“เราผ่านจุดที่ประสาทจะกิน เครียด เวลาออกจากบ้านก็จะก้มหน้าไม่มองใคร หรือถ้ารู้ตัวว่ากำลังถูกมองก็จะมีเหงื่อออกมาตามตัว มือเริ่มสั่น ในใจจะคิดตลอดว่า ไอ้หมอนี่ใช่ไหมที่ด่าเราในอีเมล หรือแม้กระทั่งขังตัวเองอยู่ในบ้านเป็นเดือนก็ทำมาแล้ว”

ย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ชื่อของ ‘เชอรี่ สามโคก’ หรือ ลฎาภา รัชตะอมรโชติ เป็นที่รู้จักในฐานะนักแสดงหนังโป๊ที่มีเรื่องอื้อฉาวจากกรณีที่ถูกปล่อยรูปเปลือยลงในโลกออนไลน์ จนส่งผลกระทบต่อตัวเธอ ทั้งสุขภาพจิตที่ย่ำแย่ การงานที่ถูกตัดโอกาสจากคนในสังคม ทำให้เธอจมอยู่กับความทุกข์ พร้อมก่นด่าสาปแช่งว่า ทำไมสังคมจึงได้เลวร้ายขนาดนั้น

วันนี้เธอเปลี่ยนไปแล้ว เชอรี่ สามโคก ในวัย 36 ปี มองโลกหลากหลายเฉดสีมากยิ่งขึ้น เธอพบว่ามนุษย์ไม่ได้มีแค่สีขาวหรือดำ แต่ยังมีสีเทาที่มนุษย์ทุกคนล้วนมีดี มีชั่ว มีด้านสว่างและด้านมืดด้วยกันทั้งนั้น เชอรี่กลายเป็นมนุษย์ผู้ไม่แยแสต่อความเห็นของผู้คน และมองความจริงของชีวิตได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น

บทสัมภาษณ์ชิ้นนี้จะพาไปทำความรู้จักตัวตนอีกด้านของ เชอรี่ สามโคก ซึ่งผู้อ่านจะไม่ได้สัมผัสถึงความเซ็กซี่วาบหวิว แต่จะได้เห็นประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านอุปสรรคนานัปการ วิธีรับมือกับการคุกคาม และทิศทางของอุตสาหกรรมหนังผู้ใหญ่ จากหญิงสาวคนนี้

เชอรี่ สามโคก ในสมัยที่ยังเรียนอยู่คณะอักษรศาสตร์ ศิลปากร ตอนนั้นคิดอะไรอยู่

พูดกันตามตรง สิ่งนี้ไม่ใช่ความฝันเราเท่าไหร่ เพราะตั้งแต่เด็ก เราอยากเป็นนักแสดงมาโดยตลอด แต่สมัยก่อนมันไม่เหมือนทุกวันนี้ ความฝันกับความจริงยังเป็นคนละโลกกันอยู่ จะเป็นนักแสดง เป็นดารา มันไม่สามารถเรียนคณะไหนแล้วออกมาเป็นได้เลย จำได้ว่าสมัยนั้นถ้าอยากเป็นจริงๆ ต้องไปเดินแถวเมเจอร์รัชโยธิน ตามเซ็นเตอร์พอยต์ ให้แมวมองมาเห็นเราเท่านั้น ก็เลยมานั่งคิดว่า แล้วสิ่งที่จะทำให้เรามีงานทำอยู่บนโลกได้จริงๆ คืออะไร ซึ่งก็คือ อักษรศาสตร์

ด้วยความที่เราเรียนศิลป์-ฝรั่งเศสมาตอนมัธยม เลยอยากศึกษาต่อทางด้านนี้ ก็เลือกเรียนสาขาประวัติศาสตร์​ ถ้าถามว่าทำไมสนใจเรื่องราวในอดีต เราสนุกกับการตั้งคำถาม การได้เบิกเนตรว่าทุกสิ่งที่เคยเชื่อเคยได้ยินกันมาอาจไม่ใช่เรื่องจริงเสมอไป

