คุณเชื่อเรื่องมนุษย์ต่างดาวหรือ UFO ไหม?
หากถามคำถามนี้กับคนใกล้ตัว ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนฝูง คนรัก เพื่อนร่วมงาน หรือแม้แต่คนในครอบครัว คุณอาจจะได้เสียงหัวเราะแทนคำตอบ หรือสายตาแปลกๆ ที่มองมาด้วยความประหลาดใจ น้อยคนนักที่จะพยักหน้าและรู้สึกตื่นเต้นในระดับกระวนกระวายอยากตอบคำถาม
แต่ถ้าถามคำถามนี้กับ ‘คนอเมริกัน’ คุณอาจได้รับคำตอบตรงกันข้าม แสดงให้เห็นผ่านแบบสำรวจความคิดเห็นของ YouGov ในปี 2022 โดยมีคำถามว่า ‘เชื่อหรือไม่ที่วัตถุบนท้องฟ้าลึกลับหรือ UFO (Unidentified Flying Object) เกิดจากฝีมือของมนุษย์ต่างดาว หรือเป็นยานพาหนะของสิ่งมีชีวิตนอกโลก’
ปรากฏว่ามีชาวอเมริกัน 34% ตอบว่า UFO เกิดจากฝีมือของเอเลี่ยน ขณะที่ 32% ให้คำตอบว่า เรื่องนี้มีคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ ส่วน 34% ที่เหลือแสดงความคิดเห็นว่า พวกเขาไม่รู้สาเหตุและหาคำตอบไม่ได้
อีกทั้งยังมีผลสำรวจจาก Ipsos ในปี 2023 เปิดเผยว่า ชาวอเมริกันราว 42% เชื่อเรื่อง UFO โดย 1 ใน 10 ของผู้ทำแบบสอบถามอ้างว่า เคยพบเห็นวัตถุแปลกประหลาดบนท้องฟ้า
เท่านั้นยังไม่พอ เพราะความเชื่อดังกล่าวยังสะท้อนในวงการฮอลลีวูด (Hollywood) ผ่านภาพยนตร์ต่างๆ ที่เติมแต่งจากจินตนาการของผู้ประพันธ์ และความคิดของสาธารณชนทั้งในแง่ดีและแง่ร้ายอย่างสุดโต่ง
ไม่ว่าจะเป็นหนังสุดคลาสสิกอย่าง E.T. the Extra-Terrestrial (1982) ว่าด้วยมิตรภาพระหว่างสิ่งมีชีวิตนอกโลกกับเด็กน้อยชาวอเมริกัน Men in Black (1997) ภาพจำของชายชุดดำกับแว่นเรย์แบน (Ray-Ban) ที่ทำงานให้องค์กรลับของรัฐบาลเพื่อต่อสู้กับภัยร้ายนอกโลกอย่างเอเลี่ยน
หรือแม้แต่ในปัจจุบัน ซีรีส์เรื่องผีและเรื่องลึกลับอย่าง American Horror Story: Double Feature ใช้เอเลี่ยนเป็นตัวเดินเรื่อง และมีเนื้อหาเชื่อมโยงกับการเมืองสหรัฐฯ และบุคคลสำคัญคือ ดไวต์ ไอเซนฮาวร์ (Dwight Eisenhower) อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 34
ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นถึงความหมกมุ่นของสหรัฐฯ ต่อปรากฏการณ์แปลกประหลาดบนท้องฟ้าและสิ่งมีชีวิตนอกโลก จนบางครั้งดูราวกับตั้งตัวเป็น ‘ผู้นำโลกด้านอวกาศ’ (ใช่ เป็นความจริง) ที่นับวันยิ่งมีความเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ
สะท้อนจากแถลงการณ์ขององค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ หรือ NASA (National Aeronautics and Space Administration) เมื่อคืนวันที่ 14 กันยายน 2023 โดยเปิดเผยว่า NASA จะสำรวจที่มาของปรากฏการณ์ลึกลับที่หาคำตอบไม่ได้ หรือ UAP (Unidentified Anomalous Phenomena) อย่างจริงจังเป็นครั้งแรก ด้วยการใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เพื่อเสาะหาความลึกลับดังกล่าว
