1
วันที่ 20 เมษายน 1999 ซูซาน คลีโบลด์ (Susan Klebold) เพิ่งจะอายุครบ 50 ปี ได้เพียง 26 วันเท่านั้น ขณะกำลังเตรียมประชุมเกี่ยวกับการให้ทุนการศึกษาเด็กนักเรียน อันเป็นส่วนหนึ่งของงานที่เธอทำในสถานดูแลผู้พิการของรัฐโคโลราโด ประเทศสหรัฐอเมริกา ขณะกำลังจะเดินเข้าห้องประชุม หญิงสาวสังเกตเห็นโทรศัพท์ที่โต๊ะทำงาน ส่งสัญญาณไฟสีแดงขึ้น หมายความว่า มีคนโทร.ฝากข้อความไว้
ซูซานจะปล่อยผ่านเลยก็ได้ แต่วันนั้นเธอตัดสินใจเดินไปกดฟัง สิ่งที่ได้ยินจะเปลี่ยนชีวิตเธอไปตลอดกาล ปรากฏว่าคนที่โทร.เข้ามาคือ ทอม คลีโบลด์ (Tom Klebold) สามีของเธอ เขาพูดด้วยน้ำเสียงร้อนรน
“ซูซาน นี่เป็นเรื่องฉุกเฉิน รีบโทร.กลับหาผมด่วน”
มีบางอย่างผิดปกติขึ้น หญิงสาวรู้ดี น้ำเสียงของคู่ชีวิตดูมีความเจ็บปวด หรือว่าจะเกิดเรื่องกับลูก
เมื่อโทร.กลับไปหา สามีตะโกนออกมาว่า
“เปิดโทรทัศน์ แล้วถือสายไว้นะ ให้ผมได้ยินเสียงคุณตลอด”
ซูซานคิดสรตะมากมาย หรือว่ากำลังเกิดสงคราม หรือมีใครโจมตีประเทศเราเหรอ อะไรผิดปกติกำลังจะเกิดขึ้น
“ที่รักเกิดอะไรขึ้น”
แต่ไม่มีเสียงใดตอบกลับมา เธอรู้ในเวลาต่อมาว่า สามีรีบวิ่งไปที่ห้องของลูกชาย ดีแลน คลีโบลด์ (Dylan Klebold) วัย 17 ปี หลังมีเพื่อนของทอมโทรศัพท์มาว่า เกิดเหตุยิงกันที่โรงเรียนมัธยมปลายซึ่งลูกเขาเรียนอยู่ และคนร้ายใส่เสื้อโค้ตสีดำไล่สังหารผู้คน
พ่อของดีแลนเคยเห็นเสื้อโค้ตสีดำของลูก ซึ่งมักจะใส่อยู่เป็นประจำกับเพื่อนสนิท เอริก แฮร์ริส (Eric Harris)
ทอมเปิดตู้เสื้อผ้าออก ถ้าเสื้อสีดำตัวนี้ของลูกยังอยู่ในตู้
“นั่นหมายความว่าเขาไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้”
อย่างไรก็ดีสิ่งที่พ่อแม่ของดีแลนหวังไม่เป็นจริง พวกเขาไม่พบเสื้อตัวนี้ที่บ้าน ทอมพูดกับภรรยาถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้ซูซานตัดสินใจครั้งสำคัญ ยกเลิกการประชุมและบึ่งรถเกือบ 42 กิโลเมตร เพื่อกลับบ้าน
ระหว่างทางเธอครุ่นคิด ดีแลนสุดที่รัก ลูกของเธอเป็นคนสุภาพ บ้านคลีโบลด์ไม่มีปืนครอบครอง เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไล่ยิงคน เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด
แต่เมื่อถึงที่พัก ทอมรีบวิ่งมาพบซูซาน ตำรวจและหน่วยปฏิบัติการพิเศษอยู่เต็มไปหมด กั้นจุดเกิดเหตุ ทำให้สองสามีภรรยาเข้าไปในบ้านไม่ได้
วินาทีนั้น ซูซานกับทอมรู้ดีแล้วว่า
“ลูกของพวกเขาเป็นฆาตกร”
2
แอนน์ มารี โฮชฮัลเตอร์ (Anne Marie Hochhalter) อายุแค่ 17 ปี เรียนอยู่ชั้นปีสุดท้ายของโรงเรียนมัธยมปลายโคลัมไบน์ (Columbine High School) ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองลิตเทิลตัน รัฐโคโลราโด สหรัฐฯ