พระเจ้าตากทรงวิปลาสจริงหรือไม่ ก็ยังไม่มีคำตอบที่ชี้ชัดถึงเรื่องนี้ มันเลยทำให้เกิดสมมติฐานมากมายให้หาหลักฐานและเหตุผลมารองรับ ซึ่งถ้าเราสามารถทำให้มีความน่าเชื่อถือ ความจริงชุดนั้นก็จะมาหักล้างชุดข้อมูลเก่าๆ ได้ 

เรื่องพวกนี้มันเปลี่ยนวิธีคิดและการมองโลกของเราไปหมด สิ่งที่ครั้งหนึ่งเคยอ่าน เคยได้ยิน เราก็ตั้งคำถามกับมันมากขึ้น ไม่พยายามจะเชื่ออะไรบางอย่างโดยทันทีทันใด เวลาอ่านหนังสือสักเล่มหนึ่ง เราไม่ได้สนใจแค่ว่าเนื้อหาเป็นอย่างไร แต่ยังสนใจอีกว่าใครเป็นคนเขียน ทำไมเขาถึงต้องเขียน ใครได้ประโยชน์อะไรจากงานเขียน แล้วในช่วงที่เขียนบริบททางสังคมเป็นอย่างไร

ฟังดูเหมือนเป็นวิธีที่ทำให้คุณใช้ชีวิตยากขึ้นประมาณหนึ่งเลย

ใช่ (หัวเราะ) 

วิธีคิดเชิงประวัติศาสตร์ ส่งผลต่อตัวตนของคุณในทุกวันนี้อย่างไรบ้าง

เราเคยได้ยินว่า ณ ปัจจุบัน และอนาคตข้างหน้า จะเกิดปรากฏการณ์​ข้อมูลที่ท่วมล้น (flooding information) ซึ่งจะเป็นอุปสรรคในการใช้ชีวิตและการเรียนประวัติศาสตร์มากๆ ข้อมูลจะไม่ได้อยู่ที่หนังสือเรียนหรือผู้เชี่ยวชาญเพียงเท่านั้น แต่จะลอยอยู่ในบทสนทนา ในโซเชียลมีเดีย ซึ่งจะทำให้เกิดคำถามอยู่ตลอดว่า สรุปแล้วอะไรจริง อะไรไม่จริง อะไรถูกต้อง อะไรไม่ถูกต้อง ดังนั้น การคิดแบบประวัติศาสตร์ที่เรามีติดตัวอยู่จะทำให้เราเป็นคนที่ใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้ได้โดยแยกความจริงออกมาจากความคิดเห็นได้ 

ยิ่งในยุคที่ใครๆ ก็สามารถแสดงความเห็นได้ตลอดเวลา ความสามารถในการแยกข้อเท็จจริง (fact) ออกจากความคิดเห็น (opinion) ได้ สำหรับเรา โคตรจะจำเป็นเลย

ทั้งหมดนี้เป็นเหตุผลที่ทำให้ทุกวันนี้ คุณไม่ได้สนใจความเห็นที่เข้ามาต่อว่าในสิ่งที่คุณเคยทำมาในอดีตแล้วใช่ไหม

แค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ทุกวันนี้มันคือเรื่องของอายุมากกว่า เราโตมากพอจนพบเจอการบูลลีมาทุกรูปแบบแล้ว ตั้งแต่ยุคที่เขียนอีเมลมาด่าเป็นร้อยข้อความยันยุคเฟซบุ๊ก

เราผ่านจุดที่ประสาทจะกิน เครียด เวลาออกจากบ้านก็จะก้มหน้าไม่มองใคร หรือถ้ารู้ตัวว่ากำลังถูกมองก็จะมีเหงื่อออกมาตามตัว มือเริ่มสั่น ในใจจะคิดตลอดว่า ไอ้หมอนี่หรือเปล่าที่ด่าเราในอีเมล หรือแม้กระทั่งขังตัวเองอยู่ในบ้านเป็นเดือนก็ทำมาแล้ว ทุกวันนี้เลยไม่ได้สนใจสิ่งพวกนี้เท่าไหร่  

