ด้วยฝีมือการแสดงบวกกับเสน่ห์อันเป็นธรรมชาติ ทำให้เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ กลายเป็นที่รักของแฟนๆ ทั่วโลก ลอว์เรนซ์เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้นจากบทบาท ‘มิสทีค’ ใน X-Men: First Class (2011) จากนั้นในปี 2012 เมื่อรับบท แคตนิส เอฟเวอร์ดีน จาก The Hunger Games (2012) เธอก็กลายเป็นที่จดจำ รวมถึงการแสดงอันโดดเด่นในปีเดียวกันจาก Silver Linings Playbook (2012) ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำให้เธอคว้ารางวัลออสการ์มาครอง

ปัจจุบันลอว์เรนซ์ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์มาแล้ว 4 ครั้ง นี่ก็คงการันตีได้ดีว่านักแสดงที่อายุเพียง 28 ปีคนนี้มีพรสวรรค์มากขนาดไหน

ลอว์เรนซ์ไม่ได้เป็นที่รักเพียงเพราะการแสดงของเธอเท่านั้น แต่ด้วยความที่เธอมีความเป็นธรรมชาติอยู่ในทุกๆ ที่ที่ปรากฏตัวและเป็นคนค่อนข้างตรงไปตรงมา จึงทำให้เธอยิ่งเปล่งประกายและมีเสน่ห์ล้นเหลือ สัปดาห์นี้เราจะทุกคนไปรักเธอให้มากยิ่งขึ้นจากหลายบทบาทคุณภาพ

Silver Linings Playbook (2012)

เวลาที่เจ็บปวด คุณหาทางออกด้วยการทำอะไรหรือจัดการตัวเองได้ดีมากน้อยแค่ไหน? แต่กับบางคน เขาไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ให้เป็นไปตามต้องการได้ จึงตกลงไปในความป่วยไข้จนยากเกินจะเยียวยาด้วยตัวเอง

Silver Linings Playbook ภาพยนตร์ที่เขียนบทและกำกับโดย เดวิด โอ. รัซเซลล์ (Three Kings (1999), The Fighter (2010) และ American Hustle (2013)) ซึ่งดัดแปลงมาจากนวนิยายในชื่อเดียวกันของแมทธิว ควิก ภาพยนตร์ประสบความสำเร็จอย่างมากในด้านคำวิจารณ์และรายได้ ทำเงินไปมากกว่า 200 ล้านเหรียญทั่วโลก

แพท ชายผู้เคยมีทุกอย่างสมบูรณ์พร้อม เป็นอาจารย์สอนประวัติศาสตร์ มีภรรยาที่ (เคย) น่ารัก แต่แล้วเขาก็ดิ่งลงเหวจากเหตุการณ์ที่ภรรยานอกใจ สิ่งนี้กระทบกระเทือนจิตใจเขาจนกลายเป็นผู้ป่วยไบโพล่าร์ แพทต้องเข้ารักษาอาการอยู่ในโรงพยาบาลนาน 8 เดือน จนได้ออกมาใช้ชีวิตปกติอีกครั้ง โดยที่สภาพจิตใจอาจจะยังไม่เต็มร้อย เขายังคงหวังว่าจะได้กลับไปใช้ชีวิตกับภรรยาอีก แต่สถานการณ์ก็พาให้เขาได้พบกับทิฟฟานี่ แม่ม่ายสาวที่อยู่ในภาวะอารมณ์ไม่ต่างกัน เธอสูญเสียสามีไปจึงไม่ค่อยยี่หระต่อชีวิตเท่าไร

ในตอนแรกพวกเขาเข้ากันไม่ค่อยได้ แต่ทั้งสองต้องร่วมมือกันด้วยเงื่อนไขบางอย่าง แพทต้องการภรรยาคืน และทิฟฟานีต้องการคู่เต้นรำในการแข่งขัน จุดเริ่มต้นประสาทนี้กลายมาเป็นการช่วยเหลือกันและกันไปโดยไม่รู้ตัว ความแตกต่างที่เชื่อมพวกเขาเอาไว้ แม้จะไม่ใช่แบบที่หวัง แต่ทั้งแพทและทิฟฟานี่ก็สามารถมีความสุขได้อีกครั้ง

