‘หน่อย’ รังสิมา นัดผมที่ห้องสมุดเนียลสัน เฮย์ส ซึ่งเหมาะกับงานที่เธอทำ และสอดคล้องกับชื่อสำนักพิมพ์ของเธอ เธอปรากฏตัวในกางเกงยีนส์และรองเท้าส้นสูง 4 นิ้ว ริมฝีปากแดงสดพร้อมรอยยิ้มอย่างผู้หญิงที่มั่นใจในตัวเอง หน่อยเป็นบรรณาธิการและเจ้าของสำนักพิมพ์ Library House ที่ก่อตั้งเมื่อสักสองปีเศษที่ผ่านมา โดยเน้นพิมพ์หนังสือแปลซึ่งคัดสรรจากวรรณกรรมภาษาต่างประเทศทั้งแนวโมเดิร์น คลาสสิก และร่วมสมัย

ด้วยความที่เป็นสำนักพิมพ์เล็กๆ เธอจึงดูแลทุกขั้นตอนด้วยตัวเอง ไล่เรียงตั้งแต่การติดต่อซื้อลิขสิทธิ์หนังสือ เลือกผู้แปล การออกแบบรูปเล่ม การจัดวางในร้านหนังสือ ไปจนถึงการขายหนังสือ เรียกได้ว่าเธอควบคุมทุกกระบวนการให้เป็นอย่างที่มันควรจะเป็น เก็บทุกรายละเอียดเพื่อให้หนังสือแต่ละเล่มออกมาดีที่สุดก่อนไปสู่ผู้อ่านอย่างที่เธอตั้งใจ

สำหรับชีวิตส่วนตัวของหน่อยก็ไม่ต่างกัน เธอเป็นหญิงสาวที่วางแผนการใช้ชีวิตอย่างรอบคอบ เพื่อให้มันดำเนินไปตามลำดับอย่างที่เธอต้องการ เรียนจบ ทำงาน แต่งงาน ลาออกจากงานเพื่อเรียนต่อปริญญาโท ซื้อบ้านที่ชานเมือง มีคอนโดฯ ในเมือง แต่ชีวิตก็คงเป็นเช่นนี้ หลายสิ่งเกิดขึ้นนอกเหนือแผนที่เธอวางไว้อย่างรัดกุม ในวัยเต็มสาว เธอพบอาการผิดปกติบางอย่างของร่างกาย เธอไปพบแพทย์หลายแห่งเพื่อวินิจฉัยโรค ความกังวลเริ่มคืบคลานเข้ามาสู่ชีวิต จนไม่สามารถทำงานที่รักอย่างปลอดโปร่งนัก

เย็นวันหนึ่ง ขณะทำงานอยู่บนตึกชั้น 21 เธอได้รับผลการตรวจว่าไม่เป็นวัณโรค แต่จิตใจของเธอกลับไม่เบาขึ้น เพราะอีกหนึ่งในสองโรคที่แพทย์สันนิษฐานไว้คือมะเร็งต่อมน้ำเหลือง เธอรู้สึกเหมือนไฟในชีวิตดับลงครึ่งหนึ่ง แต่เธอยังคงทำงานต่อไปเรื่อยๆ ผมนึกไม่ออกเหมือนกันว่าห้วงเวลานั้นเธอรู้สึกอย่างไรแน่ อาจจะควบคุมจิตใจให้สงบ หรือสับสนวุ่นวายใจจนอาจคิดถึงโชคร้ายต่างๆ นานา หรือคิดถึงชีวิตที่อาจไม่เหลืออยู่นานนัก…อย่างไรก็ตาม เย็นวันนั้น เธอยังคงรักษาความสงบเยือกเย็นไว้ และทำงานต่อไปจนหมดเวลางาน

กลับบ้านค่ำวันนั้น หน่อยพบจดหมายอีกฉบับจากโรงพยาบาล เธอถือจดหมายนั่งอยู่บนโซฟากับสามี ทั้งสองเปิดคำพิพากษาเคียงข้างกัน

“หน่อยเป็นมะเร็งนะ” เธอบอกสามีเรียบๆ ง่ายๆ แบบนั้น

เมื่อสิ่งที่คิดไว้ยืนยันผ่านผลวินิจฉัย ชีวิตเหมือนดิ่งร่วงจากที่สูง ความตายที่เหมือนอยู่ห่างไกลวัยหนุ่มสาวและไม่เคยอยู่ในแผนชีวิตมาก่อน กลับเดินทางเข้ามาใกล้กว่าที่เคยรู้สึก แสงสว่างของชีวิตหรี่แสงลงเต็มที แผนชีวิตที่เธอวางไว้ดูคล้ายกลายเป็นกำหนดการที่ว่างเปล่า

“พร้อมตายมั้ย” หน่อยถามหน่อยอีกคนที่อยู่ในกระจกเงา

“ยังไม่พร้อม…ยังไม่ได้ไปบ้านเชกสเปียร์เลย” เธอตอบตัวเอง

ฟังแล้วเหมือนตลก แต่ในเวลานั้น มันคือความปรารถนาของผู้หญิงคนหนึ่งที่หลงรักวรรณกรรม ในช่วงเวลาที่อาจจะเป็นช่วงท้ายๆ ของชีวิต เธอต้องการจะเติมเต็มความหมายของชีวิตที่เหลืออยู่ด้วยการเดินทางไปหานักประพันธ์ผู้เป็นที่รักและหลงใหล เพราะเขาเป็นจุดเริ่มต้นของแรงผลักดันในชีวิตเธอตั้งแต่วัยเด็ก เธอจึงอยากทำให้มันลุล่วง ผมฟังแล้วนึกถึง Hazel Grace ผู้ป่วยมะเร็งปอดในภาพยนตร์เรื่อง The Fault in Our Stars (2014)* ที่ปรารถนาไปพบเจอนักเขียนในดวงใจของเธอที่อัมสเตอร์ดัม