ย้อนกลับไปวันนั้น เกิดอะไรขึ้นกับคุณ 

มันคือความเครียดที่สังคมไม่ยอมให้เราก้าวข้ามได้ สมัยก่อนมันไม่เหมือนทุกวันนี้ที่โซเชียลมีเดียและโลกมนุษย์คือสิ่งเดียวกัน เมื่อก่อนเรื่องราวบนโซเชียลฯ คือเส้นขนาน คือโลกอีกใบหนึ่งที่ไม่มีเรื่องราวมากเท่าไหร่ ดังนั้น เวลามีข่าวอะไรขึ้นมา คนก็จดจำและถูกพูดถึงนานมาก 

อีกอย่างสมัยก่อน การจะถูกบูลลีหนักขนาดนั้นคือต้องเป็นพวกนักโทษข่มขืน ต้องไปฆ่าใครตาย ต้องเป็นฆาตกรโหดเหี้ยมเท่านั้น แต่เราคือคนกลุ่มแรกๆ เลยที่มีรูปแก้ผ้า จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมตัวเองถึงโดนรุมด่าขนาดนั้น 

จำได้ว่าโดนด่าสารพัดเลย แต่มีความเห็นหนึ่งที่เราจุกอก คือเขาบอกว่าเรียนก็เก่ง ทำไมถึงเลือกเส้นทางแบบนี้ เรียนเก่งหรือไม่เก่ง ไม่ใช่ตัวกำหนดว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับชีวิตเรา หรือเป็นเครื่องยืนยันว่าเราจะไม่ตัดสินใจอะไรพลาดได้เลย ไม่ว่าใครก็ตาม อย่างน้อยต้องมีสักวินาทีหนึ่งที่เราไม่อาจใช้สติสัมปชัญญะได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แล้วเผลอใช้อารมณ์ชั่ววูบตัดสินใจบางอย่าง นั่นคือสิ่งที่มนุษย์ทุกคนเป็น ซึ่งเราก็เป็นเหมือนกัน 

ย้อนกลับไปตอนนั้น เราไปถ่ายงานกับพี่โมเดลลิงคนหนึ่งที่เคยทำงานร่วมกัน สถานที่อยู่ในต่างจังหวัดที่ต้องเดินทางออกจากตัวเมืองประมาณ 10 กิโลเมตร ข้างทางมีแต่ป่าอ้อย ป่ากล้วย ตอนแรกก็แอบกลัว แต่ด้วยความที่มากับโมเดลลิงที่เคยร่วมงานกัน ก็เลยเผลออุ่นใจ คิดว่าคงไม่มีอะไร ตอนนั้นเราคิดแค่นั้น

แต่พอไปถึง ปรากฏว่าเนื้องานมันมากกว่านั้น ต้องถอด ต้องโชว์ ตอนนั้นก็คิดแล้วนะว่าจะทำยังไงต่อดี ใจหนึ่งก็กลัว เพราะไม่รู้ว่าคนพวกนี้มีอาวุธกันหรือเปล่า จะฆ่าเราทิ้งไหม จะติดต่อพ่อแม่ก็ไม่ได้ สมัยนั้นโทรศัพท์ไม่มีอินเทอร์เน็ต จะแจ้งตำรวจก็ไม่รู้ว่าจะบอกว่าให้มาช่วยที่ไหนของต่างจังหวัด 

เคยอ่านความเห็นของชาวเน็ตบางคน เขาพูดกันว่า ถ้าเจอแบบนี้ ขอยอมตายดีกว่า คุณคิดเห็นอย่างไรบ้าง

