คุณมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ เป็นหนึ่งในนักการเมืองหน้าใหม่ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา หากไม่นับคุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ซึ่งนำพรรคใหม่อย่างอนาคตใหม่จนได้ ส.ส.มากเป็นอันดับสาม คุณมิ่งขวัญก็คือนักการเมืองหน้าใหม่ที่ประสบความสำเร็จที่สุดในการเลือกตั้งครั้งนี้เลยทีเดียว
บางคนอาจแย้งว่าคุณมิ่งขวัญไม่ได้ ‘ใหม่’ จริงอย่างคุณธนาธร แต่ครั้งสุดท้ายที่คนจำได้คุณมิ่งขวัญได้ คือสมัยเป็นรองนายกฯ สมัยเป็นสมาชิกพรรคพลังประชาชนจนถูก “ตุลาการภิวัฒน์” ยุบพรรคในปี ‘51 ส่วนการเป็น ส.ส. เพื่อไทยแล้วลาออกโดยไม่ลงเลือกตั้งปี ‘57 นั้นไม่มีอะไรให้จดจำจนถือว่าคุณมิ่งขวัญ ‘ใหม่’ ในเลือกตั้งปีนี้จริงๆ
คุณธนาธรและคุณมิ่งขวัญเหมือนกันตรงที่ทำพรรคที่หาเสียงกับความ ‘ใหม่’ โดยแทบไม่ใช้นักการเมืองหน้าเก่า ยิ่งไปกว่านั้นคือทั้งคู่สร้างพรรคโดยประชาสัมพันธ์ตัวเองทั้งใน สื่อเก่าและสื่อใหม่ โดยเฉพาะการเข้าร่วมดีเบตสูงเป็นอันดับต้นๆ อีกทั้งยังสร้างกระแสโซเชียลจนมีแฮชแทกของตัวเองแทบตลอดเวลา
ขณะที่คุณธนาธรสร้างกระแสด้วยการเสนอนโยบายที่เปลี่ยนประเทศอย่างถึงรากจนพรรคอนาคตใหม่เป็นที่จดจำ คุณมิ่งขวัญก็วางสถานะตัวเองในการเลือกตั้งให้เป็นสัญลักษณ์ของความเปลี่ยนแปลงด้วย ถึงภาพคุณมิ่งขวัญจะไม่ ‘ถึงราก’ เท่าคุณธนาธร แต่คนที่เลือกพรรคคุณมิ่งขวัญ ต่างก็อยากให้สังคมไทยต่างจากที่ผ่านมาห้าปี
คนเลือกพรรคเศรษฐกิจใหม่ คือกลุ่มคนที่คาดหวังการเปลี่ยนแปลง
หัวหน้าของทั้งสองพรรคล้วนหาฐานเสียงสนับสนุนจากคนที่ต้องการเห็นสังคมเปลี่ยนแปลง ทั้งคู่ต่างก็ใช้ยุทธวิธีทำให้คนเชื่อมั่นในตัวผู้นำของพรรคจนไปเลือกผู้สมัครในที่สุด พรรคจะได้คะแนนแค่ไหนขึ้นอยู่ว่า จะสามารถทำให้คนศรัทธาในพรรคได้มากเพียงใด
ผลเลือกตั้งออกมาว่า พรรคอนาคตใหม่ได้ ส.ส. เข้าสภา 80-87 ราย รวมทั้งมีคนเมืองหลวงเลือกสูงสุด คุณธนาธรประสบผลสำเร็จในการสร้างความเชื่อมั่นจากประชาชน จนอานิสงส์แผ่สู่ผู้สมัครและพรรค ส่วนคุณมิ่งขวัญได้ที่นั่ง 5-6 เสียงซึ่งอาจเรียกได้ว่าสูงกว่าที่คาด แต่หลังเลือกตั้งกลับมีปัญหาความเชื่อมั่นถดถอย จนเกิดแฮชแท็ค #ลุงมิ่งโป๊ะแตก และอื่นๆ
พูดให้เห็นภาพยิ่งขึ้น คุณธนาธรช่วงก่อนและหลังเลือกตั้งแถลงแนวคิดชัดเจน มีคนเลือกพรรคเกือบเจ็ดล้าน ขณะที่คุณมิ่งขวัญในช่วงหลังเลือกตั้งกลับถูกครหาว่าแสดงจุดยืนไม่ชัด ที่แม้ในความเป็นจริง บางเรื่องคุณมิ่งขวัญแค่พูดไม่มากเท่าที่คนบางกลุ่มคาดหวังว่าคุณมิ่งขวัญต้องพูด
