หนังเกี่ยวกับอะไร

หลังจาก ‘ดร.สตีเฟน สเตรนจ์’ (Benedict Cumberbatch) อัจฉริยะด้านศัลยแพทย์ประสาท ประสบอุบัติเหตุจนทำให้มือทั้งสองข้างของเขาใช้งานไม่ได้ดังเดิม เขาพยายามหาทางรักษาอย่างหนักแต่ไม่ประสบความสำเร็จ จนสุดท้ายต้องหันไปพึ่งอีกศาสตร์ที่พาเขาไปสู่อีกมิติที่มีความลี้ลับของเวทมนตร์

 

สิ่งที่ควรรู้ก่อนไปดูหนัง

ใครดูตัวอย่างหนังแล้วคิดถึง Inception หากคุณสงสัยว่ามันเป็นการก๊อปปี้กันมาหรือเปล่า ขอเคลียร์ให้เข้าใจตรงกันเลยว่า Doctor Strange สร้างมาจากคอมิกของ สตีฟ ดิตโก (Steve Ditko) ซึ่งในคอมิกมีฉากบิดเมืองให้ตั้งฉากหรือทแยงมุม แต่อย่างไรก็ตาม สก็อตต์ เดอร์ริกสัน (Scott Derrickson) ผู้กำกับ Doctor Strange ก็ยอมรับว่าเขาได้แรงบันดาลใจมาจาก Inception แต่ไม่ใช่การเลียนแบบอย่างแน่นอน

 

สิ่งที่ชอบที่สุดจากหนัง

สิ่งเดียวที่ชอบในหนังคือ งานวิชวลเอฟเฟกต์สุดตื่นตา โดยเฉพาะงานโชว์ฉากบิดเมืองอย่างต่อเนื่องหนักหน่วง แถมฉากต่อสู้ยังใช้ประโยชน์จากลูกเล่นบิดเมืองและยืดขยายพื้นผิวได้ในระดับที่ดี มีหลายฉากที่เป็นงานโชว์ของทีมเทคนิคพิเศษ ซึ่งเราคิดว่าเขาคงมันมือจนประเคนความคิดสร้างสรรค์ใส่หนังไม่ยั้ง (ชอบฉากทิลดา สวินตัน (Tilda Swinton) ไล่ล่าตัวร้ายตอนเปิดเรื่อง และฉากไคลแมกซ์ที่ฮ่องกง)

แถมอีกอย่างคือชอบผ้าคลุมที่ดูจะเรียกเสียงหัวเราะได้เป็นระยะ ถือเป็นสีสันเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่แย่งซีนหนังมากจนเกินไป

 

สิ่งที่ไม่ชอบที่สุดจากหนัง

หากปราศจากงานเทคนิคพิเศษที่ชวนตื่นตาแล้ว Doctor Strange คงเป็นหนังที่ธรรมดามากๆ ไปเลย บทหนังจะมีช่วงที่พระเอกฝึกฝีมือ แต่ไม่ได้มีความเข้มข้นอะไร เห็นชัดเจนว่าผู้กำกับเร่งรีบจะพาหนังเข้าสู่การโชว์จุดขายของหนัง นั่นก็คืองานโชว์เทคนิคพิเศษต่างๆ ซึ่งบางครั้งการเลือกไม่ให้ความสำคัญกับบทหนัง มันก็เป็นตัวฉุดความน่าสนใจลงไปมากทีเดียว

 

เราเรียนรู้อะไรจากหนัง

เหมือนหนังหลายๆ เรื่องที่พูดประเด็นเรื่องการแสวงหาความอมตะคือทางเลือกที่ผิด ตัวร้ายใน Doctor Strange คิดว่าศัตรูของมนุษย์คือเวลา เขาจึงเลือกที่จะเข้าสู่ด้านมืดเพื่อทำให้โลกนี้อยู่เหนือกาลเวลา สิ่งที่หนังแนวนี้ทุกเรื่องล้วนหยิบยกมาเตือนใจก็คือ ความสำคัญของการตายที่ช่วยให้เราตระหนักถึงการสร้างคุณค่าอะไรบางอย่างในชีวิต ก่อนจะถึงจุดหมายปลายทางที่เรียกว่า ‘ความตาย’

 

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยจากหนัง

เบเนดิกต์ คัมเบอร์แบตช์ คือคนแรกของสตูดิโอที่จะให้มารับบท ดร.สเตรนจ์ แต่ในตอนแรกเขาติดสัญญาแสดงละครทางโทรทัศน์เรื่อง Hamlet อยู่ ทำให้สตูดิโอต้องมองหาตัวเลือกที่สอง นั่นก็คือ วาคีน ฟินิกซ์ (Joaquín Phoenix) ซึ่งสนใจจะเล่นหนังเช่นเดียวกัน แต่ได้ปฏิเสธในภายหลัง เพราะเขาไม่อยากเซ็นสัญญาผูกมัดให้เล่นภาคต่อ ดังนั้นสุดท้ายบทจึงวนกลับมาเป็นของเบเนดิกต์

 

หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร

แน่นอน 100% ว่าสำหรับคนที่ชอบเสพงานวิชวลเอฟเฟกต์ล้ำๆ เจ๋งๆ ต้องไม่พลาด ส่วนแฟนหนัง Marvel ที่ติดตามมาตลอดก็คงต้องดูกันอยู่แล้ว เพราะ Doctor Strange คือ เฟส 3 ของจักรวาลหนังมาร์เวล (Marvel Cinematic Universe)

 

ควรชวนใครไปดู

ชวนใครไปดูก็ได้ แค่เช็กดีๆ ว่าเขาเป็นคนมึนหัวง่ายหรือเปล่า เพราะบางคนอาจจะเมากับงานภาพบิดเมืองที่โคตรหนักหน่วง

 

ความคุ้มค่าต่อเงินที่เสียไป

เราคิดว่าหนังที่ควรเชียร์ให้ไปดูในระบบพิเศษ มันควรจะมีดีมากกว่าแค่งานเทคนิคพิเศษ ดังนั้นสำหรับคนที่ลังเลจะดูในระบบพิเศษ เช่น 3D หรือ IMAX 3D คงต้องถามตัวเองก่อนว่าคาดหวังแค่งานภาพอย่างเดียวไหม ถ้าโอเค ก็ตีตั๋วไปดูระบบ 3D ได้เลย ส่วนถ้าคาดหวังมากกว่านั้น แต่อยากดู ก็รอวันพุธหรือหาส่วนลดก็คุ้มค่าเงินอยู่ เพราะยังไงมันก็ไม่ใช่หนังแย่อะไรเลย

 

ขอ 3 พยางค์จากหนังเรื่องนี้

วิ ชวล เลิศ

Tags: , , , , , ,