เราจะถามเขากลับทันทีว่า แน่ใจจริงๆ เหรอว่าจะยอมตายดีกว่ามีภาพโป๊อยู่บนอินเทอร์เน็ต ไม่กลัวว่าจะอดใช้ชีวิตเหรอ ไม่กลัวพ่อแม่เสียใจเหรอ จะจบชีวิตเพราะแค่รูปพวกนี้จริงๆ เหรอ 

สถานการณ์จริงมันมีอะไรให้คิดเยอะกว่าความเห็นที่ใช้เพียงแค่อารมณ์ชั่ววูบแบบนี้             

เคยมองว่าเหตุการณ์นั้นคือตราบาปที่ติดตัวไหม

ตอนแรกไม่ได้คิดเลย เพราะคิดว่ารีบทำงานให้จบ จะได้กลับมาใช้ชีวิตต่อ กลายเป็นว่าอินเทอร์เน็ตทำให้ภาพนั้นคงอยู่ตลอดไป มันจะถูกขุดขึ้นมาพูดถึงอยู่เสมอเวลามีชื่อเราปรากฏ และแน่นอนว่าจะผูกติดอยู่กับชื่อ เชอรี่ สามโคก แม้ตัวเราจะตายไปแล้วก็ตาม 

ดังนั้น จะบอกว่าเป็นตราบาปไหม ก็คงไม่ขนาดนั้น แต่ยืนยันว่าเรื่องนี้จะติดตัวไปตลอดแน่นอน          

ทำไมมนุษย์เราชอบจดจำกันผ่านความผิดพลาด ผ่านเรื่องแย่ๆ ของคนอื่น มากกว่าเรื่องราวดีๆ ที่พวกเขาเคยทำ

เป็นปกติของมนุษย์เลย ที่ไม่ว่าจะทำบุญหรือทำดีมากมายเท่าไหร่ก็จะไม่ถูกจดจำ คงจะมีอยู่บ้าง ถ้ามันเป็นความดีที่โคตรยิ่งใหญ่ คนได้เห็นทั้งประเทศ แต่ถ้าเป็นเรื่องฉาวเพียงนิดเดียว เขาจะจำไปตลอด เหมือนเผ่าพันธ์ุเราจะมีอารมณ์ร่วมกับเรื่องราวแบบนี้มากกว่า 

ทำไมสังคมถึงยังไม่ยอมรับเรื่องเหล่านี้สักที ทำไมถึงยังมีคนออกมาต่อว่าคนใส่บิกินี ทำไมรับไม่ได้กับหนังโป๊ ทำไมถึงยังมาเถียงคอเป็นเอ็นว่าเมืองไทยไม่มีอาชีพขายตัว ทั้งที่พวกเราก็เกิดและใช้ชีวิตวนเวียนกับเรื่องพวกนี้มาโดยตลอด

เวลาคนที่เป็นดาราสายเซ็กซี่ถ่ายรูปบิกินีที่ทะเล มักจะมีคอมเมนต์ว่าแซ่บมากแม่ สุดปัง อะไรประมาณนี้ แต่พอเป็นดาราอีกคนที่ถูกจดจำว่าเป็นคนเรียบร้อยมาโดยตลอด มาสวมบิกินี กลับถูกมองว่าใส่ชุดแบบนี้ทำไม ไม่เหมาะสม ขอเลิกติดตามนะ 

มาตรฐานในการตัดสินคืออะไรก็ไม่รู้ เรากำลังใช้ค่านิยมบางอย่างที่ผิดแปลกมาตัดสินเรื่องราวเหล่านี้ บางคนจะรับไม่ได้เลยถ้าเป็นคนไทยที่แต่งตัววาบหวิว แต่กลับชอบดูหนังโป๊ที่เล่นโดยคนต่างชาติ เราไม่รู้จะพูดอย่างไรเหมือนกัน แต่ทุกอย่างมันย้อนแย้งไปหมด 

