สิบกว่าปีผ่านไป แม้ว่าการเข้าเมืองผิดกฎหมายจะน้อยลง แต่การข้ามพรมแดนผิดกฎหมายที่เพิ่มขึ้นเป็นช่วงๆ ก็สร้างปัญหากวนใจให้กับประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากทั้งสองพรรคมาตลอด และต้องคอยหามาตรการเด็ดขาดไม่ให้มีผู้อพยพเข้ามา

แต่ทั้งจอร์จ ดับเบิลยู. บุช และบารัค โอบามา ก็ไม่เคยมีความคิดว่าจะพรากลูกจากพ่อแม่ เพราะเป็นวิธีที่ทั้งไร้มนุษยธรรมและเป็นอันตรายทางการเมือง ขณะที่ทรัมป์เลือก ‘วิธีปราบปรามขั้นเด็ดขาด’ ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายที่เขาหาเสียงไว้

สองสามปีที่ผ่านมา มีพ่อแม่และลูกๆ นับหมื่นคน ส่วนใหญ่มาจากฮอนดูรัส เอลซัลวาดอร์ และกัวเตมาลาถูกจับขณะกำลังข้ามพรมแดนสหรัฐฯ-เม็กซิโกอย่างผิดกฎหมาย แต่ทางการสหรัฐฯ ไม่สามารถส่งพวกเขาข้ามกลับไปได้ ถ้าพวกเขาไม่ใช่พลเมืองเม็กซิกัน จึงต้องรอคำตัดสินจากศาล

เมื่อปี 2008 ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช เน้นไปที่ปัญหาผู้เยาว์ข้ามแดนโดยปราศจากพ่อแม่ และลงนามในกฎหมายที่ผ่านสภาคองเกรสซึ่งกำหนดให้ “ผู้เยาว์ที่ไม่มีผู้ปกครองมาด้วย” ถูกปล่อยตัวไปให้อยู่ในสภาพที่มีการควบคุมน้อยที่สุด

ในปี 2014 ความรุนแรงในทวีปอเมริกากลาง ทำให้ประธานาธิบดีบารัค โอบามา เองก็ต้องเผชิญกับปัญหาทั้งเด็กที่เดินทางโดยลำพังและเดินทางกับครอบครัว ในตอนนั้น ทางการพยายามจัดที่อยู่อาศัยให้กับครอบครัวที่ศูนย์กักกัน แต่ต่อมา ผู้พิพากษาศาลกลางในมลรัฐแคลิฟอร์เนียตัดสินว่า การจัดการในลักษณะดังกล่าวละเมิดข้อตกลงที่จะคุ้มครองเด็กจากสภาพแวดล้อมที่คล้ายคลึงเรือนจำ แม้จะอยู่กับผู้ปกครองก็ตาม รัฐบาลจึงเริ่มปล่อยให้ครอบครัวเหล่านี้เข้าประเทศ โดยกำหนดวันมาศาลอีกครั้ง

จนมาถึงรัฐบาลทรัมป์ที่ยืนยันว่า ผู้อพยพได้ใช้ระบบคุ้มครองเด็กนี้ไปในทางไม่ชอบ โดยจงใจเดินทางเข้าเมืองมาพร้อมกับเด็กเพื่อไม่ให้ตนเองถูกขัง แล้วก็หายไปก่อนถึงกำหนดนัดกับศาล

เมื่อปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา ทรัมป์เริ่มเดินหน้านโยบาย “ความอดทนเป็นศูนย์” (zero tolerance) ผู้ที่เข้าเมืองผิดกฎหมายจะต้องถูกดำเนินคดีอาญา ขณะที่ผู้ใหญ่ถูกขัง ผู้เยาว์ที่ติดตามมาด้วยก็ถูกแยกออกไป

การพรากลูกจากพ่อแม่เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ที่มีเป้าหมายเพื่อทำให้ผู้ข้ามแดนผิดกฎหมายล้มเลิกความคิดที่จะเข้าสหรัฐอเมริกา

“เด็กๆ จะถูกแยกจากพ่อแม่ ถ้าครอบครัวของพวกเขาลักลอบเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย” จอห์น เอฟ. เคลลี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ กล่าวเมื่อเดือนมีนาคม 2017 เพื่อขัดขวางเครือข่ายผิดกฎหมาย

ผลที่ตามมาก็คือ มีเด็กหลายพันคนถูกกักตัวไว้ และการดำเนินการของรัฐบาลทรัมป์ถูกวิจารณ์ว่าเหมือนกับพรรคนาซี

กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิประกาศเมื่อสัปดาห์ก่อนว่า มีเด็กประมาณ 2,000 คนถูกพรากจากพ่อแม่ นับตั้งแต่การประกาศใช้นโยบายนี้ และคาดว่าตัวเลขจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ

เคลลียานน์ คอนเวย์ (Kellyanne Conway) ที่ปรึกษาของประธานาธิบดีทรัมป์บอกว่า ไม่มีใครชอบนโยบายนี้ และกล่าวหาว่าเป็นความผิดของสภาคองเกรสที่ผ่านกฎหมายนี้เมื่อหลายปีก่อน การข้ามแดนผิดกฎหมายเป็นอาชญากรรม ถ้าไม่ชอบกฎหมายนี้ ก็ต้องแก้ไข

