สำหรับคนดูหนังเวลานี้คงไม่มีประเด็นไหนร้อนแรงไปกว่า ‘คนทำหนังเตรียมขอให้ใช้กฎหมายกำหนดสัดส่วนการฉายภาพยนตร์เพื่อกู้วิกฤติหนังไทย’ ซึ่งวิกฤติที่ว่านี้คือหนังไทยนอกกระแสไม่มีอำนาจต่อรองสัดส่วนการฉายในโรงภาพยนตร์ และอาจจะรวมถึงปัญหาเรื่องการออกทุนสร้างหนังไทยที่ลดน้อยลงไปเรื่อยๆ โดยในเคสดังกล่าวนี้เราพยายามทำตัวกลางๆ เพื่อทำความเข้าใจทุกฝ่ายก็จะพบว่าแต่ละฝั่งก็มีความเห็นแตกต่างกันไป
เริ่มต้นที่ฝั่งคนดูวงกว้าง ความเห็นส่วนใหญ่ไปในทางเดียวกันคืออยากดูหนังดี (เราขอนิยามว่าเป็นหนังที่ถูกจริตละกัน) ซึ่งในความเห็นของพวกเขามองว่าหนังไทยเวลานี้มีแต่ห่วยๆ ถ้าหนังไทยทำออกมาดียังไงก็มีคนดู ถ้ามีคนดูเยอะก็แปลว่าหนังทำเงิน ดังนั้นคำตอบของวิกฤติสำหรับพวกเขาคือ คุณก็ต้องทำหนังให้ออกมาดีสิ
ฝั่งโรงหนังคงไม่สามารถไปเดาใจอะไรได้ แต่เราขอมองแบบทุนนิยมของธุรกิจที่มุ่งเน้นแสวงหากำไรแล้วกัน จะจัดโรงฉายก็ดูตามความต้องการของลูกค้า มีระบบประเมินการยืนโรงฉายที่เป็นมาตรฐานคือ ดูรายได้ 4 วันแรก และอาทิตย์แรก ถ้ามีคนสนใจเยอะก็เพิ่มรอบให้ ถ้าไม่มีคนดูก็ลดรอบไป แฟร์ๆ เท่าเทียมกันหมด ดังนั้นในเมื่อหนังไทยอยากได้โรงฉายหรือรอบเวลาเพิ่ม จึงต้องดูตามความต้องการของตลาดเป็นหลัก ซึ่งอาจหมายถึงการประชาสัมพันธ์โปรโมตให้ทางโรงหนังเห็นกระแสว่ามีคนอยากดูจริงๆ (หลวงพี่แจ๊ส, หนัง GDH, หนังหม่ำเท่งโหน่ง มีความต้องการจากตลาดคนดูวงกว้าง จึงไม่แปลกที่โรงฉายจะเยอะกว่าหนังไทยนอกกระแส ซึ่งก็เหมือนกับหนังฮอลลีวูดฟอร์มยักษ์ที่มีโรงฉายมากกว่าหนังเล็กนอกกระแส)
ฝั่งคนทำหนังไทยนอกกระแสก็อาจจะบ่นว่าไม่มีทุนทำหนัง บ่นถึงความยากลำบากว่าไม่สามารถทำเป็นอาชีพหาเลี้ยงชีพได้ พอทำหนังตามงบจำกัดก็ไม่เหลืองบจะประชาสัมพันธ์อะไรแล้ว จึงต้องหวังพึ่งกระแสคนดูบอกปากต่อปาก บางเรื่องทำออกมาดีก็ไม่มีคนสนใจ สุดท้ายก็วนกลับไปลูปเดิมว่าต่อให้ทำหนังดีก็ไม่ทำเงิน ต่อให้มีคนสนใจและโรงเพิ่มรอบให้ก็ต้องแบกรับค่าใช้จ่ายบางอย่างที่หนักหนาจนสุดท้ายฉายไปก็ไม่ได้มีกำไรอะไรเพิ่มเลย
พอเราเห็นภาพกว้างๆ ประมาณนี้แล้ว เราก็พยายามมองหาแนวทางแก้วิกฤติดังกล่าว ซึ่งเราขออนุญาตยกโมเดลการพลิกโฉมอุตสาหกรรมหนังเกาหลีใต้ว่า เขาทำอย่างไรให้วงการหนังที่ใกล้ตายกลับมายิ่งใหญ่ไปทั่วเอเชีย และได้รับความสนใจจากทั่วโลกได้แบบปัจจุบันนี้ภายในเวลาเพียงหนึ่งทศวรรษ
1. เรียนรู้จากประวัติศาสตร์วงการหนังเกาหลี
2. บังคับใช้ Screen Quota ให้ฉายหนังเกาหลีขั้นต่ำ 146 วันต่อปี
3. การลงทุนสร้างหนังโดยกลุ่มธุรกิจที่มีอิทธิพล (แชโบล)
4. รัฐบาลสนับสนุนคนทำหนังผ่านสมาพันธ์ภาพยนตร์แห่งเกาหลี (Korean Film Council)