ภาพยนตร์เป็นส่วนผสมที่ลงตัวของภาพยนตร์ดราม่า ตลก และโรแมนติก แต่ละคนสามารถทำหน้าที่ของตัวเองได้เป็นอย่างดี และเนื้อเรื่องก็เข้าถึงคนได้ง่าย ชีวิตอย่างแพทหรือทิฟฟานี่สามารถเกิดขึ้นกับใครก็ได้ ความเศร้าที่ยากเกินจะเยียวยาอาจต้องมีตัวช่วย ไม่ว่าจะเป็นการพบแพทย์ กินยา ผู้คนแวดล้อม หรือสังคม มันไม่สามารถหายไปได้ในพริบตา ไม่สามารถเข้านอนแล้วลืมเรื่องราวทั้งหมดได้ แต่เราต้องเข้มแข็งพอจะยอมรับแล้วมองหาทางออกให้ตัวเอง บาดแผลในจิตใจจึงจะค่อยๆ เบาบางลง

Joy (2015)

Joy ภาพยนตร์ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเรื่องจริงของจอย แมงกาโน่ แต่ก็ไม่ได้เป็นอัตชีวประวัติของจอย แมงกาโน่ ทั้งหมด เพราะว่าอีกครึ่งนั้น ผู้กำกับหยิบเรื่องมาจากบรรดาผู้หญิงที่กล้าหาญซึ่งเขารู้จักและอ่านเรื่องราวของพวกเธอมา นี่เป็นอีกหนึ่งผลงานจากผู้กำกับ เดวิด โอ. รัซเซลล์ และเป็นเรื่องที่ทำให้เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ กับแบรดลีย์ คูเปอร์ โคจรกลับมาพบกันอีก

จอย แมงกาโน่ หญิงสู้ชีวิตที่ต้องดิ้นรนเพื่อให้รอดพ้นไปในแต่ละวัน เธออาศัยอยู่ในครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์และอบอุ่นเท่าไรนัก จอยมีลูกต้องเลี้ยงดูสองคน แถมแม่ที่ติดโทรทัศน์งอมแงม พร้อมกับยายที่เจ็บป่วย และอดีตสามีโทนี่ก็ยังอยู่ในบ้านเดียวกันไม่ไปไหน แล้วพ่อก็ยังย้ายกลับเข้ามาอีกหลังจากการหย่าครั้งที่ 3 ปัญหาต่างๆ จึงมาสุมอยู่ที่เธอและยิ่งหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ

แต่จอยมีสิ่งหนึ่งที่ติดตัวมาแต่เด็ก คือความช่างคิด ช่างประดิษฐ์ แม้ว่าปัจจัยต่างๆ จะบีบบังคับให้เธอไม่ได้เดินตามความฝัน ถึงกระนั้นมันก็ยังไม่จางหายไปจากใจเธอ จนวันหนึ่ก็เข้ามาคลี่คลายสกานการณ์ต่างๆ ที่ต้องเผชิญอยู่ เมื่อเธอฉุกคิดได้ว่าเธอจะเปลี่ยนแปลงอะไร และเปลี่ยนแปลงมันอย่างไร นวัตกรรมใหม่ของแม่บ้าน และเป็นเหมือนการปฏิวัติวงการทำความสะอาดบ้านครั้งใหญ่ สิ่งที่จอยประดิษฐ์ขึ้นมาก็คือไม้ม็อบ! แม้ว่าเส้นทางของความสำเร็จจะขลุกขลักอยู่บ้าง แต่เธอเชื่อมั่นว่าจะต้องทำได้ มันไม่ใช่เพื่อเธอคนเดียว แต่เพื่อครอบครัวของเธอด้วย