ชีวิตก่อนเวลาเที่ยงของวันที่ 20 เมษายน 1999 ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าเธอมีความฝันอย่างไร รู้เพียงว่าเจ้าตัวเล่นดนตรีหลายอย่างให้กับวงดุริยางค์ของโรงเรียน โดยมีคลาริเน็ตเป็นเครื่องดนตรีที่ถนัดสุด
ในช่วงที่เสียงปืนดังขึ้น เธอกำลังนั่งกินข้าวเที่ยงที่โรงอาหารในโรงเรียน เสี้ยววินาทีนั้นกระสุนปืนพกกึ่งอัตโนมัติ พุ่งใส่ร่างหญิงสาวที่ด้านหลังและหน้าอกโดยไม่ทันตั้งตัว
เธอคือเหยื่อของเหตุกราดยิงในโรงเรียนครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์โลก
เดฟ คัลเลน (Dave Cullen) สื่อมวลชนที่เกาะติดเรื่องนี้บอกว่า เหตุการณ์ที่โรงเรียนโคลัมไบน์ แม้ไม่ใช่การกราดยิงครั้งแรกในสหรัฐอเมริกา
“แต่มันคือจุดเริ่มต้นแห่งยุคสมัยการกราดยิงในโรงเรียนของประเทศนี้”
ดีแลน คลีโบลด์ และเอริก แฮร์ริส คือสองมือสังหาร ซึ่งวางแผนการก่อเหตุมาเป็นปี มีการสั่งซื้อระเบิด อาวุธปืน พวกเขามุ่งมั่นด้วยความหมกมุ่น อยากจะสร้างผลงานฉาวในโรงเรียนซึ่งพวกเขาสังกัดอยู่
ทั้ง 2 คน โดยเฉพาะเอริก ต้องการให้โศกนาฏกรรมที่โคลัมไบน์ มีผู้เสียชีวิตมากยิ่งกว่าเหตุก่อการร้ายไหนๆ ในสหรัฐฯ ที่เกิดขึ้นจากคนในประเทศเดียวกันเอง
เอริกและดีแลนถ่ายคลิปวิดีโอ เขียนบันทึก พวกเขามีพฤติกรรมต่อต้านสังคม และที่สำคัญมีความหมกมุ่นกับกลุ่มนาซี ถึงขนาดเคยทำท่าไฮล์ ฮิตเลอร์ อันเป็นคำทักทายของคนเยอรมันในช่วงที่ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler) เรืองอำนาจ
ไม่เพียงเท่านั้น พวกเขายังเลือกวันก่อเหตุด้วยความตั้งใจคือ 1 วัน หลังเหตุโศกนาฏกรรม 2 เรื่องด้วยกัน นั่นก็คือในวันที่ 19 เมษายน 1993 กลุ่มลัทธิประหลาดตัดสินใจจุดไฟเผาตึกที่พวกเขามาตั้งนิคม ไม่ขึ้นตรงต่อรัฐบาลกลาง ซ่องสุมอาวุธ แม้เจ้าหน้าที่จะทำการล้อมปราบ แต่กลุ่มดังกล่าวไม่ยอมแพ้และตัดสินใจฆ่าตัวตายหมู่
เหตุการณ์นี้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้ ทิโมที แม็กเวจ (Timothy McVeigh) ตัดสินใจลอบวางระเบิดตึกรัฐบาลกลาง ในวันที่ 19 เมษายน 1995
ทั้ง 2 เหตุนี้สร้างแรงบันดาลใจให้เอริกและดีแลน จนอยากจะก่อเหตุในวันนั้นเสียอย่างเดียว ในวันที่ 19 เมษายน 1999 โรงเรียนโคลัมไบน์เพิ่งเปิดเรียนวันแรก หลังจากจัดงานเลี้ยงอำลาให้กับ ม.6 ทุกคนอยู่ในสภาพย่ำแย่ เมาค้างจากปาร์ตี้คืนวันเสาร์ไม่ทันหายดี สองว่าที่ฆาตกรก็ได้รับผลกระทบด้วย จึงต้องขยับวันสังหารออกไปอีก 1 วัน
พวกเขาตั้งเป้าว่าจะต้องมีคนตาย 200 กว่าคน มีตำรวจ เจ้าหน้าที่รัฐสิ้นชีพจากแรงระเบิด ตึกของโรงเรียนพังทลาย โชคดีที่ระเบิดแสวงเครื่องไม่ทำงาน กระนั้นพวกเขาก็ถือปืนไล่ยิงเพื่อนนักเรียนอย่างโหดเหี้ยม วงจรปิดจับภาพได้ และเป็นครั้งแรกที่โลกได้เห็นวินาทีการกราดยิงในโรงเรียน
