“ผมไม่ได้ฆ่าท่าน พระเจ้าต่างหากที่ทำ”
1
ช่วงเช้าวันที่ 2 กรกฎาคม 1881 ณ สถานีรถไฟในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมืองหลวงของสหรัฐอเมริกา ประธานาธิบดีคนที่ 20 ของประเทศ เจมส์ เอ. การ์ฟิลด์ (James A. Garfield) พร้อมลูกชายวัย 18 ปี และ 16 ปี นั่งรออยู่ในห้องรับรองเพื่อเตรียมขึ้นขบวนรถไฟเดินทางกลับไปเยี่ยมภรรยาที่กำลังพักฟื้นจากโรคมาลาเรีย
ผู้นำสูงสุดของอเมริกาอยู่ในวัยย่าง 50 ปี มาจากพรรครีพับลิกัน (Republican Party) เขาเป็นนายพลฝ่ายเหนือ รบในสงครามกลางเมืองของประเทศ เป็นผู้แทนมาอย่างยาวนาน แต่ภารกิจการศึกกับเวทีการเมือง ไม่อาจจะเทียบเท่าความลำบากสาหัส ในหน้าที่ของประธานาธิบดีได้เลย
4 เดือนตั้งแต่การ์ฟิลด์สาบานตนเข้าดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีแต่เรื่องปวดหัวทุกวัน มันไม่เกี่ยวข้องกับการบริหารประเทศ แต่คือการร้องขอจากพรรคพวกในพรรครีพับลิกัน ที่ต้องการส่งคนไปดำรงตำแหน่งในรัฐการของประเทศ ซึ่งประธานาธิบดีสามารถแต่งตั้งใครก็ได้กว่า 1,000 ตำแหน่ง
นี่คือมรดกแห่งการคอร์รัปชันที่ดำเนินมากว่า 50 ปี มันเกิดจากอำนาจผู้นำคนเก่าๆ ที่เมื่อได้ตำแหน่งก็ไล่ข้ารัฐการเดิมออก เพราะคิดว่าเป็นฝ่ายอำนาจเก่า แล้วรีบยัดพวกของตัวเองไปทำหน้าที่กินเงินเดือนภาษีประชาชนแทน และสิ่งนี้ก็ยังดำรงอยู่ ไม่ว่าจะเปลี่ยนรัฐบาลกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง วงจรอุบาทว์ก็ไม่เคยจางหาย
ปัญหานี้ทำให้ประธานาธิบดีคนใหม่ของประเทศปวดหัว บางคืนถึงขั้นนอนขดตัวในผ้าห่ม ณ ทำเนียบขาว พร้อมสงสัยคร่ำครวญว่า ตัวเองมีความสามารถพอจะบริหารรัฐการแผ่นดินนี้ได้หรือไม่
“แทนที่จะได้แก้ไขปัญหามากมายของประเทศนี้ แต่ตลอดทั้งวันของผม หมดไปกับการหางานให้พวกพ้อง กลุ่มของพวกเขาไล่ล่าตำแหน่งในภาครัฐราวกับนักรบที่โหดเหี้ยม”
ตำแหน่งงานที่ว่างลง 1,000 ตำแหน่ง เพื่อต้อนรับประธานาธิบดีคนใหม่ เป็นโอกาสและอาหารอันโอชะของผู้สนับสนุนในพรรค และคนที่อ้างตัวว่าช่วยให้การ์ฟิลด์ชนะเลือกตั้ง แถวหน้าประตูทางเข้าของทำเนียบขาว กินยาวไปถึงยังท้องถนน คลาคล่ำไปด้วยบุคคลจำนวนมากต่อคิวเพื่อพบผู้นำรัฐบาล โดยมุ่งหวังจุดประสงค์เดียว
แต่งตั้งพวกเขาให้เป็นเจ้าหน้าที่รัฐในตำแหน่งอะไรก็ได้