เรื่องราวของจอย น่าชื่นชมตรงที่เธอต้องแบ่งรับหลายหน้าที่ไปพร้อมๆ กัน แต่เธอก็พยายามเดินหน้าอย่างสุดความสามารถเพื่อจะได้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แรงผลักดันในการดูแลครอบครัวเป็นส่วนที่ทำให้ Joy แตกต่างจากภาพยนตร์อื่นๆ เนื้อหาในช่วงต้นอาจจะเรียบง่ายไปสักหน่อย แต่เมื่อมาถึงช่วงกลางความเข้มข้นก็มากขึ้น การแสดงของเจน ลอว์โดดเด่นและเอาอยู่มากๆ สามารถประคับประคองเรื่องราวให้ผ่านไปได้ด้วยดี

ไม่ใช่ทุกความฝันจะประสบความสำเร็จ แต่ทุกความฝันจะสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อลงมือ

Passengers (2016)

Passengers ภาพยนตร์ไซไฟ-โรแมนติก กำกับโดยมอร์เต็น ทิลดัม (The Imitation Game (2014)) แถมยังได้นักเขียนบทฝีมือดีอย่าง จอน สเปธส์ (Prometheus (2012) และ Doctor Strange (2016)) มาร่วมงานด้วย

บทภาพยนตร์เรื่องนี้เขียนขึ้นครั้งแรกในปี 2007 แต่ยังคงอยู่ในขั้นพัฒนาบทและการคัดเลือกนักแสดงมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา จนในปี 2014 โซนี่พิคเจอร์สเอ็นเตอร์เทนเมนต์ได้รับสิทธิ์ในภาพยนตร์เรื่องนี้ไป และทิลดัมก็ได้แนบรายชื่อนักแสดงไปด้วย โดยปรากฏเป็นชื่อคริส แพรตต์ และ เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์

เรื่องราวของภาพยนตร์เกิดขึ้นในโลกอนาคต เมื่อมนุษย์เจอดาวอาณานิยมดวงใหม่ชื่อว่าโฮมสเตด ผู้คนจำนวนหนึ่งคิดว่านั่นจะเป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ดี พวกเขาจึงเดินทางไปกับยาวอวกาศอวาลอน ในยานลำนี้มีคนมากกว่า 5,000 คนนอนอยู่ในแคปซูลจำศีลเพื่อตื่นอีกทีที่ปลายทางในอีก 120 ปีข้างหน้า

แต่แล้วเมื่อผ่านไป 30 ปี ระบบภายในดันขัดข้อง ทำให้จิม เพรสตันถูกปลุกขึ้นมา โดยที่ไม่รู้ว่าสาเหตุมาจากอะไร และเวลาเดินทางอีก 90 ปีนั้นมากเกินกว่าอายุขัยของเขาแน่ๆ

จิมทั้งสิ้นหวังและเคว้างคว้าง เขาใช้ชีวิตในแต่ละวันไปกับหุ่นยนต์บาร์เทนเดอร์ จนเมื่อผ่านไป 1 ปี จิมก็ได้พบกับผู้ร่วมชะตากรรม เธอคือออโรร่า เลน ความสัมพันธ์แบบคนแปลกหน้าในความว่างเปล่านั้น ทำให้พวกเขาค่อยๆ ใกล้ชิดกัน รวมถึงพยายามทุกวิถีทางที่จะมีชีวิตรอด แต่การตื่นครั้งนี้เป็นเหมือนฝันร้าย เพราะพวกเขาไม่สามารถกลับไปหลับใหลในแคปซูลได้อีกแล้ว ท้ายที่สุด ทั้งสองพบว่ายานกำลังขัดข้องและสูญเสียการควบคุม หากพวกเขาไม่สามารถกอบกู้วิกฤตนี้ไว้ได้ ยานลำนี้ก็คงไม่มีโอกาสไปถึงที่หมายอย่างแน่นอน