คุณมิ่งขวัญถูกโจมตีว่าไม่แสดงจุดยืนให้ชัดเรื่องตั้งรัฐบาล เพราะแม้คุณมิ่งขวัญหาเสียงว่า “ไม่เอาประยุทธ์” อีกทั้งหลังเลือกตั้งก็ร่วมลงชื่อกับ “ฝ่ายประชาธิปไตย” แต่เขากลับไม่ยอมไปแถลงข่าวร่วมกัน ต่อมาก็ยังมีสื่ออ้างว่าพรรคพลังประชารัฐยืนยันเรื่องคุณมิ่งขวัญหันไป “เอาประยุทธ์” แม้คุณมิ่งขวัญจะยืนยันว่าไม่เคยเจรจาอะไรที่เป็นข่าวเลย แต่หลังเลือกตั้งมา คุณมิ่งขวัญไม่ประสบความสำเร็จในการเรียกร้องให้สังคมเชื่อมั่นเท่าช่วงก่อนเลือกตั้ง คนหลายกลุ่มจึงไม่รู้จะ “เอา” หรือ “ไม่เอา” คุณมิ่งขวัญกันแน่
ถ้าถือว่าคุณธนาธรสร้างความเชื่อมั่นโดยเสนอความคิดให้คนแต่ละกลุ่มรู้ว่าจะ “เอา” หรือ “ไม่เอา” คุณมิ่งขวัญก็คือนักการเมืองที่พยายามไล่กวดกระแสสังคมที่ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงโดยเสนอมาตรการบางอย่าง เพียงแต่การเปลี่ยนแปลงนั้นอาจไม่ชัดว่าจะเป็นเรื่องทิศทางประเทศหรือแค่เปลี่ยนตัวบุคคลก็ตาม
แต่การตั้งชื่อพรรคว่า “เศรษฐกิจใหม่” เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ถูกใช้เพื่อสื่อสารให้สังคมเห็นว่าคุณมิ่งขวัญเป็นสัญลักษณ์ของความเปลี่ยนแปลง เพราะทุกคนที่ได้ยินคำนี้ย่อมรู้สึกว่าคุณมิ่งขวัญกำลังทำพรรคเพื่อเปลี่ยนเศรษฐกิจประเทศให้ดีกว่าปัจจุบันแน่ๆ ต่อให้คุณมิ่งขวัญจะไม่ค่อยพูดว่าเปลี่ยนแค่ไหนและอะไรก็ตาม
แก่นแท้และจุดยืนของมิ่งขวัญและพรรคเศรษฐกิจใหม่
ในสังคมตะวันตกที่คำว่า “เศรษฐกิจใหม่” กำเนิดขึ้นมานั้น คำนี้มีความหมายตั้งแต่ระบบเศรษฐกิจที่มีเทคโนโลยีเป็นฐาน เศรษฐกิจที่มีเป้าหมายเพื่อความยั่งยืน – ความยุติธรรม – ประชาธิปไตย หรืออาจถึงการยกระดับอุตสาหกรรมข้อมูลข่าวสาร – ไบโอเทค – เทคโนโลยีอวกาศ แต่ถึงอย่างไรก็ดร คุณมิ่งขวัญไม่เคยบอกว่านิยามคำนี้อย่างไร
คุณมิ่งขวัญพูดเยอะว่ารัฐบาลนี้ทำงานเศรษฐกิจไม่ได้ความ แต่คุณมิ่งขวัญไม่ไปถึงขั้นระบุว่าต้นเหตุของสภาพนี้คืออะไรกันแน่ คำว่า “เศรษฐกิจใหม่” จึงเป็นเช็คเปล่าที่วิจารณ์ได้ทั้งคุณสมคิด, ยุทธศาสตร์การพัฒนา, นโยบายการคลัง, ประชานิยมเผด็จการ ฯลฯ โดยอาจไม่ชัดเจนว่าจะแก้ต้นตอของปัญหาอย่างไร
“เศรษฐกิจใหม่” ชวนให้คิดถึงประเทศไทยและรัฐบาลที่มาจากการยึดอำนาจตั้งแต่ปี 2557 ว่าเป็น “เศรษฐกิจเก่า” ที่สมควรเปลี่ยนแปลง แต่ความเปลี่ยนแปลงที่คุณมิ่งขวัญพาคนไทยไปไกลที่สุดดูจะเป็นการเติมคุณมิ่งขวัญในฐานะรัฐมนตรีเศรษฐกิจหน้าใหม่ๆ ไม่ว่าจะในรัฐบาลอื่นหรือในระบอบนายพล