สิ่งที่พวกเขาลงมือ มีผลให้นักเรียนเสียชีวิต 12 ราย ครู 1 ราย และมีผู้บาดเจ็บ 24 รายด้วยกัน
หลังยิงไปได้ประมาณหนึ่ง ทั้งคู่ตัดสินใจเดินเข้าไปที่ห้องสมุด แล้วลั่นไกจบชีวิตตัวเอง ทิ้งไว้กับเรื่องราวสุดสะพรึงที่สั่นสะท้านไปทั่วสหรัฐฯ
แอนน์อาการสาหัส โชคดีที่เจ้าหน้าที่มาพบเธอ และพาตัวไปโรงพยาบาลได้ทัน แตกต่างจากผู้บาดเจ็บหลายรายที่กว่าจะเอาออกมาได้ ก็เสียชีวิตไปก่อน ยังไม่นับศพนักเรียนที่ถูกยิงตั้งแต่เริ่มต้น ไม่ได้ถูกพาออกมา และจะนอนอยู่อย่างนั้นไปอีกหลายวัน กลายเป็นภาพที่ปวดร้าวเอามากๆ
แพทย์ลงมือผ่าตัดเพื่อยื้อชีวิตจากมัจจุราช ผ่านไปหลายชั่วโมง หญิงสาววัย 17 ปี รอดตายราวปาฏิหาริย์
แต่ฝันร้ายของเธอไม่จบสิ้นลงเพียงเท่านี้
หมอแจ้งว่า กระสุนซึ่งพุ่งเข้าที่หลังส่งผลต่อกระดูกสันหลัง แอนน์จะเป็นอัมพาตครึ่งล่างไปตลอดชีวิต ต้องนั่งรถเข็นจนวันตาย
แม้จะเสียใจและเจ็บปวดแค่ไหน แต่เด็กหญิงวัย 17 ปีไม่ยอมแพ้ ไม่มีวันจำนนต่อชะตากรรม เธอลุกขึ้นสู้ เพื่อบอกโลกว่า ปีศาจตัวไหนก็พรากชีวิตเธอไปไม่ได้
“ฉันไม่ใช่เหยื่อ แต่คือผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์นี้”
3
ซูซานและทอมเจ็บปวดกับเหตุการณ์โคลัมไบน์มาก พวกเขาถูกคนทั้งชุมชนวิจารณ์ด่าและสังคมทั่วทั้งโลกตั้งคำถามว่า ทำไมถึงเลี้ยงลูกให้กลายเป็นปีศาจได้ ทำไมไม่รู้หรือไม่สังเกตสัญญาณเตือนว่า ดีแลนจะกลายเป็นมือกราดยิงที่เลวร้ายสุดในสหรัฐฯ
สองสามีภรรยาเคยคิดว่า พวกเขาเป็นพ่อแม่ที่เลี้ยงลูกอย่างดีสุดในโลก แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ค้นพบหลักฐานมากมายชี้ว่า ลูกสุดที่รัก คือปีศาจในคราบมนุษย์ดีๆ นี่เอง ทั้งคู่ก็ตกอยู่ในอาการช็อกสุดขีด
ซูซานอับอายมาก เวลาเดินทางไปไหนหรือคุยกับใคร เจ้าตัวจะบอกเพียงชื่อ ไม่พูดถึงนามสกุล หลีกเลี่ยงการสบตากับใคร เมื่อมีคนถามว่าทำไมถึงหน้าคุ้นๆ เธอจะรีบเดินหนี เพื่อไม่อยากให้ใครจำได้ว่าตัวเองคือแม่ของฆาตกรกราดยิงในโรงเรียนโคลัมไบน์
ทั้งสองต้องเขารับการบำบัด ต้องอยู่อย่างเงียบๆ แต่พวกเขาแตกต่างจากครอบครัวแฮร์ริส ซึ่งเลี้ยงลูกที่ร่วมก่อเหตุสังหารหมู่เหมือนกัน ซึ่งเก็บตัวไม่พูดอะไรทั้งสิ้นกับโลกภายนอก แต่ทอมและซูซานไม่คิดแบบนั้น พวกเขาตัดสินใจครั้งสำคัญ ลุกขึ้นพูดต่อหน้าสื่อ บอกเล่าเรื่องราวความเจ็บปวด ที่ตัวเองได้รับว่า มันไม่ได้แตกต่างจากครอบครัวเหยื่อเหตุการณ์นี้เลย
หญิงสาวตัดสินใจอย่างกล้าหาญ เดินทางไปพบพ่อแม่ของผู้สูญเสีย เพื่อพูดคุย โดยมีข้อแม้ว่าจะทำเป็นการส่วนตัว ไม่ให้สื่อรู้ เพราะหวั่นเกรงความปลอดภัยของตัวเองอยู่เหมือนกัน