นี่คือการฉ้อฉลอย่างชัดเจน การ์ฟิลด์เหนื่อยล้าและเบื่อหน่ายกับคนพวกนี้อย่างมาก ไม่มีทางที่เขาจะจัดหาเก้าอี้การเมืองให้ได้ตามที่ทุกคนต้องการ ย่อมมีผู้ผิดหวัง ย่อมมีคนโกรธแค้น นำไปสู่การปะทะไม่กินเส้นกับคนในพรรครีพับลิกันอย่างแน่นอน
ช่างเป็น 4 เดือนที่อลหม่านและวุ่นวายยิ่งนัก
กว่าที่สหรัฐฯ ในยุคต่อมาจะปฏิรูประบบเล่นพรรคพวกเพื่อนพ้อง กว่าจะมีการแต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาข้ารัฐการ ไม่ให้ประธานาธิบดีตั้งใครมั่วๆ ได้เกือบพันตำแหน่ง ก็ต้องหลังหมดยุคสมัยของเขา
แต่การ์ฟิลด์ไม่มีโอกาสได้เห็นความสำเร็จที่เขาพยายามผลักดันนี้
เพราะในวันที่เจ้าตัวนั่งรอรถไฟพร้อมลูก
ประธานาธิบดีคนที่ 20 ของสหรัฐฯ กำลังจะถูกยิงตาย
2
ขณะจะก้าวเท้าออกจากห้องรับรอง เพื่อไปขึ้นรถไฟ การ์ฟิลด์ไม่ทันสังเหตุเห็นชายวัย 39 ปี ซึ่งมาดักรอตั้งแต่เวลา 08.30 น. แล้ว เมื่อเข็มนาฬิกาขยับไปที่ 09.20 น. เขาก็เดินตรงลิ่วมาหาเป้าหมาย เจ้าของทำเนียบขาว
ดวงตาเขามุ่งมั่นเอามากๆ
ปืนพกอยู่ในมือ ชายคนนี้ยกมันขึ้น โดยไม่ทันที่ใครจะสังเกต นิ้วเข้าโกร่งไก เหนี่ยวอย่างบรรจง กระสุนพุ่งออกมา ซัดเข้ามือขวาของการ์ฟิลด์
“พระเจ้า เกิดอะไรขึ้น” เสียงอุทานของประธานาธิบดีคนที่ 20 ดังขึ้น
มือสังหารลั่นไกอีกครั้ง กระสุนพุ่งเข้าใส่หลังของเหยื่อ จนล้มไปกองกับพื้น
2 นัดเพียงพอแล้ว ผู้ก่อเหตุหันหลังแล้วออกวิ่ง ท่ามกลางเสียงร้องของผู้ติดตามประธานาธิบดี ตำรวจนายหนึ่งรีบวิ่งเข้ามา พร้อมกับเจ้าหน้าที่รถไฟ
“จับมันให้ได้ ไอ้นั่นยิงประธานาธิบดี”
การ์ฟิลด์อาเจียนออกมา แล้วหันไปเจอลูกชายวัยรุ่นที่กำลังยืนช็อก เจ้าตัวพยายามปลอบลูกชายด้วยความใจดีสู้เสือ
“พ่อไม่เป็นไรลูก พ่อยังไหว”
หลังจากนั้นด้วยความกลัวว่าภรรยาจะรู้ข่าวช็อกนี้จากหนังสือพิมพ์ ชายชรารีบหันไปหาเจ้าหน้าที่เพื่อบอกให้ส่งโทรเลข
“บอกเธอว่า ผมบาดเจ็บสาหัส แต่ไม่รู้ว่าหนักหนาแค่ไหน ขอให้รีบมาพบผมโดยเร็วที่สุด รักนะ”
แพทย์กรูกันเข้ามา แต่การ์ฟิลด์ยังมีเรี่ยวแรงสั่งอย่างเฉียบขาดว่า “พาผมกลับไปทำเนียบขาวเดี๋ยวนี้”
เมื่อผู้นำสูงสุดสั่งการมาแบบนี้ ทุกฝ่ายจึงปฏิบัติตามทันที
ขณะเดียวกัน ชุดจับกุมรีบปิดล้อมสถานีรถไฟด้วยความร่วมมือจากประชาชน นั่นทำให้วายร้ายไม่อาจหนีไปได้ไกล เขาถูกรวบตัวท่ามกลางประชาชนที่เห็นเหตุการณ์ต่างตะโกนด่าทอสาปแช่ง