ภาพยนตร์เรื่องนี้มีนักแสดงน้อยมาก และหากพวกเขาดึงผู้ชมไว้ไม่อยู่หมัด เรื่องราวก็คงจะน่าเบื่อไปทันที แต่คริสกับเจนลอว์ก็ยังคงมาตรฐานของตัวเองเอาไว้ได้อย่างลงตัว แม้ว่าจะไม่ได้มีฉากที่โดดเด่นจนจดจำได้ แต่การดำเนินเรื่องก็ทำให้เราเห็นความเป็นมนุษย์ที่มีหลากหลายอารมณ์และความรู้สึกได้ดี ในยามที่สับสนและล่องลอยอยู่ในความเวิ้งว้าง เราอาจก้าวข้ามบางสิ่งที่ไม่เคยคิดจะทำในยามปกติ ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่ามันถูกหรือผิดกันแน่

Mother! (2017)

Mother! ผลงานการกำกับเรื่องล่าสุดของดาร์เรน อโรนอฟสกี้ (Black Swan (2010) และ Noah (2014)) ที่ไม่ประนีประนอมกับคนดูเลยแม้แต่น้อย มันเป็นการอุปมานิทัศน์กับคัมภีร์ไบเบิล ดังนั้นภาพยนตร์จึงเต็มไปด้วยสัญญะให้ผู้ชมตีความตาม

ภาพยนตร์บอกเล่าเรื่องของสามีภรรยาคู่หนึ่งที่อาศัยอยู่ในบ้านไร่อันห่างไกล ฮิมและมาเธอร์มีชีวิตอันสงบสุขตลอดมา จนกระทั่งฝ่ายชายเปิดประตูต้อนรับคู่รักวัยชราคู่หนึ่ง แขกแปลกหน้าคู่นี้นำความปั่นป่วนมาสู่บ้านไร่ ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ถูกทดสอบ

ภาพยนตร์เล่าถึง “การทำลายโลกหรือ Mother Earth” เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ คือ Mother Earth ฮาเวียร์ บาเด็ม คือ พระเจ้า ส่วนเอ็ด แฮร์ริสและมิเชลล์ ไฟเฟอร์ เปรียบเสมือนอดัมและอีฟ แล้วทั้งหมดโลดแล่นไปตามเส้นเวลาของตำนานไบเบิล บ้านคือโลกหรือสวนอีเดน การมาเยือนของมนุษย์ชายหญิงคนแรก ‘อดัมและอีฟ’ คริสตัลปริศนาที่ตกแตกก็คือ ‘แอปเปิ้ล’ ลูกชายสองคนของคู่สามีภรรยาวัยชราที่เข้ามาก่อความวุ่นวาย ‘คาอินและอาเบล’ คือต้นตอของความชั่วร้าย (สองพี่น้องที่นำมาสู่การฆาตกรรมครั้งแรกและกลายเป็นต้นธารความชั่วร้ายของมนุษยชาติ) มันจึงเป็นการหยิบเอาส่วนหนึ่งของโลกมานำเสนอ

การจะหยิบภาพยนตร์เรื่องนี้มาดูก็อาจจะต้องเตรียมใจไว้สักหน่อย เพราะทั้งเนื้อหาและมุมกล้องที่ภาพยนตร์เลือกใช้ เรียกร้องให้คนดูตั้งคำถามและหาคำตอบ แม้ว่าคุณจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลเลยก็ตาม หรือหากดูอย่างละวางเรื่องศาสนาไปเลย เราก็จะได้มุมมองในประเด็นอื่นๆ อีก เช่น บทบาทของสตรี โครงสร้างอำนาจชายเป็นใหญ่ ความขัดแย้งที่นำไปสู่สงคราม หรือแม้แต่ความรัก