คุณมิ่งขวัญแจ้งเกิดจากการโจมตีนโยบายแจกเงินของพรรคพลังประชารัฐและคสช. แต่โวหารที่คุณมิ่งขวัญใช้ก็ผลิตซ้ำวิธีที่กลุ่มต้านประชาธิปไตยทำกับรัฐบาลยิ่งลักษณ์และพรรคการเมืองในอดีต คสช.จึงมีปัญหาในโลกของคุณมิ่งขวัญเพราะดันทำหลายเรื่องที่ ‘ประชานิยม’ ทั้งที่เคยวิจารณ์คนอื่นไว้เท่านั้นเอง
หนึ่งในตัวอย่างของการโจมตี ‘ประชานิยม’ คือวิธีปั่นกระแสว่าการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำจะทำให้ก๋วยเตี๋ยวชามละ 100 แต่คุณมิ่งขวัญเป็น ส.ส. พรรคเพื่อไทยในยุคขึ้นค่าแรงจาก 225 บาทเป็น 300 บาท จนควรรู้ว่าค่าแรงไม่มีผลต่อราคาสินค้าโดยตรง ส่วนภาครัฐสามารถออกมาตรการลดภาษีเพื่อทุเลาผลกระทบต่อเศรษฐกิจได้พร้อมกัน
“เศรษฐกิจใหม่” ไม่ผิดที่ไม่ชัดว่าใหม่อะไร แต่คุณมิ่งขวัญไม่เหมาะที่โจมตีนโยบายนี้ เหมือนคสช.ที่ปกปิดความจริงว่าค่าแรงจะถูกจับจ่ายจนเกิดกิจกรรมเศรษฐกิจที่ทวีคูณซึ่งเพิ่มเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจ การต่อต้านประชานิยมจึงชวนให้สงสัยว่า “ใหม่” ของพรรคคือลดบทบาทรัฐทางเศรษฐกิจไปเลย
คุณมิ่งขวัญพูดเยอะเรื่องลดราคาน้ำมันและการเพิ่มรายได้เข้าประเทศ แต่การชี้แจงกฎหมายและมาตรการภาษีเรื่องนี้กลับมีนิดเดียว ส่วนการคิดเรื่องรายได้โดยไม่พูดเรื่องลดความเหลื่อมล้ำก็คือการทำให้ประเทศเป็นสวรรค์ของนักลงทุนบนความยากจนของคนส่วนใหญ่อย่างที่เป็นมานานจนไม่มีอะไร “ใหม่” จริงๆ
คนจำนวนมากเลือกพรรคเศรษฐกิจใหม่เพราะหวังให้คุณมิ่งขวัญไปเปลี่ยนประเทศ แต่คำวิจารณ์ที่พรรคมีต่อ คสช.หรือพรรคอื่นๆ ไม่ได้ทำให้เกิดนโยบายที่ชัดเจนเท่าที่สังคมคาดหวังไปด้วย ความ “ไม่ชัด” ว่าพรรคจะทำอะไรจึงเป็นอัตลักษณ์ของพรรคตั้งแต่ต้น จะโดยตั้งใจหรือเพราะเป็นไปตามสถานการณ์ก็ตาม
ความเชื่อมั่นที่แสนเปราะบาง ต่อมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์
ขณะที่คนเชื่อมั่นว่าคุณมิ่งขวัญสามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ทั้งที่โดยเนื้อแท้แล้วคุณมิ่งขวัญพูดเรื่องนี้คลุมเครือ ในทางตรงกันข้าม แม้คุณมิ่งขวัญแสดงจุดยืนไม่เอาทหาร ไม่เอาสืบทอดอำนาจ และไม่เอาพลังประชารัฐไว้ชัดเจนมาก แต่ความเชื่อมั่นที่สังคมมีต่อคุณมิ่งขวัญด้านการเมืองกลับคลุมเครือ