หน่อยบอกว่าเธอเป็นสาวเมืองสิงห์ และเคยเป็นหัวหน้าชมรมคาราเต้ นั่นคงบอกได้ว่าเธอแกร่งแค่ไหน แต่ความแกร่งของชีวิตคงไม่มีประสิทธิภาพหากไม่ผ่านการทดสอบ กระนั้น บททดสอบช่างน่าหวาดหวั่น เธอต้องเผชิญกับโรคมะเร็งที่มาพร้อมกับการนับเวลาถอยหลังของชีวิต ตลอดเวลาของการรักษาซึ่งยาวนาน 5 ปี เธอผ่านมาด้วยความอดทน มีวินัย เธอเชื่อมั่นว่าชีวิตยังมีความหวังเหมือนแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ และด้วยความรักของครอบครัว ทำให้เธอผ่านช่วงชีวิตวิบากมาได้

นอกจากนั้นแล้ว หน่อยบอกว่าเธอผ่านมาได้ด้วยหนังสือที่อ่านมาตั้งแต่เยาว์วัย คล้ายเป็นภูมิต้านทานที่สะสมผ่านการอ่าน อย่างน้อยมันทำให้เธอไม่คิดสั้น ไม่ทดท้อ เพราะในเรื่องเล่ามีไคลแมกซ์ มีจุดพลิกผัน ชีวิตตัวละครต้องผ่านพบอุปสรรค เพียงแต่เมื่อถึงคราวของตัวเราเอง เราเลือกได้ว่าอยากให้หน้าสุดท้ายในเรื่องเล่าของเราเป็นอย่างไร ในฐานะผู้ป่วย หน่อยอยากให้จบแบบแฮปปี้เอนดิ้ง อยากหายจากโรค เธอมีความเชื่อว่าจะหายเป็นปกติ เชื่อว่าจะมีชีวิตต่อไปเพื่อคนที่เธอรัก และเพื่อทำในสิ่งที่รัก

ตัวละครมากมายที่เธอรู้จักก็เคยผ่านวิกฤตชีวิตสาหัส ทำไมเธอจะผ่านมันไปไม่ได้

“ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้วนะ” แพทย์ที่ดูแลบอกเธอในวันหนึ่งของการตรวจร่างกาย เพื่อยืนยันว่าโรคสงบแล้ว

เมื่อเธอเล่าย้อนถึงภาวะที่ยากลำบาก แม้จะมีรอยยิ้มบนใบหน้า แต่น้ำเสียงที่เชื่อมั่นก็แฝงไว้ด้วยความเปราะบาง และน้ำตาที่คลออยู่ในดวงตา

นับแต่นั้น หน่อยเลือกที่จะใช้ชีวิตหลังความตาย ที่เธอใช้คำว่า ‘ภาคผนวกของชีวิต’ ให้กับสิ่งที่พิจารณาแล้วว่ามีความหมายต่อชีวิต เธอทำงานและใช้ชีวิตอย่างทุ่มลงไปทั้งตัวคล้ายกับการกระโดดน้ำจากหน้าผาสูง หากประเมินแล้วว่าสิ่งใดที่เธอทำได้และอยากทำ เธอพร้อมจะกระโจนออกไปสู่ความเวิ้งว้างเบื้องหน้าด้วยความเชื่อมั่น

 

ทุกวันนี้เธอเดินทางบ่อยขึ้น ทั้งในเรื่องการงานและการพักผ่อน ดูเหมือนผู้หญิงคนนี้หากทำอะไรแล้วเธอจะทำไปจนสุดทาง ไม่วางมือ ไม่เลิกรา ที่สำคัญ มันต้องออกมาสมบูรณ์แบบอย่างที่เธอต้องการ

ตราบเท่าที่ชีวิตยังเลือกที่จะอยู่ข้างเธอ

 

 

*The Fault in Our Stars (2014) Directed by Josh Boone

 

รังสิมา ตันสกุล | บรรณาธิการบริหาร เจ้าของสำนักพิมพ์ Library House

Medium Format 6 x 6 | Black and White Negative Film

Fact Box

รังสิมาจบการศึกษาระดับปริญญาตรี ภาควิชาวรรณคดี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เคยทำงานที่ธนาคารแห่งหนึ่งและบริษัท IBM ก่อนจะลาออกมาเรียนระดับปริญญาโท ภาควิชาภาษาและวรรณคดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จากนั้นจึงเลือกทำงานหนังสือที่เธอรักอย่างเต็มตัวทั้งในฐานะบรรณาธิการและนักแปล

ปัจจุบัน เธอใช้เวลาไปกับการฟูมฟักสำนักพิมพ์ Library House อันเป็นที่รักยิ่ง และผลิตหนังสือแปลคุณภาพออกมาแล้วกว่าสิบเล่ม เช่น แก็ตสบี้ ความหวังยิ่งใหญ่และหัวใจมั่นคง (F. Scott Fitzgerald) มื้อเช้าที่ทิฟฟานีส์ (Truman Capote) เนินนางวีนัส (Anaïs Nin) กุหลาบแด่เอมิลี่ฯ (William Faulkner) บทเพลงโศกแห่งคาเฟ่แสนเศร้า (Carson McCullers) ฯลฯ และเล่มล่าสุด เรื่องเล่าของสาวรับใช้ (Margaret Atwood)

www.libraryhousebangkok.com

Tags: ,