นั่นจึงทำให้ใครหลายคนอาจสงสัยว่า ทำไมสหรัฐฯ ถึงให้ความสนใจกับประเด็นดังกล่าวเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากเทียบกับชาติอื่นๆ ในโลกที่มองว่า มนุษย์ต่างดาวหรือปรากฏการณ์ประหลาดบนท้องฟ้า เป็นเรื่องน่าขันหรือไม่น่าใส่ใจเสียด้วยซ้ำ
ทว่าเรื่องนี้มีที่มาที่ไป หากย้อนดูประวัติศาสตร์การเมืองสหรัฐฯ ที่เชื่อมกับบริบทโลกในยุคหนึ่ง หรือ ‘ช่วงสงครามเย็น’ (Cold War) ก็อาจจะเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่า ทำไมสหรัฐฯ ถึงหมกมุ่นกับเหตุการณ์ลึกลับบนฟากฟ้าเป็นพิเศษนัก
จาก ‘วัตถุลึกลับ’ สู่ ‘จานบิน’ และ ‘UFO’: การตีความของสังคมอเมริกันต่อปรากฏการณ์ประหลาดบนฟากฟ้า
อันที่จริง จุดเริ่มต้นการพบเห็นปรากฏการณ์แปลกประหลาดบนฟากฟ้า เกิดขึ้นมาเนิ่นนานพอสมควร และได้รับการ ‘ตีความ’ ที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละประเทศ
ดังสถานการณ์ในเยอรมนีช่วงปี 1950-1960 เคยมีรายงานการพบเจอ UFO หรือวัตถุลึกลับบนท้องฟ้า ทว่าพวกเขากลับหาคำตอบไม่ได้ และเชื่อว่าเป็นการทดลอง ‘เทคโนโลยีใหม่’ ในสงครามของมหาอำนาจโลกอย่างสหรัฐฯ กับสหภาพโซเวียตในช่วงเวลานั้นเสียมากกว่า
แต่ไม่ใช่กับสหรัฐฯ มหาอำนาจเนื้อหอมของโลก เมื่อมีรายงานในปี 1947 จาก เคนเนธ อาร์โนลด์ (Kenneth Arnold) นักบินคนหนึ่งที่นับว่าเป็น ‘ผู้พบเห็น UFO คนแรกของโลก’ อย่างเป็นทางการ
เรื่องราวนี้เกิดขึ้นระหว่างที่อาร์โนลด์กำลังบินข้ามภูเขาเรเนียร์ (Rainier) เพื่อค้นหาเครื่องบินที่หายไป อาร์โนลด์อ้างว่า เขาเห็นวัตถุบินได้ 9 ส่วน บินผ่านไปอย่างรวดเร็วบนจุดสูงสุดของเทือกเขา มีรูปร่างเหมือนจานกลมโลหะสีเงิน ถูกควบคุมอย่างมืออาชีพ และมีแสงแวววาวกระทบกับแสงอาทิตย์ออกมา แต่อาร์โนลด์ก็ยังไม่ทราบว่า สิ่งนั้นคืออะไรกันแน่
อย่างไรก็ตาม การพบเจอวัตถุแปลกประหลาดของอาร์โนลด์ ถูกประโคมในหน้าสื่อจนกลายเป็นกระแสว่า นี่คือปรากฏการณ์ ‘จานบิน’ (Flying Sauce) ลึกลับ เช่น สำนักข่าวชิคาโกซัน-ไทม์ (Chicago Sun-Times) พาดหัวข่าวว่า ‘นักบินในไอดาโฮ (Idaho) พบจานบินความเร็วเหนือแสง’ โดยที่ตัวเขาเองก็ไม่ได้ใช้คำนั้นในระหว่างการสัมภาษณ์
แม้อาจจะเป็นความเข้าใจผิดบางอย่าง แต่ภายไม่กี่สัปดาห์ ผู้คนใน 40 รัฐ ต่างก็รายงานไปทางเดียวกันว่า พวกเขาพบเจอวัตถุประหลาดคล้ายอาร์โนลด์ และแพร่กระจายไปยังทั่วโลก
เช่นเดียวกับปี 1948 เกิด ‘Project Sign’ (ชื่อเดิมคือ Project Saucer) หรือโครงการข่าวกรองทางทหารที่รวบรวมเรื่องราวการพบเห็น UFO หรือวัตถุแปลกประหลาดบนท้องฟ้า โดยมีจุดประสงค์เพื่อค้นหาความจริงและคัดกรองข้อมูล เพราะคนส่วนใหญ่อาจหลอกลวงหรือเข้าใจผิดในสิ่งที่พวกเขาเห็น