“แขวนคอมันเลย แขวนคอมันซะ แขวนคอเดี๋ยวนี้”
ตำรวจระงับเหตุประชาทัณฑ์ ก่อนพาตัวผู้ต้องหาไปสอบปากคำที่โรงพัก เมื่อค้นอย่างละเอียดก็พบปืนและบัตรประจำตัว จึงทราบชื่อฆาตกรนามว่า
ชาร์ลส์ กีโต (Charles Guiteau)
3
ชายคนนี้เกิดที่เมืองชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ แม่มีอาการทางจิตแยกไม่ออกระหว่างโลกความจริงกับจินตนาการ และสิ่งนี้ส่งผ่านมาให้กับลูกชายด้วย ส่วนพ่อก็เลี้ยงดูเขาด้วยไม้เรียวและความรุนแรง ถ้าสะกดคำไหนไม่ออก กีโตจะถูกตีตลอดเวลา นั่นทำให้เด็กหนุ่มเข้ากับใครไม่ได้ เพราะรู้สึกแปลกแยก เก็บตัว ยิ่งโตมา สาวๆ ไม่อยากจะคบหา แต่งงานไปก็ล้มเหลว เจ้าตัวจึงโดดเดี่ยวและหันหน้าเข้าหาชุมชนทางศาสนา จนหลงคิดว่าตัวเองคือคนที่พระเจ้าเลือกมาให้มีชีวิตบนโลก
ตลอดชีวิตชายคนนี้ทำธุรกิจมากมาย แต่ไม่ประสบความสำเร็จสักอย่าง ทำธุรกิจประกันชีวิตก็เจ๊ง ทำอย่างอื่นก็ไม่รอด แต่ก็ยังสนใจในข่าวสารและการเมืองแบบถึงขั้นลุ่มหลง ถึงขั้นเปิดหนังสือพิมพ์ของตัวเอง แน่นอนว่ามันประสบความล้มเหลว
กีโตหลอนคิดว่าตัวเองมีส่วนที่ทำให้ประธานาธิบดีการ์ฟิลด์ชนะเลือกตั้ง เขาอ้างว่าเป็นผู้ช่วยเขียนบทสุนทรพจน์ นั่นทำให้ 2 วันหลังจากเจ้าของทำเนียบขาวคนใหม่สาบานตน ชายหนุ่มจิตไม่ปกติ จึงรีบมายังเมืองหลวง ด้วยเงินเพียงน้อยนิด และเสื้อผ้าเพียงชุดเดียว โดยได้ไปเข้าแถวต่อคิว เพื่อหวังว่าจะได้รับตำแหน่งรัฐการ เป็นถึงกงสุลประจำฝรั่งเศสเลย
กระนั้นการ์ฟิลด์ไม่เคยรู้จักและพบชายคนนี้ และไม่มีทางจะมอบตำแหน่งอะไรให้เลย สิ่งนี้ทำให้กีโตผิดหวัง และเริ่มวางแผนการลอบสังหาร เพราะเห็นว่าสิ่งที่ประธานาธิบดีคนใหม่ทำนั้น สร้างปัญหาให้กับพรรครีพับลิกันและประเทศนี้
“ถ้าไม่มีท่านอยู่ อะไรคงจะดีขึ้น”
เขาเขียนในบันทึก โดยหวังว่าหากลั่นไกสังหารการ์ฟิลด์ ประธานาธิบดีคนใหม่น่าจะจัดสรรตำแหน่งให้เขาได้ เพื่อเป็นการขอบคุณที่ทำเพื่ออเมริกา
กีโตซื้อปืนและวางแผนอย่างละเอียด ตรวจสอบกำหนดการของการ์ฟิลด์ จนได้จังหวะที่สถานีรถไฟ เขาทำลงไปด้วยเชื่อว่า ประเทศชาติจะสำนึกบุญคุณเขาอย่างแน่นอน แถมคนต้องออกมายกย่องเชิดชู และที่สำคัญนี่คือภารกิจที่พระเจ้าประทานมาให้เขา
“ให้ไปฆ่าประธานาธิบดี”