กลายเป็นว่า ที่ไม่ยอมรับเรื่องแบบนี้ คือสังคมไม่ยอมรับ ไม่ใช่คนไม่ยอมรับ

ใช่ เหมือนมีมายาคติบางอย่างที่ครอบหัวมนุษย์กันอยู่ พวกคุณก็เคยผ่าน เคยเห็นอะไรพวกนี้ในที่ลับกันมาตลอด แต่พอมาอยู่ในที่แจ้งกลับรุมด่า เหมือนไปฆ่าใครมา แล้วที่ตลกคือ บางคนที่เข้ามาด่าลึกๆ เขาก็ชอบนะ แต่เพียงแค่ต้องด่าเพราะสังคมเขาไม่ชอบเรื่องแบบนี้ ถ้าเขาแทงสวนมากอาจถูกสังคมประณามได้ เลยต้องตามน้ำไป สังคมเราค่อนข้างย้อนแย้งนะ ดูแต่ด่า ชอบแต่ปากบอกว่าไม่ชอบ มนุษย์เกิดมาเพื่อสืบพันธ์ุ แต่ดันไม่อยากให้มีหนังโป๊ 

แต่ในเมื่อสังคมก็ยังมีคนที่ไม่เห็นด้วยกับเรื่องแบบนี้ จะเอาอะไรมาตัดสินว่าขอบเขตของการพูดในที่แจ้งของเรื่องนี้ควรอยู่ตรงไหนดี 

กฎหมายเท่านั้น สำหรับเรา สิ่งนี้คือการขีดเส้นแบ่งที่ยอมรับร่วมกันได้ที่สุด 

ในยุคที่คนยังเถียงกันอยู่ว่าใครใส่บิกินีเที่ยวทะเลได้บ้าง ใครใส่ไม่ได้บ้าง สู้ให้กฎหมายมากำหนดเลยว่าแบบนี้ทำได้ แบบนี้เรียกว่าอนาจารในที่สาธารณะ หรือถ้าในโลกออนไลน์ แบบไหนจะถือว่าผิดกฎของชุมชนในเว็บต่างๆ เช่น เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ ก็ให้เขากำหนดไปเลย 

มีกรณีหนึ่งที่น่าสนใจคือการแบนเว็บไซต์ Pornhub สำหรับเราไม่ได้ติดใจอะไรกับการที่รัฐบาลไทยตัดสินใจแบนเว็บไซต์ สำหรับเราในฐานะพลเมืองก็ต้องเคารพกฎและว่ากันไปตามเรื่องของกฎหมาย แต่ถ้าพูดกันในเชิงอุดมคติ มันจำเป็นจริงเหรอที่เรื่องแบบนี้ต้องมีกฎหมาย หรือเส้นขอบบางอย่างมากีดกั้นอิสรภาพ เราตอบไม่ได้เลย เพราะเราโตมาในสังคมที่ใช้กฎหมายปกครองมาตลอด เราไม่รู้ว่าถ้าสังคมไม่มีกฎ ไม่มีเส้นแบ่ง แล้วมันจะล้ำเส้น จะเกินเลย หรือจะมีปัญหาอะไรตามมาบ้าง

ฟังดูเหมือนเป็นคนที่เคร่งในระเบียบมากเลย (หัวเราะ) แต่ลึกๆ เราเชื่อว่ากฎหมายแท้จริงคือสิ่งที่สังคมเห็นด้วยและตกลงร่วมกันร่างขึ้นมา ซึ่งถ้าวันหนึ่งเราเห็นพ้องต้องกันว่าที่เป็นอยู่มันไม่ถูกต้อง ก็คงถูกแก้ไขไปเองในอนาคต เพื่อให้ทันสมัย ทันต่อบริบทในยุคนั้นมากขึ้น 

สุดท้าย เราก็ยังเชื่อว่าสิ่งนี้ต้องมีขอบเขต เราอยู่กันในสังคม อยู่ร่วมกับผู้อื่น คงไม่มีใครอยากเดินแก้ผ้ากลางถนนแบบนั้นหรอก มนุษย์เรายังจำเป็นต้องเคารพสิทธิ์ของคนอื่นอยู่

