1.
“ผมไม่โทษตำรวจหรอกที่สงสัย เพราะผมอยู่กับแฟนเป็นคนสุดท้าย แต่ผมโง่เอง ที่เชื่อว่า พวกเขาจะสืบคดีจากหลักฐาน”
วันที่ 23 มีนาคม 2015 เจ้าหน้าที่ตำรวจเดินทางไปที่บ้านของ แอรอน ควินน์ (Aaron Quinn) หลังเขาแจ้งว่าแฟนสาวถูกลักพาตัวเรียกค่าไถ่
นักสืบรุดไปจุดเกิดเหตุ คดีลักพาตัวถือเป็นเรื่องระดับชาติ ดังนั้น หน่วยงานเอฟบีไอจะมาร่วมสอบสวนด้วย เมื่อไปถึงพวกเขาพบว่าควินน์อยู่ในอาการตื่นตระหนก ต้องใช้เวลาสักพักจึงสามารถเรียบเรียงคำพูดได้ว่า ตอนตี 3 ขณะนอนอยู่บนเตียงกับแฟนสาว เดนิส ฮัสกินส์ (Denise Huskins) อยู่นั้น ตัวเขารู้สึกถึงแสงไฟที่แยงตา พอลืมตาตื่น ก็ได้ยินเสียงพูดออกมาว่า
“นี่คือการปล้น”
คนร้ายใส่ชุดดำน้ำสีดำบุกประชิดตัวปลุกควินน์และฮัสกินส์ ก่อนบังคับให้หญิงสาวมัดควินน์ แล้วเอาแว่นตาดำน้ำทาสีดำมืดสนิทใส่ปิดตาทั้งคู่ไว้
ทุกอย่างเกิดขึ้นในเสี้ยววินาที ควินน์รู้สึกว่าผู้ก่อเหตุมากันหลายคน และใช้เครื่องปลอมแปลงเสียงสั่งการ
“พวกเราจะไม่ทำร้ายคุณ นอนนิ่งๆ ก้มหน้าลงไป”
ระหว่างนั้นควินน์ถูกป้อนยานอนหลับ สติขาดผึงลงไป แต่ก่อนจะร่วงลงสู่การนิทรา ผู้ก่อเหตุพูดด้วยเสียงที่ผ่านการดัดแปลงว่า อย่าคิดแจ้งตำรวจ เขาลักพาตัวแฟนสาวเพื่อเรียกค่าไถ่ โดยติดตั้งกล้องไว้ในบ้าน หากควินน์แจ้งเจ้าหน้าที่
เขาจะฆ่าหญิงสาวเสีย
แล้วควินน์ก็หลับไป
เมื่อรู้สึกตัวตื่น เขาพยายามปลดพันธนาการตัวเองอยู่นาน ก่อนพบเสียงในมือถือตัวเอง แจ้งว่า ต้องการเงินค่าไถ่จำนวน 8,500 ดอลลาร์สหรัฐฯ
ความรู้สึกหวาดกลัวเกิดขึ้นในตัวควินน์ เขาครุ่นคิด ชั่งใจอยู่นาน ก่อนตัดสินใจยอมเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย โทร.แจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อบอกความจริงที่เกิดขึ้น
สิ่งที่ควินน์ได้รับหลังเล่าทุกอย่างให้ทางการฟัง คือทางชุดสืบสวนพาเขายัดเข้าห้องขัง ให้แต่งชุดนักโทษ แล้วย้ำว่าคดีปิดไปแล้ว มันเป็นการพลั้งมือฆ่าหรือตั้งใจฆาตกรรม จะเป็นแบบไหน ก็ให้ควินน์รับสารภาพมาเถอะ
นั่นทำเอาชายหนุ่มมึนงงอย่างมาก มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
กลายเป็นว่าเจ้าหน้าที่กลับเชื่อว่าควินน์ฆ่าแฟนสาว และพยายามกลบเกลื่อนหลักฐานทุกอย่าง เมื่อทนายความชายหนุ่มเดินทางมาถึงก็แจ้งว่า เหล่านักสืบไม่เชื่อคำให้การของเขาแม้แต่น้อย
48 ชั่วโมงต่อมา ห่างออกไปกว่า 600 กิโลเมตร ฮัสกินส์ถูกปล่อยตัวออกมาที่ชายหาด ก่อนแจ้งเจ้าหน้าที่ พลันที่เธอถูกนำตัวมาสอบสวนอยู่นาน
ทางการก็ได้ข้อสรุปในฉับพลันว่า
“พวกเขาแต่งเรื่องขึ้น ไม่มีการลักพาตัวอะไรนั่นหรอก”
สิ่งนี้สร้างความตกตะลึงให้กับควินน์และฮัสกินส์อย่างมาก
ชุดสืบสวนจัดแถลงข่าวย้ำว่าเหตุการณ์นี้ถูกจัดฉาก แต่งเรื่องขึ้น ทำให้ทางการต้องเสียกำลังคนไปกับการตามคดีดังกล่าว จนละเลยคนที่เดือดร้อนจริงๆ ดังนั้น ทั้งสองคนจึงติดค้างคำขอโทษต่อชุมชนแห่งนี้
หลังจากนั้นสื่อก็เรียกฮัสกินส์ว่าเป็น ‘Gone Girl’ ทำให้เธอต้องถามทนายว่า การที่ถูกเรียกแบบนี้มันดีหรือเปล่า พวกเขาเลยตอบไปว่า ชื่อนี้มาจากภาพยนตร์ที่ดัดแปลงจากนิยายชื่อดัง พอหญิงสาวรู้เรื่องราวในหนังสือทั้งหมด
“ฉันเลยเข้าใจว่าพวกเขาหมายถึงอะไร”
2.