เมื่อถูกจับกุมตัวได้ ชายคลั่งยังคงเชื่อว่า รองประธานาธิบดีจะต้องส่งคนมาช่วยเขาให้ออกจากคุกอย่างแน่นอน ถึงกับโม้เรื่อยเปื่อยแก่นักสืบที่สอบปากคำว่า
“ท่านรองและพวกเป็นเพื่อนผม เขาจะต้องมาพาผมออกไป และถ้าคุณดูแลผมเป็นอย่างดี รับรองได้ว่าผมจะตั้งให้คุณเป็นผู้บัญชาการตำรวจเลย”
หลังพูดประโยคนี้จบ ฆาตกรก็ยิ้มให้กับเจ้าหน้าที่อย่างสยดสยอง
4
โรเบิร์ต ลินคอล์น (Robert Lincoln) รัฐมนตรีกระทรวงสงครามของการ์ฟิลด์ ทราบข่าวช็อกนี้ เขาคือลูกชายของประธานาธิบดีคนที่ 16 ของอเมริกา อับราฮัม ลินคอล์น (Abraham Lincoln) ซึ่งถูกลอบสังหารในปี 1865 และเหตุการณ์วันนี้ลินคอล์นก็อยู่ในสถานีรถไฟนั้นด้วย
ไม่เพียงเท่านั้น ในอีก 20 ปีต่อมา ในปี 1901 โรเบิร์ตก็อยู่ในเหตุการณ์ลอบฆ่าประธานาธิบดีอเมริกาอีกราย
นั่นทำให้เจ้าตัวเป็นเจ้าของสถิติอื้อฉาว เป็นพยานที่รับรู้การลอบฆ่าเจ้าของทำเนียบขาวถึง 3 คนด้วยกัน
กระนั้นในปี 1881 เขารีบสั่งการให้ทางการไปรับแพทย์มือดีของประเทศ มุ่งหน้าไปยังทำเนียบขาว เพื่อรักษาการ์ฟิลด์โดยเร็วที่สุด
แพทย์ที่โรเบิร์ตหามาระดมทุกความสามารถและสรรพกำลังเพื่อยื้อชีวิตประธานาธิบดี พวกเขาถึงขั้นติดต่อไปยัง อเล็กซานเดอร์ เกรแฮม เบลล์ (Alexander Graham Bell) ผู้คิดค้นโทรศัพท์คนแรกของโลก ให้ส่งเครื่องมือมาสแกนเอาเศษกระสุนปืนออกจากหลังของการ์ฟิลด์
ด้วยความที่การแพทย์ยังไม่ก้าวหน้าดั่งในปัจจุบัน แม้เจ้าของทำเนียบขาวจะไม่ตายในทันทีตามที่กีโตต้องการ แต่เขาก็อยู่ในอาการสาหัสและต่อสู้กับความเจ็บปวดอย่างยาวนาน ไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐฯ ได้ แม้จะถูกพาตัวไปอยู่ในที่อื่น เพื่อพักฟื้นอาการบาดเจ็บ แต่คมกระสุนปืนของฆาตกร ก็กัดกร่อนสุขภาพของการ์ฟิลด์ลงอย่างต่อเนื่อง
77 วัน หลังเหตุสยองที่สถานีรถไฟ ในวันที่ 19 กันยายน 1881 ประธานาธิบดีคนที่ 20 ของสหรัฐฯ ก็ถึงแก่อสัญกรรม ในเวลา 22.35 น. โดยคำพูดสุดท้ายเขาบอกกับมิตรสนิทที่เป็นนายพลทหารว่า “เพื่อนรัก ฉันเจ็บมากเลยวะ” ก่อนจะเอามือไปกุมที่หัวใจ โดยมีลูกสาวคนสุดท้องอยู่เคียงข้าง
รวมเวลาที่การ์ฟิลด์ปฏิบัติหน้าที่ก่อนถูกลอบฆ่าได้เพียง 4 เดือนเท่านั้น งานศพของเขามีคนนับแสนเข้าร่วมด้วยความอาลัยเศร้าสร้อยเป็นอย่างยิ่ง
หลังทราบข่าวกีโตยิ้มร่ามั่นใจว่า รองประธานาธิบดีของการ์ฟิลด์ ซึ่งจะเป็นประธานาธิบดีคนที่ 21 ของประเทศ นามว่า เชสเตอร์ เอ. อาร์เทอร์ (Chester A. Arthur) จะต้องปล่อยตัวเขาออกจากคุกแน่นอน