5. ลอกเลียนแบบและสร้างสรรค์ผลงาน
6. การทำงานร่วมกันระหว่างโรงหนังและดูออนไลน์
โดยปกติแล้วระบบการจัดจำหน่ายหนังนั้นจะมีแบบที่ยึดถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติกันมาช้านาน เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของโรงหนัง ด้วยแนวคิดที่ว่า ‘ถ้าหนังออกแผ่นพร้อมฉายโรง แล้วใครจะไปดูในโรง’ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวทำให้เกิดระบบช่องว่างของการจัดจำหน่ายผ่านช่องทางต่างๆ ขึ้นมา (window) อธิบายได้ว่าหนังจะถูกฉายครั้งแรกที่โรงหนังต่างๆ ซึ่งเป็นช่องทางทำรายได้หลัก และหลังจากนั้นจะเว้นช่วงประมาณ 4 เดือน เพื่อวางจำหน่ายแผ่น DVD หรือ Blu-ray รวมถึงในการซื้อหนังออนไลน์ในปัจจุบันด้วย
แต่ที่เกาหลีเขาไม่คิดเช่นนั้น ด้วยความที่ประเทศเกาหลีมีการเติบโตด้านอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง รวมถึง LTE บ้านเขาก็ใช้งานได้จริง จึงทำให้ธุรกิจออนไลน์ต่างๆ เติบโตตามไปด้วย หนึ่งในนั้นก็คือ IPTV (Internet Protocol Television) และ VOD (Video on Demand) ซึ่งเป็นช่องทางหลักสำหรับการจำหน่ายหนังออนไลน์ ตามปกติแล้วพวกเขาควรจะเลือกทำตาม window การฉายปกติ แต่ที่เกาหลีเลือกจะจำหน่ายหนังออนไลน์พร้อมกับฉายโรง หรือช้ากว่าในโรงเพียง 4 ถึง 6 สัปดาห์เท่านั้น
มองดูเผินๆ เหมือนมันจะมีความขัดแย้งด้านผลประโยชน์ แต่ผลลัพธ์ที่ออกมากลับเกื้อกูลกัน โดยเขายังถือว่าโรงหนังคือช่องทางจำหน่ายหนังที่แข็งแกร่งเหมือนเดิม แต่ขณะเดียวกันช่องทางออนไลน์ต่างๆ คือโอกาสในการเข้าถึงผู้คนวงกว้างที่กำลังเติบโตตามการใช้งาน IPTV และ VOD มากขึ้นทุกปี โดยใน ค.ศ. 2015 มีคนเข้าชมหนังในโรงเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 1% (217 ล้านครั้ง) ส่วนช่องทางดูหนังชนโรงทาง VOD นั้นก็มีกำแพงเรื่องราคาขึ้นมาอยู่ที่ประมาณเรื่องละ 12,000 วอน (ประมาณ 350 บาท) โดยราคาจะปรับลงเมื่อครบ 1 ปีหลังฉายโรง ซึ่งมันน่าสนใจที่ว่าอุตสาหกรรมหนังบ้านเขายังคงยึดผลประโยชน์เหมือนเดิม แต่เขากล้าลองเสี่ยงสร้าง window ใหม่ๆ ที่ได้ผลลัพธ์ที่ดีต่อผู้สร้างหนัง
ตัวอย่างศึกษาคือการฉาย Snowpiercer ทาง VOD ก่อนฉายโรง ซึ่งเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดที่ได้ผล ทอม ควินน์ (Tom Quinn) ผู้บริหารของ Radius-TWC (เป็นบริษัทลูกของ Weinstein Company ทำหน้าที่จัดจำหน่ายหนังเฉพาะกลุ่มทางออนไลน์และโรงหนัง เช่น เรื่อง Only God Forgives หรือ It Follows) ได้พูดถึง Snowpiercer ว่าเหมาะสมกับกลยุทธ์การฉายทาง VOD พร้อมโรงหนัง เขายังคาดหวังว่ามันจะไปได้ดีทั้งการฉายในโรงและ VOD ซึ่งหวังว่ามันจะส่งเสริมกัน