ในบริบทที่พรรคขนาดกลางและพรรคเล็กจำนวนมากไม่วิพากษ์ คสช.เพราะหวังร่วมรัฐบาล, กลัวทหาร, โดนขู่ยุบพรรค, สร้างอำนาจต่อรอง ฯลฯ แต่พรรคเศรษฐกิจใหม่ภายใต้การนำของคุณมิ่งขวัญนั้น เป็นหนึ่งในไม่กี่พรรคที่กล้าพูดว่าเผด็จการคือปัญหา และประชาธิปไตยคือทางออกของประเทศในระยะยาว
คนจำนวนมากเข้าใจถูกว่า ความไม่พอใจ คสช. เป็น ‘กระแส’ ที่ใครพูดก็ได้รับความนิยมจากประชาชน แต่ที่คนจำนวนมากอาจไม่ตระหนักก็คือ การวิพากษ์ คสช. มาพร้อมกับความเสี่ยงที่จะถูกผู้มีอำนาจคุกคามด้วยวิธีต่างๆ คุณมิ่งขวัญจึงเป็นหัวหน้าพรรคที่พึงยกย่อง ในแง่ผลักดันให้พรรคเศรษฐกิจใหม่แสดงจุดยืนเรื่องนี้ตรงๆ
ถ้าคุณมิ่งขวัญวิพากษ์ คสช. เพียงเพื่อ “โหนกระแส” แบบที่คนนินทา คุณมิ่งขวัญคงไม่นำทัพพรรคสู่เส้นทางนี้ทั้งๆ ที่เห็นว่า คสช.ฟ้องพรรคเพื่อไทยและจับคนของพรรคเข้าค่ายทหาร, อนาคตใหม่โดนฟ้อง, พรรคเพื่อชาติโดนไล่บี้ และกองทัพส่งทหารประกบหัวหน้าพรรคเสรีรวมไทยขณะหาเสียงจนมีเรื่องมีราว
พูดตรงๆ ความไม่เชื่อมั่นคุณมิ่งขวัญเรื่องการเมืองมาจากการเอาคุณมิ่งขวัญไปเทียบกับแคนดิเดตนายกฯ หรือบุคคลสำคัญของพรรค “ฝ่ายประชาธิปไตย” ไม่ว่าจะเป็นคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์, อาจารย์ชัชชาติ สิทธิพันธุ์, คุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ, พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส , วันมูหะมัดนอร์ มะทา, คุณจตุพร พรหมพันธุ์ ฯลฯ จนเกิดความรู้สึกว่าคุณมิ่งขวัญพูดไม่ชัดขึ้นมา
คุณมิ่งขวัญเป็นนักการเมืองที่ไม่ค่อยพูดเรื่องการเมือง การถูกเปรียบเทียบกับคนที่พูดเรื่องการเมืองมาตลอดย่อมทำให้คุณมิ่งขวัญถูกมองว่า “ไม่ชัด” ไปด้วย ยิ่งกว่านั้นคือคุณมิ่งขวัญไม่ได้สื่อสารว่ารัฐประหารเป็นต้นตอของปัญหาประเทศมากเท่า ‘ฝ่ายประชาธิปไตย’ คนอื่นๆ จนง่ายที่จะถูกคนระแวงโดยปริยาย
ปัญหาของพรรคเศรษฐกิจใหม่ตอนนี้ไม่ใช่คุณมิ่งขวัญไม่ชัดเรื่องการเมือง แต่ทำไมคุณมิ่งขวัญเป็นคนเดียวในพรรคที่ประกาศไม่เอาสืบทอดอำนาจชัดๆ โดยว่าที่ ส.ส.หรือสมาชิกพรรคคนอื่นไม่พูดอะไร จนน่าสงสัยว่าคนเหล่านั้นอาจไม่เห็นด้วยกับคุณมิ่งขวัญเลย หรืออย่างน้อยก็ไม่สนใจมากจนพูดออกมา
ในแง่นี้ สถานะของคุณมิ่งขวัญในพรรคเศรษฐกิจใหม่คล้ายคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สมัยเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เพราะต่อให้ทั้งคู่จะเป็นหัวหน้าที่พูดชัดว่าไม่เอา คสช.และการสืบทอดอำนาจ สังคมก็หวาดระแวงไม่หยุด เพราะพรรคมีสมาชิกคนสำคัญจำนวนมากที่พูดอีกแบบ หรือกระทั่งไม่พูดอะไรเลย