ประเด็นดังกล่าวมาถึงขีดสุดในปี 1952 เมื่อหน่วยงานความมั่นคงอย่างกองทัพสหรัฐฯ ให้ความสนใจต่อประเด็นดังกล่าว โดย เอ็ดเวิร์ด รัปเพลต์ (Edward Ruppelt) กัปตันฐานทัพอากาศไรต์-แพตเทอร์สัน (Wright Patterson) ในรัฐโอไฮโอ สร้าง ‘Project Blue Book’ หน่วยงานสืบสวน UFO โดยเชื่อมโยงกับความมั่นคงทางอากาศของประเทศ และระบุว่า วัตถุลึกลับนี้มาจาก ‘นอกโลก’
วอชิงตันโพสต์ (The Washington Post) รายงานว่า การพบเห็น UFO ในปี 1952 เพิ่มขึ้นถึง 6 เท่า จากเดิมตัวเลขอยู่ที่ 23 ครั้งในเดือนมีนาคม พุ่งสูงถึง 148 ครั้งในเดือนมิถุนายน
ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ในหน่วยงานความมั่นคงต่างรายงานเป็นเสียงเดียวกันว่า พวกเขาเจอวัตถุแปลกประหลาด บางคนถึงกับเล่าว่า เขาพบเจอเหตุการณ์ข้างต้นแถวทำเนียบขาว ที่พำนักสำหรับประมุขสูงสุดของประเทศ แต่เมื่อเข้าใกล้ทุกอย่างก็หายไป
ขณะที่ประชาชนบางส่วนเริ่มตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ดังกล่าวว่า เกิดอะไรขึ้นกับประเทศ กระทั่งสำนักข่าวกรองกลาง (Central Intelligence Agency: CIA) ประกาศให้เรื่องราวของ UFO กลายเป็นนโยบายของชาติ และต้องมีการรายงานให้ประชาชนทราบ เพื่อยุติความว้าวุ่นในใจ
มากกว่าจานบิน มนุษย์ต่างดาว และเรื่องลึกลับ: สงครามเย็น เทคโนโลยีทางการทหาร และอาวุธนิวเคลียร์ ที่ส่งผลต่อจิตใต้สำนึกชนชาติอเมริกันจนถึงปัจจุบัน
ไม่มีใครรู้ว่าการพบเห็นจานบิน มนุษย์ต่างดาว หรือเรื่องลึกลับเกิดจากฝีมือใคร? เป็นเรื่องจริงหรือนิทานหลอกเด็ก? แต่มีสิ่งหนึ่งที่ชัดเจน คือปรากฏการณ์ลึกลับข้างต้นสัมพันธ์กับความกลัวของคนอเมริกันในช่วงสงครามเย็น
เดอะการ์เดียน (The Guardian) เปิดเผยงานวิจัยของชาวอังกฤษในปี 2002 ว่า การพบเจอจานบินเกิดจากจิตใต้สำนึกและความหวาดระแวงของผู้คนในช่วงสงครามเย็น ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นหากพิจารณาบริบทในช่วงปี 1947 เมื่อมีรายงานการพบเจอ UFO ครั้งแรกในประวัติศาสตร์อเมริกัน
ช่วงเวลาดังกล่าวเป็นยุค ‘หัวเลี้ยวหัวต่อ’ ก่อนที่โลกจะเข้าสู่ยุคสงครามเย็นอย่างเต็มรูปแบบ เมื่อความเป็นมิตรระหว่างสหรัฐฯ กับสหภาพโซเวียตล่มสลายลง หลังมีการประกาศหลักการทรูแมน (Truman’s Doctrine) ว่าด้วยภัยคอมมิวนิสต์ที่คุกคามวิถีชีวิตชนชาติอเมริกัน
ทว่าสงครามเย็นไม่ใช่แค่การแข่งขันทางอุดมการณ์ แต่ยังรวมไปถึงการเผชิญหน้าระหว่างมหาอำนาจในด้านการพัฒนาอาวุธยุทโธปกรณ์และเทคโนโลยีทางการทหาร โดยเฉพาะ ‘อาวุธนิวเคลียร์’ เมื่อทั้งโลกเห็นพิษสงของอาวุธร้ายแรงนี้ หลังเมืองฮิโรชิมา (Hiroshima) และนางาซากิ (Nagasaki) ในญี่ปุ่น เรียบเป็นหน้ากลอง จนจดจำเค้าโครงเดิมไม่ได้
ความตึงเครียดระหว่างประเทศจึงฉายภาพการปรากฏตัวของ ‘จานบิน’ ในฐานะความสำเร็จทางเทคโนโลยีขั้นสุดหลังสงครามโลกครั้งที่สอง และอาจเป็นอันตรายต่อประเทศได้ไม่ต่างจากเครื่องบินทิ้งระเบิดปรมาณู ไม่ว่าจะมาจากที่ไหนก็ตาม