โดยผลลัพธ์ที่ออกมาถือว่าน่าสนใจ เพราะจากการฉายจำกัดโรงในสัปดาห์แรก มันค่อยๆ มีกระแสจนเกิดการเพิ่มโรงขึ้นเป็น 356 โรงในสุดสัปดาห์ ถึงแม้จะทำเงินไปเพียง 4.5 ล้านเหรียญ แต่เมื่อเทียบสัดส่วนต่อโรงก็ถือว่าน่าพอใจ ซึ่งควินน์เชื่อว่าการฉาย VOD ช่วยเพิ่มโอกาสการเข้าถึงหนังที่ฉายจำกัดโรง และถ้าหากหนังมันดีก็จะเกิดกระแสปากต่อปากที่ช่วยทำให้หนังที่ยังฉายอยู่ในโรงมีคนดูมากขึ้น
ควินน์ยังบอกอีกว่า “ผมเชื่อว่าโรงหนัง และ VOD สามารถอยู่ร่วมกันได้ ร้านอาหารสุดโปรดของผมเริ่มมีบริการส่งถึงบ้าน แต่ผมก็ยังคงเดินทางไปกินที่ร้านเหมือนเดิม เช่นเดียวกับแต่ละเรื่องที่ต้องวางแผนการฉายแตกต่างกันไปตามความเหมาะสม เพราะไม่ใช่ว่าทุกเรื่องจะสามารถทำแบบ Snowpiercer ได้หมด”
เมื่อเราดูบทเรียนของอุตสาหกรรมหนังเกาหลีใต้เป็นตัวอย่าง แล้วย้อนมาดูข้อเรียกร้องของกลุ่มเครือข่ายผู้ประกอบวิชาชีพภาพยนตร์ ก็จะพบว่ามันอาจจะไม่ใช่ทางออกที่เหมาะสมก็เป็นได้
1. ข้อเรียกร้องสำหรับการดำเนินการระยะเร่งด่วน
1.1 กำหนดสัดส่วนการฉายภาพยนตร์ในโรงภาพยนตร์มัลติเพล็กซ์ โดยกำหนดให้โรงภาพยนตร์มัลติเพล็กซ์ต้องฉายภาพยนตร์ไม่ว่าจะเรื่องใดด้วยสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 20 ของจำนวนจอที่มีอยู่ โดยบังคับใช้กับภาพยนตร์ทุกเรื่อง
1.2 กำหนดจำนวนรอบและระยะเวลาฉายสำหรับภาพยนตร์ไทย ให้โรงภาพยนตร์มัลติเพล็กซ์ ต้องวางโปรแกรมการฉายให้แก่ภาพยนตร์ไทยทุกเรื่อง เป็นระยะเวลาอย่างน้อยที่สุด 2 สัปดาห์เต็ม นับตั้งแต่วันที่เริ่มฉายในโปรแกรมปกติ ให้รอบการฉายวันละ 5 รอบเต็ม เพื่อให้ภาพยนตร์ไทยได้มีโอกาสสร้างรายได้ตอบแทนทันเวลา และมีโอกาสได้เพาะบ่มกลุ่มผู้ชมอย่างจริงจังต่อเนื่อง
1.3 ยกเลิกค่าธรรมเนียมการฉายระบบดิจิทัล (VPF) และ/หรือค่าธรรมเนียม/ค่าใช้จ่ายอื่นใดที่เกี่ยวข้องกับระบบการฉายทั้งหมดสำหรับภาพยนตร์ทุกเรื่อง เนื่องจากเป็นค่าชดเชยการลงทุนเปลี่ยนเครื่องฉายเป็นระบบดิจิทัลที่โรงภาพยนตร์โยนภาระให้แก่ผู้สร้างภาพยนตร์มาเป็นระยะเวลานาน
1.4 จัดการระบบผูกขาดในธุรกิจภาพยนตร์ เนื่องจากโรงภาพยนตร์ส่วนใหญ่ในประเทศอยู่ภายใต้การบริหารของสองเครือใหญ่ ทั้งยังมี ‘สายหนัง’ ที่เป็นผู้แทนจำหน่ายภาพยนตร์จากกรุงเทพฯ สู่แต่ละภูมิภาค ทำให้การประเมินรายได้จากการจำหน่ายบัตรของโรงภาพยนตร์ไม่สามารถนับจากจำนวนคนดูทั่วประเทศได้ จึงเรียกร้องให้คณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า ผู้มีอำนาจตามพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2542 ได้เข้ามาดูแลและกระตุ้นให้เกิดการแข่งขันทางธุรกิจภาพยนตร์ทั้งระบบ
2. ข้อเรียกร้องสำหรับการดำเนินการระยะต่อไป