พรรคเศรษฐกิจใหม่กำลังตกอยู่ในอันตราย
ช่วงสงกรานต์ มีคนปล่อยข่าวผ่านสื่อว่าพรรคเศรษฐกิจใหม่เปลี่ยนข้างไปหนุนพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่ภายใต้ข้อเท็จจริงที่คุณมิ่งขวัญพูดเรื่องจะต้านการสืบทอดอำนาจนั้นมันชัดจนบิดพลิ้วไม่ได้ ยุทธวิธีที่จะเกิดคือการดูดว่าที่ ส.ส. ของพรรคเศรษฐกิจใหม่ไปฝ่ายตรงข้ามให้มากที่สุด ส่วนคุณมิ่งขวัญจะไม่มาก็ไม่เป็นไร
เพื่อจะทำให้ปฏิบัติการดูดไม่น่ารังเกียจเกินไป การดำเนินการให้พรรคเศรษฐกิจใหม่ถูกยุบอาจเป็นช่องทางให้ ส.ส. เปลี่ยนข้างโดยถูกครหาน้อยที่สุด เพราะรัฐธรรมนูญ ม.101 ชี้ว่า ส.ส. ของพรรคที่ถูกยุบหลังรับรองผลเลือกตั้งสามารถย้ายไปพรรคใหม่ได้ใน 60 วัน ส่วนกรรมการพรรคจะถูกตัดสิทธิการเมืองทันที
ในสถานการณ์ที่คุณมิ่งขวัญแทบจะเป็นคนเดียวในพรรคที่ต้านสืบทอดอำนาจ การที่ผู้สมัคร ส.ส. ไปยื่น กกต. ให้ยุบพรรคโดยอ้างว่า “คนนอกครอบงำ” คือเงื่อนไขให้ยุบพรรคได้แล้ว จากนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นคือ ส.ส. จะย้ายไปพรรคอื่นได้ ส่วนคุณมิ่งขวัญจะพ้นตำแหน่งหัวหน้าและ ส.ส. แบบกรรมการไทยรักษาชาติไปเลย
คุณมิ่งขวัญในสภาพนี้มีทางเลือกสองทาง ทางแรกคือยืนยันจุดยืนไม่เอาคสช. ซึ่งมาพร้อมกับความเสี่ยงที่พรรคจะถูกยุบ และตัวเองจะถูกตัดสิทธิทางการเมือง ส่วนทางที่สองคือ ย้ายไปอยู่ฝ่าย คสช. เพื่อตัดความเสี่ยงเรื่องนี้ให้หมด และถึงตอนนี้ก็ชัดเจนแล้วว่า คุณมิ่งขวัญเลือกเส้นทางของการปกป้องจุดยืนมากกว่าการสร้างความปลอดภัยให้อนาคตทางการเมืองของตัวเอง
คุณมิ่งขวัญเป็นสัญลักษณ์ของความต้องการเปลี่ยนประเทศจากที่เป็นอยู่มาห้าปี ทั้งที่คุณมิ่งขวัญไม่ได้พูดถึงการเปลี่ยนแปลงที่ถึงราก ชะตากรรมที่เกิดกับคุณมิ่งขวัญก็สะท้อนว่า แรงต้านการเปลี่ยนประเทศตอนนี้มีสูงมาก จึงไม่ต้องคิดเลยว่า ท่าทีผู้มีอำนาจต่ออนาคตใหม่, เพื่อไทย และพรรคอื่นจะรุนแรงเพียงไร
ประเทศไทยหลังการเลือกตั้งปี 2562 กำลังเผชิญสถานการณ์ที่ไม่เคยมีในการเลือกตั้งครั้งอื่น ผลการลงคะแนนเลือกตั้งไม่เกี่ยวกับการตั้งรัฐบาล ผู้บริหารและผู้ออกกฎหมายของประเทศมาจากพรรคที่ไม่ชนะเลือกตั้งก็ได้ และช่องทางในการเปลี่ยนประเทศกำลังถูกบีบให้เรียวแคบ และจำกัดอยู่แต่ในกลุ่มที่ผู้มีอำนาจพึงพอใจ
Tags: คสช., คณะรักษาความสงบแห่งชาติ, พรรคเศรษฐกิจใหม่, มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์, งูเห่า