ทว่าผู้นำคนใหม่ไม่เคยคิดจะช่วย แต่กีโตยังคงเพ้อฝัน เขียนจดหมายไปหา นายพล วิลเลียม ที. เชอร์แมน (William T. Sherman) ตำนานนักรบในช่วงสงครามกลางเมือง เจ้าของแนวคิดบุกไปที่ไหน ก็เผาให้ราบ เพื่อไม่ให้ศัตรูได้ทำมาหากินอะไรอีก
แม้จะเป็นทหารสุดระห่ำ แต่เชอร์แมนถึงกับงงในสิ่งที่กีโตเขียนมาสั่ง ให้เอากองทัพมายึดคุกไว้ เพื่อบีบบังคับให้รัฐบาลปล่อยตัวเขา
“ผมลอบสังหารประธานาธิบดี ด้วยความจำเป็นทางการเมืองครับท่าน”
เมื่อสื่อรู้เรื่องนี้ ก็ได้ไปถามท่านนายพลที่ทำหน้าอึ้งสุดขีดว่า “ผมไม่รู้จักไอ้คนเขียน ไม่เคยได้ยินชื่อ และไม่เคยพบมันเลยสักครั้งในชีวิต”
ดังนั้นกูไม่บ้าทำตามไอ้เพี้ยนนี่หรอก
5
เมื่อการ์ฟิลด์ตายเท่ากับว่ากีโตเป็นฆาตกรโดยสมบูรณ์แบบ และโทษของการฆ่าประธานาธิบดีอเมริกาก็มีที่หมายสถานเดียวคือ ประหารชีวิต
ระหว่างนำตัวขึ้นศาล กระบวนการยุติธรรมสำรวจและรู้เลยว่า กีโตมีอาการทางจิต แยกโลกความจริงกับความลวงไม่ออก ไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองคิดมันเพี้ยน และเต็มไปด้วยจินตนาการสุดเลอะเทอะ แม้แพทย์จะยืนยันว่า ชายคนนี้อยู่ในสภาพไม่ปกติ และทนายของเขาเสนอว่า ควรเอาฆาตกรไปรักษาที่โรงพยาบาลมากกว่าเอาไปติดคุก แต่เพราะการทักท้วงของสาธารณชน กลายเป็นแรงกดดันให้ลูกขุนและศาลยืนยันให้ดำเนินคดีแบบเฉียบขาด
นั่นคือเอาตัวเขาไปแขวนคอซะ
กีโตแย้งว่า “ผมไม่ได้ฆ่าท่านนะ พระเจ้าต่างหากที่ทำ และที่จริงแล้ว ผมแค่ยิงท่านไปเท่านั้น แต่คนที่ทำให้ตาย คือพวกหมอต่างหาก”
สิ่งที่ชายคนนี้พูดในตอนนั้น ดูเป็นเรื่องที่ใครก็เห็นว่าโกหกเสแสร้ง แต่นักประวัติศาสตร์ยุคต่อมายืนยันว่า ฆาตกรมีเหตุผล ความตายของเจมส์ การ์ฟิลด์ เกิดจากการรักษาของแพทย์ที่ไม่รอบคอบ และมีการปนเปื้อนตามถุงมือ จนแผลที่ถูกยิงติดเชื้อนำไปสู่ความตาย
หากการ์ฟิลด์เกิดช้ากว่านี้สัก 100 ปี เขาคงรอด เพราะกระสุนที่ยิงก็เฉียดกระดูกสันหลัง ไม่ทำให้เขาเป็นอัมพาตด้วยซ้ำ แต่ในปีดังกล่าว ไม่มีใครเชื่อกีโต ไม่มีใครโทษแผล ทุกคนลงความเห็นว่า สมควรแล้วที่ชายคนนี้จะต้องถูกลงโทษอย่างรุนแรง
หลังทราบคำพิพากษา ชายหนุ่มก่นด่าลูกขุน และสาปแช่งว่า “พระเจ้าจะลงโทษพวกแกทุกคน” สร้างความหวาดผวาให้คนในห้องพิจารณาคดีอย่างมาก