สิ่งที่น่ากลัวจากเหตุการณ์นี้ก็คือ ทุกวันครบรอบจะมีกลุ่มขวาจัด พวกบ้าคลั่งมาที่โรงเรียนโคลัมไบน์ เพื่อยกย่องการกระทำของสองฆาตกร หลายครั้งมีคนเขียนจดหมายมาหาซูซานกับทอม เพื่อคารวะวีรกรรมที่พวกเขากระทำ มีเด็กหญิงส่งข้อความมายินดี และในอีกมุมก็มีคนส่งข้อความด่าทอประณามขู่ฆ่าที่เลี้ยงลูกให้เป็นฆาตกร
ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ทอมและซูซานต้องแบกรับ แต่พวกเขาเลือกจะกล้าก้าวออกมาต่อโลกภายนอก
“ถ้าฉันเลือกจะหนี จะถูกตราหน้าว่าเป็นแม่ของมือสังหาร ดังนั้นฉันจึงเลือกที่จะอยู่ เพื่อสนับสนุนทุกคนที่รู้จักพวกเราอย่างแท้จริง”
ซูซานรณรงค์เรื่องปัญหาในโรงเรียน ความปวดร้าวในหมู่วัยรุ่น และเลือกบอกเล่าชีวิตของเธอกับลูกชายที่เป็นฆาตกร
“ฉันรู้ดีว่า จวบจนวันตาย เรื่องของดีแลนจะหลอกหลอนฉันไปทั่วชีวิต แต่อยากบอกให้รู้ว่าเขาก็คือมนุษย์ เขามีปัญหาของตัวเองเหมือนกัน”
ทุกคนที่ฟังรู้ดีว่า แม้ลูกจะเป็นปีศาจ แต่ซูซานยังคงรักเขาเหมือนเดิม
ผ่านไปหลาย 10 ปี จดหมายฉบับหนึ่งส่งมาหาหญิงสาว มันมาจากแอนน์ เธอเขียนข้อความที่ทำให้สองสามีภรรยา คลีโบลด์ คล้ายปลดความปวดร้าวในใจไปได้นิด
แอนน์ซึ่งนั่งรถเข็นตลอดชีวิตเลือกจะไม่ยอมแพ้ แม้ฝันร้ายยังไม่จบสิ้น หลังเกิดเหตุกราดยิงได้ 6 เดือน แม่ของเธอซึ่งป่วยทางจิต ตัดสินใจไปร้านรับจำนำ ซื้อปืนและยิงตัวตาย แต่หญิงสาวไม่ยอมให้อุปสรรคและความเจ็บปวดขัดขวางเส้นทางชีวิต
หลังรักษาตัวเอง ทำใจกับการที่จะเดินไม่ได้อีก แอนน์กลับไปเรียนที่โคลัมไบน์จนจบ โดยมีพ่อแม่ของผู้เสียชีวิตคนอื่นๆ สนับสนุน ก่อนเรียนต่อในวิทยาลัยชุมชน ทำงานดูแลผู้พิการ เมื่อครบรอบเหตุสังหารหมู่ หญิงสาวมุ่งมั่นที่จะบอกเล่าเรื่องราวดังกล่าว เพื่อหวังจะไม่ให้เกิดเหตุแบบนี้ขึ้นอีกในโลกใบนี้
เมื่อซูซานเขียนหนังสือ ออกสื่อบอกเล่าเรื่องราว แอนน์ตัดสินใจเขียนจดหมายเพื่อพูดกับครอบครัวของผู้ก่อเหตุว่า
“แม้หนูจะเจ็บปวดจากบาดแผลในกระดูกสันหลังที่ไม่มีวันสิ้นสุด แต่หนูจะไม่มีวันโทษคุณว่าเป็นต้นเหตุของเรื่องนี้ เพราะความขมขื่นก็เหมือนการกลืนยาพิษและแช่งว่าอีกฝ่ายจะต้องตาย มันมีแต่ทำร้ายตัวเราเอง
“หนูให้อภัยพวกคุณนะ และขอให้โชคดีนะคะ”
4
ซูซานจำได้ว่าวันเกิดเหตุ ดีแลนออกจากบ้านไปตอนเช้า คำพูดสุดท้ายที่เขาพูดกับเธอก็คือ “ลาก่อนฮะ”
หญิงสาวเปิดตัวต่อโลกภายนอก ขอโทษเหยื่อซ้ำแล้วซ้ำเล่า ขึ้นเวที TED Talks ย้ำเตือนเรื่องราวนี้ หวังให้เป็นอุทาหรณ์แก่พ่อแม่ทั้งหลาย และผู้ปกครองทุกคนได้ใส่ใจลูกหลานพวกเขาให้มากกว่านี้ เพื่อที่จะได้ไม่มีใครเป็นดีแลนคนต่อไป