Gone Girl เป็นนิยายแปลไทยว่า เล่นซ่อนหาย ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ไล่เลี่ยกับเหตุการณ์นี้ เล่าถึงภรรยาที่หายตัวไปจากบ้านโดยจัดฉากเรื่องราวทุกอย่างเพื่อใส่ความสามี เมื่อเจ้าหน้าที่สรุปว่าเหตุการณ์ลักพาตัวไม่มีจริง จึงเริ่มมีการประณามจากสังคมและสื่อว่า คู่รักนี้เป็นเหมือนหนังเล่นซ่อนหายนี่เอง
เหตุใดเจ้าหน้าที่จึงไม่เชื่อเรื่องราวที่เกิดขึ้น
เริ่มที่ควินน์ พวกเขาพบข้อมูลมือถือฝ่ายชายว่า ตัวเขากำลังจะยุติความสัมพันธ์กับฮัสกินส์ เตรียมกลับไปคืนดีกับแฟนเก่า ซึ่งเพิ่งย้ายออกจากบ้านหลังนี้ไป
หากฮัสกินส์ไม่ปรากฏตัว ชุดสืบสวนก็จะฟันธงว่า ฝ่ายชายต้องการยุติความสัมพันธ์รักนี้ แต่เมื่อหญิงสาวไม่ยอม จึงต้องฆ่าทิ้งแล้วกลบเกลื่อนอำพรางคดี
สาเหตุที่ทางการเชื่อเช่นนั้น เนื่องจากควินน์ให้การมีพิรุธเรื่อยมา เขาบอกว่าเพราะอยู่ในอาการตกใจช็อก อีกทั้งนักสืบยังไม่เข้าใจว่า ทำไมต้องรอตั้งหลายชั่วโมงกว่าจะโทร.แจ้งเจ้าหน้าที่ แถมพอเข้าเครื่องจับเท็จ ผลยังออกมาว่าเขาประเมินไม่ผ่าน หรือเท่ากับว่า ชายหนุ่มรายนี้โกหกนั่นเอง
ตำรวจถึงขั้นเย้ยหยันควินน์ที่ให้การไปว่า “เอ็งไม่เคยดูหนังเล่นซ่อนหายเหรอ”
ควินน์บอกว่าที่เขาโทร.แจ้งตำรวจช้า เพราะมัวแต่แก้มัดอยู่แต่ตำรวจไม่สนใจ และเตรียมจะแจ้งข้อหาฆาตกรรมแก่ชายหนุ่มอยู่รอมร่อแล้ว จนเมื่อฮัสกินส์ปรากฏตัวขึ้น เจ้าหน้าที่จึงสรุปว่าทั้งสองแต่งเรื่องขึ้น และเตรียมจะแจ้งข้อหาทั้งคู่ด้วย เมื่อทางการสรุปคดีแบบนี้ เป็นอันว่าทั้งสังคมก็ถล่มโจมตีทั้งสองอย่างเจ็บปวดทันที
ฮัสกินส์ให้การกับชุดสืบสวนว่า เธอถูกสั่งให้จับควินน์มัด แล้วถูกพาตัวยัดใส่กระโปรงหลังรถ หญิงสาวหวาดกลัวอย่างมาก ไม่รู้ว่าจะถูกพาตัวไปไหน ผู้ก่อเหตุสั่งให้เธอเงียบ อย่าปริปาก ส่งเสียงร้อง ไม่งั้นจะฆ่าทิ้งเสีย
“ฉันเชื่อว่าตัวเองจะต้องโดนฆ่า เลยพยายามไม่ให้สติแตกกับความคิดว่า ถ้าถึงปลายทาง จะไม่ได้รอดกลับมามีชีวิตอีก”
อย่างไรก็ดี สุดท้ายหญิงสาวจึงยอมแพ้ ตายก็ต้องตาย เธอเริ่มทำใจให้สงบและกล่าวอำลาเพื่อนฝูงในชีวิต พลางรำลึกถึงปู่กับย่าที่จากไป
“ถ้ามันจะต้องจบลงแบบนี้ ได้โปรดปรากฏตัวให้หนูเห็นเถอะ”
แต่สุดท้ายฮัสกินส์ก็ไม่ได้ถูกฆ่า หญิงสาวถูกพาตัวไปที่คุมขัง ไม่สามารถมองเห็นอะไรได้ เพราะโดนใส่แว่นกันน้ำสีดำมืดสนิท ได้ยินแต่เสียงชายคนหนึ่งเท่านั้น
กินเวลาไม่นาน ผู้ก่อเหตุก็บอกว่า พวกเขาพาตัวมาผิดคน คิดว่าฮัสกินส์ คือคู่หมั้นเก่าของควินน์ ดังนั้น จึงไม่สนใจเงินเรียกค่าไถ่อีกต่อไป