โดยรวมแล้วหลายคนก็สนุกไปกับเรื่อง แต่อีกหลายคนก็สาปส่งจนภาพยนตร์ได้เกรด F จาก CinemaScore และนับเป็นเรื่องที่ 19 ในรอบ 10 ปีที่ได้รับคะแนนย่ำแย่จากการสำรวจของ CinemaScore ซึ่งเป็นเกรดที่การแสดงของแต่ละคนก็ไม่สามารถกู้คืนมาได้จริงๆ

Red Sparrow (2018)

Red Sparrow ภาพยนตร์ที่ดัดแปลงมาจากนวนิยายของ เจสัน แมทธิวส์ ซึ่งเป็นอดีตซีไอเอตัวจริง หลังจากทำงานมา 33 ปี เมื่อเขาเข้าสู่วัยเกษียณ เจสันต้องปรับตัวกับเวลามากมายที่ไม่รู้ว่าจะใช้อย่างไรให้หมด เขาจึงเริ่มต้นเขียนหนังสือ และนั่นก็กลายเป็นที่มาของนวนิยายไตรภาค

ผู้กำกับก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือฟรานซิส ลอว์เรนซ์ (Constantine (2005), I Am Legend (2007) และ The Hunger Games ทั้ง 3 ภาค) นี่จึงเป็นการร่วมงานกันครั้งที่ 4 ของเขากับเจนลอว์

โดมินิก้า เอโกโรวา คือจุดศูนย์กลางของเรื่องราวเหล่านี้ เธอเป็นอดีตนักเต้นบัลเล่ต์ที่ต้องออกจากคณะเพราะอุบัติเหตุ เธอจึงประสบปัญหาด้านการงานและการเงิน สถานการณ์ที่เลือกไม่ได้นี้บีบบังคับให้เธอรับข้อเสนอในการเข้าฝึกหลักสูตร ‘สแปรโรว์’ โรงเรียนฝึกสายลับที่เรื่องการต่อสู้เป็นรอง แต่เน้นการล่อลวงด้วยเสน่ห์เป็นหลัก โดมินิก้าต้องเรียนรู้ ภักดี และเสียสละแม้กระทั่งร่างกายของตัวเองเพื่อให้เป้าหมายลุล่วง

แล้วเธอก็ได้รับมอบหมายให้ทำภารกิจสำคัญ คือตามหาหนอนบ่อนไส้ที่ซุกซ่อนอยู่ในกองทัพรัสเซีย โดมินิก้าจำต้องเข้าใกล้นาธาเนล แนช ซีไอเอหนุ่มที่มีความสามารถไม่แพ้กัน แต่การชิงไหวชิงพริบที่ไม่เน้นกำลัง แต่ยั่วยวนให้อีกฝ่ายตกหลุมพรางนี้ก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับความสัมพันธ์ที่พาให้ทั้งคู่หลงใหลกันและกัน แล้วภารกิจจะสำเร็จหรือไม่ หรือความรักที่เกิดขึ้นก็เป็นภาพลวงตาด้วยเช่นกัน!?

ดังนั้น แม้ว่านี่จะเป็นภาพยนตร์ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสายลับ แต่แทบจะไม่มีฉากแอ็กชั่นอยู่เลย ทั้งหมดเป็นเรื่องจิตวิทยาและการใช้อำนาจเพื่อควบคุมอีกฝ่ายเสียมากกว่า การวางพล็อตให้เป็นแผนซ้อนแผนนั้นก็ดีอยู่ แต่เมื่อบทเลือกจะพลิกตลบไปมาหลายๆ ครั้ง มันจึงทำให้ผู้ชมเริ่มเบื่อหน่าย แต่ถึงอย่างไรก็ยังต้องมอบคำชมให้กับการแสดงของเจนลอว์ที่แทบจะแบกทั้งเรื่องไว้ด้วยตัวคนเดียว และมีฉากเซอร์วิสแฟนๆ อยู่หลายฉากเลยทีเดียว

Tags: , , , , ,