ให้สมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติ มีบทบาทอย่างจริงจังในการสร้างกลไกเพื่อการพัฒนาคุณภาพของทั้งผู้สร้างภาพยนตร์ไทย และผู้ชมภาพยนตร์ในประเทศไทย ผ่านวิธีการและการดำเนินงานในลักษณะต่างๆ โดยให้ผู้สร้างภาพยนตร์เข้ามามีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ เพื่อให้เกิดผลงานภาพยนตร์ไทยที่มีคุณภาพเป็นที่ยอมรับของตลาด ขณะเดียวกันก็เกิดผู้ชมที่มีรสนิยมอันหลากหลาย มีจิตใจที่เปิดกว้าง สามารถเพาะบ่มวัฒนธรรมการชมภาพยนตร์ให้เกิดขึ้นในประเทศไทยได้อย่างแข็งแรง ทัดเทียมประเทศอื่นๆ ทั่วโลกอย่างแท้จริง”
จากข้อเรียกร้องดังกล่าวเทียบกับบทเรียนศึกษาจากเกาหลีใต้แล้ว เราคิดว่าข้อเรียกร้องในระยะสั้นคงจะไม่ประสบความสำเร็จ เพราะมันคือการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุที่ไม่เกิดความเปลี่ยนแปลงที่จับต้องได้ เราไม่คิดว่าการบังคับกีดกันให้หนังต่างประเทศที่เป็นบล็อกบัสเตอร์ หรือหนังตลาดของไทยฉายเพียง 1 ใน 5 ของจำนวนโรงหนังที่มี จะทำให้คนตัดสินใจไปดูหนังไทยที่เข้าฉายทั้งวันตลอด 2 สัปดาห์แทน
ในขณะเดียวกันแผนระยะยาวเองก็ต้องพึ่งพาการสนับสนุนด้านงบประมาณจากรัฐบาลเพื่อนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์จริงๆ ซึ่งของเกาหลีเขาทำเป็นนโยบายจริงจังหวังผลด้านวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวแล้วประสบความสำเร็จ เราก็หวังว่าของไทยจะมีการเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่สนับสนุนคนทำหนังเป็นเรื่องเป็นราวเหมือนเกาหลีใต้เขาเหมือนกัน
เกาหลีเองก็เคยล้ม เคยตกต่ำ แต่สามารถวิวัฒนาการทางนโยบายจนแข็งแกร่งในระดับโลกได้ แล้วทำไมไทยจะเป็นแบบนั้นไม่ได้ ตัวอย่างก็มีให้เห็น
แล้วคุณมีความคิดเห็นอย่างไรกับข้อเรียกร้องดังกล่าวของกลุ่มเครือข่ายผู้ประกอบวิชาชีพภาพยนตร์บ้าง และคิดว่าทางออกไหนดีที่สุดสำหรับเมืองไทยครับ
ภาพประกอบ: Nisakorn Rittapai
อ้างอิง:
- The Unique Story of the South Korean Film Industry – http://www.inaglobal.fr/…/unique-story-south-korean-film-in…
- The Success of the South Korean Film Industry: Creating a Synergy Between Cinema and VOD – https://www.filmdoo.com/…/the-success-of-the-south-korean-…/
- https://en.wikipedia.org/wiki/Korean_Film_Council
- ‘Snowpiercer,’ VOD and the future of film distribution – http://www.latimes.com/…/la-et-mn-snowpiercer-vod-and-the-f…
- ข้อเรียกร้องของกลุ่มเครือข่ายฯ ภาพยนตร์ต่อประธานสมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติ http://movie.mthai.com/bioscope/205839.html