วันที่ 30 มิถุนายน 1882 กีโตถูกนำตัวไปแขวนคอในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. โดยเขาเขียนบทกวีและท่องมันไว้ว่า “ข้ากำลังจะได้ไปพบพระเจ้า” และเจ้าตัวพูดประโยคสุดท้ายในชีวิตว่า “ขอเกียรติยศแด่พระองค์”
หลังการเสียชีวิตแพทย์ได้ผ่าศพ เพื่อหาความผิดปกติของชายคนนี้ ก่อนจะนำสมองส่วนหนึ่งไปใส่โหล ให้คนศึกษา และได้รับความสนใจจากสังคมเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาอยากรู้ว่าชายที่กล้าฆ่าประธานาธิบดี มีก้อนสมองอัปลักษณ์แค่ไหน ซึ่งในเวลาต่อมาแพทย์จะยืนยันว่า ชายคนนี้มีสมองปกติเหมือนมนุษย์ทั่วไปนั่นเอง แต่มันก็ไม่อาจหยุดประชาชนให้ไปดูโหลสมอง และสาปแช่งปีศาจร้ายตัวนี้
ที่สุดแล้ว ความตายของกีโตได้รับการด่าทอและประณาม ไม่เป็นดังที่เขาคิด ตรงข้ามกับการ์ฟิลด์ที่ได้รับการยกย่องและมีคนระลึกถึงมากมาย ทุกคนเชิดชูว่า ประธานาธิบดีผู้วายชนม์จากไปด้วยความตั้งใจอยากให้ระบอบการเมืองของประเทศดีกว่านี้ ปราศจากการคอร์รัปชันและการเล่นพรรคเล่นพวก
สิ่งนี้เองเป็นแรงบันดาลใจและเจตจำนงทางการเมืองให้ อาร์เทอร์ ประธานาธิบดีคนที่ 21 อาศัยกระแสจากโศกนาฏกรรมนี้ สั่งยุติระบบแต่งตั้งพวกพ้องของประธานาธิบดีทันที พร้อมสั่งการให้มีระบบถ่วงดุลตรวจสอบจากสภาแบบเข้มข้น และมีคณะกรรมการ ไม่ให้ผู้นำประเทศอยากตั้งใครก็ได้เรื่อยเปื่อย หรือปลดใครก็ได้ตามใจอีกต่อไป
ผลงาน 4 เดือนที่การ์ฟิลด์พยายามต่อสู้ ในเวลาต่อมารัฐบาลใหม่ที่เขาไม่มีวันได้เห็นประกาศว่า งานของทางการนับแสนตำแหน่ง ต้องรับข้ารัฐการโดยคำนึงถึงความสามารถ ไม่ใช่การเล่นพวกพ้องอีกต่อไป
นี่เป็นความสำเร็จ ที่คนอเมริกันรุ่นหลังนิยาม ‘เจมส์ การ์ฟิลด์’ ไว้อย่างยกย่องว่า
“มันคือมรดกที่เขาสร้างขึ้น โดยแลกมาด้วยชีวิตของตัวเอง”
ข้อมูลอ้างอิง
https://www.history.com/articles/the-assassination-of-president-james-a-garfield
https://www.history.com/articles/garfield-assassination-spoils-system-reforms-federal-employees
https://www.archives.gov/publications/prologue/2016/fall/guiteau
https://www.archives.gov/files/publications/prologue/1992/summer/garfield.pdf
Tags: Haunted History, เจมส์ การ์ฟิลด์, James A. Garfield