มองอีกมุม ถ้ารัฐบาลไฟเขียวให้กับอุตสาหกรรมหนังโป๊ หรืออาชีพ sex worker ถูกกฎหมาย คิดว่าจะช่วยแก้ปัญหาข่มขืนหรือคุกคามทางเพศได้หรือเปล่า

คิดว่าสหรัฐอเมริกาไม่มีการข่มขืนเกิดขึ้นเหรอ คิดว่าในญี่ปุ่นไม่มีคนถูกล่วงละเมิดทางเพศเหรอ ทั้งสองประเทศนี้ อุตสาหกรรมหนังโป๊คือธุรกิจที่ถูกกฎหมายและได้รับความนิยมด้วย แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้อัตราการข่มขืนหรือล่วงละเมิดทางเพศลดลงเลย 

เชื่อไหมว่านักแสดงหนังโป๊ในประเทศนั้นๆ ยังไม่ถูกยอมรับจากสังคมด้วยซ้ำ มาเรีย โอซาวะ (Maria Ozawa) หรือมิยาบิ ที่โด่งดังมากๆ ถ้าไปดูประวัติของเขาจะเห็นว่า ครอบครัวโอซาวะไม่ยอมรับในตัวเธอเลย นั่นเป็นเหตุที่ทำให้เธอมีอาการซึมเศร้า น่าแปลกใจนะว่าทำไมญี่ปุ่นที่เป็นเบอร์ต้นๆ ในอุตสาหกรรมนี้ถึงยังมีปัญหาเกิดขึ้นอยู่ มันจึงเป็นข้อสงสัยที่ว่า หนังโป๊หรือบริการทางเพศช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ได้จริงๆ เหรอ 

แปลว่าไม่มีประโยชน์เลยหากจะผลักดันให้หนังโป๊ถูกกฎหมายในประเทศไทย

ประโยชน์ก็อาจจะมีในแง่ของเม็ดเงินที่ได้มาจากธุรกิจนี้ หรืออาจจะช่วยให้เหล่า Pornhuber มีช่องทางหารายได้มากยิ่งขึ้น แต่ก็ต้องระวังด้วยว่าการให้เสรีภาพที่มากเกินไปนั้นอาจนำมาสู่ปัญหาได้ การควบคุมเรื่องอายุ เรื่องการยินยอม เรื่องโรคติดต่อ ก็ยังเป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึงอยู่เหมือนกัน

ถ้าจะผลักดันในหนังโป๊ให้ถูกกฎหมายเพราะเรื่องเม็ดเงิน เรายังมองว่าสมเหตุสมผลกว่าการบอกว่าผลักดันเพื่อลดปัญหาเรื่องเพศในสังคมเสียอีก

 

คิดว่าสหรัฐอเมริกาไม่มีการข่มขืนเกิดขึ้นเหรอ คิดว่าในญี่ปุ่นไม่มีคนถูกล่วงละเมิดทางเพศเหรอ ทั้งสองประเทศนี้ อุตสาหกรรมหนังโป๊คือธุรกิจที่ถูกกฎหมายและได้รับความนิยมด้วย แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้อัตราการข่มขืนหรือล่วงละเมิดทางเพศลดลงเลย

 

ถ้ากฎหมายช่วยไม่ได้ เราจะแก้ปัญหาเรื่องทัศนคติของสังคมที่ยังมองว่าคนทำอาชีพเหล่านี้ไม่มีคุณค่าอย่างไรดี

ยากมาก การยอมรับอะไรบางอย่างมันเป็นเรื่องส่วนบุคคลเอามากๆ ไหนจะเรื่องของสังคมที่บางครั้งก็บีบบังคับให้ตามคนหมู่มาก จึงยากเข้าไปอีก นอกจากว่าในอนาคตเราจะสามารถปลูกฝังค่านิยมที่เปิดกว้างกว่านี้ในสังคมได้