ทรัมป์ทวีตข้อความตำหนิพรรคเดโมแครตอย่างต่อเนื่อง “ผมเกลียดที่ลูกๆ ถูกพรากจากพ่อแม่” เขายืนยันว่า “พรรคเดโมแครตต้องแกักฎหมายของพวกเขา มันเป็นกฎหมายของพวกเขา”

แต่เมื่อมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงปรากฎว่า นี่เป็นผลจากคำสั่งของทรัมป์ เขาเป็นผู้ลงนามว่าในการลงโทษผู้เข้าเมืองทั้งหมดที่ข้ามแดนมา รวมทั้งคนที่มากับเด็กด้วย ขณะที่ทางการระบุให้ลูกๆ ของพวกเขาเป็นผู้เยาว์ที่ไม่มีผู้ติดตาม ก็ทำให้เด็กๆ เหล่านี้ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงสาธารณสุขและการบริการประชาชน (Department of Health and Human Services)

ลอว์รา บุช อดีตสตรีหมายเลขหนึ่ง ได้เขียนบทความเปรียบเทียบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้กับตอนที่ชาวญี่ปุ่นในสหรัฐอเมริกาถูกกักตัวหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นประวัติศาสตร์ที่น่าอับอายของชาวอเมริกัน

สื่อมวลชน สมาชิกพรรคการเมือง และองค์กรไม่แสวงหากำไรต่างเดินทางไปยังศูนย์กักกันเพื่อสังเกตการณ์และรายงานชีวิตความเป็นอยู่ของเด็กๆ เหล่านี้ ทำให้มีภาพถ่ายออกสู่สาธารณะมากมาย

ไม่กี่วันก่อนคอลลีน คราฟท์ (Colleen Kraft)  ผู้อำนวยการสมาคมกุมารแพทย์สหรัฐอเมริกาซึ่งไปที่ศูนย์พักพิงที่ดำเนินการโดยสำนักผู้ลี้ภัยและตั้งถิ่นฐานใหม่แห่งสหรัฐอเมริกา (U.S. Office of Refugee Resettlement) รายงานว่า แม้จะมีเตียงนอน ของเล่น สีเทียน สนามเด็กเล่น และการเปลี่ยนผ้าอ้อม แต่เจ้าหน้าที่ซึ่งทำงานในศูนย์พักพิงนี้ถูกสั่งว่าไม่ให้อุ้มหรือสัมผัสเด็ก

นักข่าวของวอชิงตัสโพสต์ เดินทางไปยังศูนย์พักพิงเมื่อวันอาทิตย์พบว่า “พวกเขาแยกเด็กๆ ออกเป็นกลุ่มๆ แต่ละชั้นมีประมาณ 20 คน ห่มด้วยอะลูมิเนียมฟอยด์ นอนบนฟูกบางๆ บนพื้น หรือบนม้านั่ง มีขวดน้ำและอาหาร พวกเขาดูสับสน”

ศูนย์กักกันมีสภาพเหมือนกับโกดังที่ถูกแบ่งเหมือนกับโครงสร้างของคุก แบ่งคนเป็นกลุ่มต่างๆ เด็กชายที่ไม่มีผู้ติดตามอายุ 17 ปี และน้อยกว่า  เด็กหญิงที่อายุ 17 ปี และน้อยกว่า หัวหน้าครอบครัวที่เป็นผู้หญิง และหัวหน้าครอบครัวที่เป็นผู้ชาย

ส่วนนักข่าวนิวยอร์กไทมส์ สัมภาษณ์ผู้หญิงกัวเตมาลา วัย 25 ปีคนหนึ่ง เธอบอกว่า “ฉันไปไม่ได้ถ้าไม่มีลูกชายไปด้วย” แม่คนหนึ่งบอกขณะที่เธอถูกเนรเทศกลับไปยังกัวเตมาลา ก่อนหน้านี้พวกเขาวางแผนไว้ว่าจะข้ามแดนผ่านเม็กซิโกกับลูกชายวัย 8 ขวบ ตอนนี้เธอไม่รู้ว่าจะได้เจอหน้าลูกชายอีกหรือไม่

สมาชิกรัฐสภาพรรคเดโมแครตหลายคนเดินทางไปร่วมการประท้วงหน้าศูนย์กักกันคนเข้าเมืองในรัฐนิวเจอร์ซีย์และรัฐเท็กซัส และตรวจสอบความเป็นอยู่ของเด็กที่ถูกแยกจากพ่อแม่ วุฒิสมาชิกคนหนึ่งประมาณการณ์ว่า มีเด็กประมาณ 100 คนที่อายุต่ำกว่า 6 ขวบ

ไมเคิล เฮย์เดน (Michael Hayden) อดีตผู้อำนวยการซีไอเอและเอ็นเอสเอเปรียบเทียบว่าการกระทำนี้่เหมือนกับกองทัพนาซี ด้วยการทวีตรูปภาพค่ายกักกันเอาทซ์วิตซ์ พร้อมข้อความว่า “รัฐบาลประเทศอื่นก็ได้แยกแม่และลูกจากกัน”

 

ที่มาภาพ: REUTERS/Mike Blake

ที่มา:

Tags: , , , ,