่างมาก เธอรู้ว่าเธอต้องการอะไรและไม่ต้องการอะไร ที่สำคัญเธอเป็นอีกคนที่เป็นเจ้าของร่างกายของตัวเองอย่างแท้จริง
“หนูเป็นคนรั่วๆ” เธอบอกแบบนั้น
เธอฝึกการมัดด้วยตัวเอง จากนั้นจึงสมัครเป็นศิษย์ร่ำเรียนกับโยชิดะ โยอิ (Yoshida Yoi – Mother of Kinbaku) ไมเนอร์สนใจความงามของสรีระ เธอใช้เชือกเพื่อตกแต่งร่างกาย ร้อยรัดเพื่อให้เกิดเส้นสายสวยงาม ไม่ใช่การมัดเพื่อทรมาน เธอสนใจการยึดโยงร่างกายเพื่อให้เป็นมวลที่มีรูปทรงที่น่าสนใจและมีสมดุลให้ลอยอยู่ในอากาศ เธอเชื่อว่าเชือกและการสัมผัสช่วยให้ผู้ถูกมัดมีสมาธิ มีสมดุล และช่วยให้พวกเขามีห้วงขณะอันเงียบงันที่จะสำรวจจิตใจของตัวเอง
*
วันต่อมาในสตูดิโอเดิม เวลาเดิม แสงคล้ายเดิม หลังจากที่ไมเนอร์และแพรว – อรอนงค์คุยกันเรื่องการมัดพื้นฐานเหมือนที่คุยกับผมเมื่อวาน คุยถึงสิ่งที่ควรระมัดระวัง และหากไม่สบายใจตรงไหนให้บอกได้เสมอ ผมรู้สึกถึงความตื่นเต้นในน้ำเสียงของแพรว และในใจของผมเอง
พวกเธอเริ่มการมัดแบบเบสิคในสตูดิโอชั้นล่างเพื่อทำความคุ้นเคย ผมนั่งมองอยู่ห่างๆ บางครั้งเดินเข้าไปใกล้เพื่อดูเทคนิคการมัดโดยใช้เชือกที่ผ่านกระบวนการมาแล้วเพื่อให้ลื่นและหยาบในเวลาเดียวกัน ผมสังเกตอาการของแพรวที่พยายามควบคุมอารมณ์ด้วยการนั่งนิ่งๆ หลับตา หายใจยาวๆ มีบางจังหวะของท่าที่ทำให้ขาเกิดอาการชา ไมเนอร์จึงปรับท่าให้จนอาการหายไป ไม่นาน การมัดครั้งแรกเสร็จสิ้นลง แพรวนั่งนิ่งหลังจากความตื่นเต้นลดระดับลงมา บุคลิคของไมเนอร์เปลี่ยนไปจากเมื่อวาน เธอดูนิ่ง เอาใจใส่สังเกตความรู้สึกของตัวแบบ อธิบายการมัดแต่ละขั้นตอน เธอใช้การสัมผัสเพื่อตอบสนองความรู้สึก บางสัมผัสเพื่อคลายความตื่นเต้น บางสัมผัสเพื่อปลอบประโลม เธอเหมือนพี่สาวใจดีผิดไปจากสาวรั่วๆ คนเมื่อวาน
หลังจากพักราว 15 นาที ผมขอย้ายขึ้นไปมัดชิบาริที่ชั้นสองของบ้านบนพื้นไม้และแสงจากหน้าต่าง แม้อากาศจะร้อนกว่าข้างล่าง แต่ผมรู้สึกว่าน่าจะดี เชือกสีแดงเริ่มมัดจากมือที่ไขว้กันอยู่ด้านหลัง ร้อยรัดอ้อมมาทางด้านหน้าเหนือหน้าอกแล้วมัดอ้อมลำตัวมารัดใต้หน้าอกทำให้เต้านมนูนเด่นขึ้นมา อากาศร้อนทำให้เหงื่อเริ่มซึม เสียงเชือกเสียดสีร่างกายให้ความรู้สึกประหลาด ท่ามกลางความเงียบและเสียงพึมพำระหว่างหญิงสาวสองคน
ผมนั่งพิงกำแพงด้านตรงข้าม ในฐานะคนดูภาพถ่ายการมัดหญิงสาวของอะรากิมาก่อน ภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าเปลี่ยนภาพจำของผมให้ต่างไปจากเดิม จากความตื่นตะลึงของความงามและรสนิยมทางเพศแบบดิบๆ มาเป็นความเนิบช้า สวยงาม ระมัดระวัง และการเอาใจใส่ต่อกัน ผมรับรู้บทสนทนาไร้คำพูดระหว่างตัวแบบและคนมัดในบรรยากาศนิ่งสงบผ่านการสัมผัส ผมรู้สึกถึงการดื่มด่ำตักตวงจากการมองเห็นเนื้อหนังถูดรัดให้เกิดทรวดทรง รอยพับอันสวยงามของต้นขาที่แข็งแรงกับสะโพกลมกลึง ภาพในจินตนาการที่ค่อนข้างกระเจิดกระเจิงก่อนหน้านี้ถูกแทนที่ด้วยความพึงพอใจกับการได้จ้องมองและการถูกมองกลับมาด้วยแววตาของผู้ยอมจำนน ผมเห็นการดำดิ่งลงไปในตัวเองของแพรว – เธอบอกว่าชอบ รู้สึกเหมือนถูกกอด เชือกพันรอบแล้วรอบเล่าร้อยเรียงกันสวยงามและสมมาตร ร้อยรัดต้นแขน สะโพก ต้นขา ทีละขั้นทีละตอน จากท่านั่งคุกเข่ากลายเป็นนอนสงบไม่ไหวติงบนพื้นที่เปียกชุ่มด้วยเหงื่อ ถูกพันธนาการด้วยความสมยอม ช่วยตัวเองไม่ได้ สะโพกของเธอสวยเมื่อถูกเชือกมัดให้รูปทรงเด่นชัดขึ้น สีหน้าแววตาของแพรวบอกว่าเหนื่อย รอยยิ้มที่แทรกออกมาบอกว่าเธอรู้สึกพึงพอใจ
ไมเนอร์จุดบุหรี่แล้วมองประติมากรรมมีชีวิตของเธอด้วยรอยยิ้ม แพรวนอนหลับตานิ่งผ่อนคลาย รอยยิ้มบางๆ ยังไม่จางหายไปในห้วงเวลาอันเงียบงัน
อรอนงค์ คล้ายสุบรรณ์ | Art Director | Advertising Agency
เพชรดา ปาจรีย์ | Shibari Artist
Medium Format Camera 6 x 6
Black and White Negative Film
Fact Box
โฮโจจุตสึ (Hojojutsu) คือศาสตร์การใช้เชือกเพื่อพันธนาการและทรมานนักโทษหรือเชลยสงคราม เริ่มมีขึ้นในสมัยเอโดะราวปีคริสตศักราช 1600-1800 ต่อมา โฮโจจุตสึถูกคลี่คลายและพัฒนา เรียกว่า คินบาคุ (Kinbaku -ศิลปะการมัดด้วยเชือก) เพื่อใช้เร้าอารมณ์ในกิจกรรมทางเพศแบบ BDSM (Bondage Dominance Sadism Masochism)
ชิบาริ (Shibari) เป็นศิลปะการใช้เชือกที่เน้นเรื่องสุนทรียศาสตร์ของความงาม ซึ่งแยกออกมาจากการใช้เพื่อเพิ่มเพศรส อย่างไรก็ตาม คินบาคุและชิบาริเป็นคำสองคำที่ใช้สลับกันไปมา