สิ่งที่ทำได้เพียงอย่างเดียวตอนนี้คือ คนที่ทำงานในสายอาชีพนี้ต้องยอมรับตัวเองและมีกำลังใจที่แข็งแรง จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ถ้าคุณตัดสินใจมาด้านนี้แล้ว อย่างแรกเลยคือ ชีวิตคุณวุ่นวายแน่นอน สองคือ อาชีพเหล่านี้ ถ้าทำครั้งหนึ่งมันจะกลายเป็นตลอดไป เราจะถูกนำมาใช้เป็นข้อจำกัดในหลายๆ ด้านของชีวิตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ บางทีคุณอยากเป็นนักแสดง แต่เขาจำกัดไว้คุณตรงนี้ ก็ทำให้คุณไม่สามารถกลายเป็นนักแสดงที่เล่นละครจริงๆ ได้เลย (ยิ้ม)

ชีวิตของคนรอบข้างก็จะได้รับผลกระทบตามมาเช่นกัน โชคดีว่าครอบครัวเราค่อนข้างจะแข็งแรงและรักเรามากพอ แน่นอนว่าเขาเสียใจ เวลามีเรื่องไม่ดี แต่สุดท้ายก็เข้าใจและยอมรับได้ว่านี่เป็นข้อผิดพลาดของลูกสาว จนถึงตอนนี้ก็สิบกว่าปีแล้วที่เรายังต้องแบกรับเรื่องราวอะไรแบบนี้อยู่ แต่มันผ่านจุดเสียใจหรือรู้สึกว่าเป็นตราบาปไปแล้ว เราเริ่มเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันมากขึ้น พยายามเข้าใจว่าชีวิตเราไม่ได้มีด้านนี้เพียงด้านเดียว

น่าเสียดายที่ชีวิตคนเรามีตั้งหลายด้าน แต่กลับมาตัดสินกันเพียงเพราะด้านใดด้านหนึ่งที่ผิดพลาด 

ใช่ บางคนรู้จักเราจากเรื่องภาพหลุด แต่บางคนก็รู้จักเราในฐานะคนรักแมว ในฐานะคนที่เชียร์ทีมเชลซี โดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า เชอรี่ สามโคก เคยมีภาพหลุด แต่กับบางคน สิบปีที่แล้วรู้จักเราจากภาพหลุดยังไง สิบปีต่อมาก็ยังรู้จักเราในมุมนั้นอย่างเดียว จนตอนนี้อายุ 36 แล้ว ยังคิดว่าเราเป็นเด็กคนนั้นอยู่เลย

ทุกวันนี้มองว่าตัวเองก้าวข้ามความเจ็บช้ำจากเหตุการณ์ในอดีตได้หรือยัง เวลาเจอคนมาด่ายังรู้สึกเจ็บปวดอยู่ไหม

ตอนนี้สิ่งที่ทำคือแค่ลบความเห็นนั้นทิ้งไป จะไม่อ่านเลย ไม่ว่าจะเป็นข่าวหรือสิ่งที่สังคมพูดเกี่ยวกับเรา เพราะเราเป็นมนุษย์ ก็ต้องรู้จักปกป้องตัวเองสิ บางทีเขาก็ด่ากันสนุกปากหรือแค่ระบายอารมณ์เท่านั้น แต่คนเจ็บมันคือตัวเรา

ดังนั้น ถ้าเรารู้ตัวเองดีพอว่าทุกวันนี้เราไม่ได้ทำอะไรผิด เรามั่นใจและภูมิใจในชีวิต ก็ไม่จำเป็นต้องเอาตัวเองไปอยู่ในจุดนั้นเลย จะอธิบายก็เสียเวลาเปล่า สู้ใช้ชีวิตต่อไปดีกว่า

     

Tags: , ,