เธอย้ำกับสังคมอเมริกันไว้ว่า “ความรักไม่เพียงพอที่จะหยุดการฆาตกรรมได้ ก่อนเกิดเรื่องฉันคิดว่าตัวเองคือแม่ที่เลี้ยงลูกได้ดีสุดในโลก แต่เมื่อรู้ความจริง ฉันพบว่าตัวเองไม่รู้อะไรเลย
“ดังนั้นโปรดสังเกตลูกๆ ของพวกคุณ ถ้าพวกเขาต้องการความช่วยเหลือบางอย่าง อย่ารีรอ และให้รีบทำทันที”
ทุกวันนี้ซูซานและทอม ยืนยันที่จะถ่ายทอดความผิดของบุตรชาย ด้วยการเผชิญหน้ากับความจริง จนกว่าชีวิตจะสูญสิ้น และหากมีโลกหลังความตาย พวกเขาหวังจะได้ถามดีแลนเหมือนกันว่า ทำไมลูกถึงก่อเหตุแบบนี้
ในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2025 หรือ 26 ปี หลังเหตุกราดยิงโคลัมไบน์ แอนน์ก็เสียชีวิตลงอย่างสงบ เจ้าหน้าที่พบสาเหตุเกิดจากภาวะแทรกซ้อนของร่างกาย ที่เกิดจากการเป็นอัมพาตอันเป็นผลจากกระสุนร้ายในวันนั้นนั่นเอง
สิ่งนี้สร้างความโศกเศร้าเสียใจอย่างมาก สื่อ ผู้คนและครอบครัวเหยื่อต่างร่วมอาลัยให้กับหญิงสาวผู้นี้
นักข่าวต่างรื้อบทสัมภาษณ์เธอ เพื่อบอกเล่าความเลวร้ายของเหตุการณ์นี้ ซึ่งไม่ใช่ครั้งสุดท้ายของสหรัฐฯ และโลกใบนี้ต่อการกราดยิงสังหารเด็กในโรงเรียน โศกนาฏกรรมยังเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยไร้ซึ่งจุดจบและแนวทางแก้ปัญหา
สิ่งที่หลงเหลืออยู่หลังความเลวร้าย ก็คือผู้รอดชีวิตที่พยายามต่อสู้ในความยากลำบากและเจ็บปวดนี้ และแอนน์ก็ทำอย่างดีที่สุดเท่าที่เธอจะทำได้
ความตายของหญิงสาวผู้นี้ จึงเต็มไปด้วยความเศร้าแต่ก็น่ายกย่อง เป็นแนวทางให้ผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์คล้ายกันนี้ ได้สู้ต่อไปอย่างไม่ยอมแพ้ ตามบทสัมภาษณ์ของแอนน์ที่บอกไว้อย่างน่าสนใจ และเป็นภาพแทนของเหยื่อในเหตุการณ์กราดยิงโคลัมไบน์ได้เป็นอย่างดีว่า
“ฉันเฝ้าถามตัวเองมาตลอดว่า ทำไมเราถึงรอด ขณะที่คนอื่นๆ ไม่รอดในวันที่เลวร้ายนี้
“หลายปีที่ครุ่นคิด ในที่สุดฉันก็พบว่า ตัวเองจะต้องมีชีวิตให้ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อเป็นเกียรติแก่นักเรียน 12 ราย และครู 1 ราย ที่เราสูญเสียพวกเขาไปในวันนั้น”
ข้อมูลอ้างอิง
https://www.theguardian.com/us-news/2025/feb/19/columbine-anne-marie-hochhalter-death
https://edition.cnn.com/2025/04/20/us/anne-marie-hochhalter-columbine-shooting-anniversary
https://www.nytimes.com/2025/02/18/us/anne-marie-hochhalter-columbine-shooting-dies.html
https://www.oprah.com/omagazine/susan-klebolds-o-magazine-essay-i-will-never-know-why
https://www.ted.com/talks/sue_klebold_my_son_was_a_columbine_shooter_this_is_my_story/transcript
Tags: ฆาตกร, กราดยิง, โศกนาฏกรรม, Haunted History