ขณะที่ภาคประชาชนเกิดอาการตื่นตระหนกกับ UFO หรือมนุษย์ต่างดาว จนเกิดคำศัพท์ที่เรียกว่า ‘UFO Hysteria’ ขึ้นมา ภาครัฐก็มีความรู้สึกหมกมุ่นไม่ต่างกันว่า ใครจะทำลายความเป็นอภิมหาอำนาจสหรัฐฯ (US Hegemony) ด้วยเทคโนโลยีทางการทหารด้านอากาศที่เหนือกว่า เมื่อกองทัพอากาศของสหรัฐฯ เชื่อว่า ตนเองคือที่สุดของโลกในด้านนี้ เพราะเป็นส่วนสำคัญทำให้ฝ่ายสัมพันธมิตรได้รับชัยชนะในสงครามโลกครั้งที่สอง
อีกทั้งความกลัวดังกล่าวยังถูกแต่งแต้มเป็นรูปธรรมจากเพื่อนบ้าน ปรากฏให้เห็นชัดเจนในช่วงทศวรรษ 1960 เมื่อสหรัฐฯ พบว่า คิวบา พื้นที่ที่ได้รับการขนานนามในทางภูมิรัฐศาสตร์ว่าเป็น ‘หลังบ้านของสหรัฐฯ’ (America’s Backyard) มีขีปนาวุธครอบครองผ่านการสนับสนุนของสหภาพโซเวียต จนก่อให้เกิด ‘วิกฤตการณ์ขีปนาวุธคิวบา’ ที่เกือบนำไปสู่สงครามล้างโลก
ด้วยเหตุนี้ UFO มนุษย์ต่างดาว หรือปรากฏการณ์แปลกประหลาดบนฟากฟ้า จึงเป็นเรื่องเดียวกับความมั่นคงของชาติ แสดงให้เห็นท่าทีของภาครัฐ กองทัพเพนตากอน (Pentagon) หรือหน่วยงานข่าวกรองของสหรัฐฯ ที่ยังคงสืบสวนหาที่มาของปรากฏการณ์แปลกประหลาด และรายงานสถานการณ์บางส่วนต่อสาธารณชนอย่างจริงจัง
ความคิดดังกล่าวยังส่งต่อมาจนถึงศตวรรษที่ 21 โดยเฉพาะหลังเหตุการณ์ 9/11 เป็นต้นมา ที่เผยความหละหลวมในน่านฟ้าของอภิมหาอำนาจ เห็นได้ชัดเจนจากข้อพิพาทระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ในเรื่อง ‘บอลลูนสอดแนมทางอากาศ’ ช่วงต้นปี 2023
ท้ายที่สุด ไม่ว่าการพบเห็นมนุษย์ต่างดาว UFO หรือสิ่งมีชีวิตลึกลับ จะเป็นความจริงหรือไม่ แต่ความกลัวของสหรัฐฯ ที่จะสูญเสียสถานะมหาอำนาจเบอร์หนึ่งของโลก มีอยู่จริง และค่อยๆ เด่นชัดขึ้นทุกวัน ท่ามกลางการเผชิญหน้ากับจีนในการเมืองโลก
อ้างอิง
https://thehill.com/homenews/space/4131768-the-truth-is-out-there-more-americans-believe-in-ufos/
https://www.theguardian.com/science/2002/may/05/spaceexploration.research
https://www.ipsos.com/en-us/many-americans-believe-supernatural-ufos
https://www.npr.org/2021/06/28/1011043735/the-uniquely-american-intrugue-around-ufos
https://airandspace.si.edu/stories/editorial/1947-year-flying-saucer
https://foreignpolicy.com/2021/06/06/ufos-space-cold-war-pentagon-military-aliens/
https://www.history.com/news/ufos-washington-white-house-air-force-coverup
Tags: เทคโนโลยีทางทหาร, UFO, น่านฟ้า, อวกาศ, สิ่งมีชีวิตนอกโลก, สงครามเย็น, จานบิน, อเมริกัน, สังคมอเมริกัน, สหรัฐฯ, มนุษย์ต่างดาว, อาวุธนิวเคลียร์, สหรัฐอเมริกา, UAP, เอเลี่ยน, สิ่งมีชีวิตแปลกปลอม, สหภาพโซเวียต, จักรวาล