นั่นหมายความว่าหญิงสาวมีโอกาสรอดเพิ่มขึ้น แต่นั่นยังไม่สิ้นสุดฝันร้าย เพราะทางชุดก่อเหตุบอกว่า พวกเขาตัดสินใจจะถ่ายคลิปเก็บไว้ เพื่อแบล็กเมล์หญิงสาวในอนาคต กล้องที่ถูกตั้งนี้จะบันทึกการข่มขืน
“ผมเป็นคนที่จะมีอะไรกับคุณ”
มันไม่ใช่ครั้งเดียว แต่เกิดขึ้นถึง 2 ครั้งด้วยกัน
นั่นแหละ ฮัสกินส์จึงสิ้นสุดฝันร้ายอย่างเจ็บปวด เพียงเพื่อมาเจอความจริงอันโหดเหี้ยมกว่า เพราะเจ้าหน้าที่ไม่เชื่อคำให้การของเธอแม้แต่น้อย ทั้งที่เธอกับควินน์ยืนยันว่าเรื่องทั้งหมดคือความจริง
โลกออนไลน์กระหน่ำโจมตีเธอ ชาวเน็ตเกรียนว่า ฮัสกินส์สมควรตาย ทั้งสองโดนคนปาหินใส่บ้าน เพื่อนฝูงถอยระยะห่าง สังคมมองว่าทั้งคู่เป็นคนโกหกปลิ้นปล้อน จนพวกเขาจิตตกต้องเข้ารับการบำบัดกับจิตแพทย์
แม้จะโดนด่ามากแค่ไหน แต่ทั้งสองก็ยังยืนยันว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ เป็นเรื่องจริง ไม่ใช่เรื่องแต่ง แม้จะไม่มีใครเชื่อ แต่ทางการก็ไม่ได้ตั้งข้อหาแจ้งความเท็จแต่อย่างใด
ระหว่างนั้นมีอีเมลนิรนามฉบับหนึ่งส่งถึงสำนักข่าว แจ้งว่าเขานี่แหละคือคนที่ลักพาตัวฮัสกินส์ไป และเรื่องราวทั้งหมดเป็นความจริง โดยข้อความยังระบุว่า มันช่างน่ารำคาญมากกับการที่สังคมประณามว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นเรื่องโกหก ตำรวจติดค้างคำขอโทษต่อควินน์และฮัสกินส์ พวกเขาควรจะกู้คืนชื่อเสียงให้กับ 2 คนนี้
ต่อมาเจ้าหน้าที่พบว่าอีเมลนิรนามนี้ส่งมา 2 ฉบับด้วยกัน ฉบับแรกเกิดขึ้นก่อนที่ฮัสกินส์จะถูกปล่อยตัว มีข้อความที่ระบุข้าวของหญิงสาวขณะโดนคุมขัง ขณะที่อีเมลอีกฉบับมีรายละเอียดการก่อเหตุมากมาย ซึ่งมีเพียงแค่เหยื่อกับคนก่อเหตุเท่านั้นที่รู้
กระนั้นแม้จะมีรายละเอียดผุดมากขึ้น แต่ทางการก็ยังไม่ได้สนใจจะตามสืบคดี เพราะคิดว่าผู้เสียหายโกหกไปแล้ว และแอบส่งอีเมลไปให้สื่อ เพื่อเสริมเรื่องโกหกของตัวเอง
3.
3 เดือนผ่านไป เจ้าหน้าที่รับแจ้งเหตุบุกรุกบ้านหลังหนึ่ง ผู้ก่อเหตุพลาดท่า ทำมือถือตกในจุดเกิดเหตุ ทำให้เหล่านักสืบตรวจสอบข้อมูลอย่างเข้มข้น ก่อนพบว่าพฤติกรรมการก่อเหตุนี้ คล้ายกับกรณีของควินน์และฮัสกินส์มาก
เมื่อสืบสวนมือถือ ไล่ทุกอย่าง พวกเขาก็ใช้เวลาไม่กี่วันบุกจับกุมตัวชายที่ชื่อว่า แมททิว มุลเลอร์ (Matthew Muller) ได้สำเร็จ
พอพาตัวไปค้นอย่างละเอียด เจ้าหน้าที่พบคอมพิวเตอร์แล็ปท็อปของฮัสกินส์ แว่นตากันน้ำสีดำมืดสนิท ในนั้นมีผมสีบลอนด์ ต่อมาถูกชี้ชัดว่าเป็นผมของฮัสกินส์นั่นเอง
ไม่เพียงเท่านั้น เจ้าหน้าที่ยังพบคลิปการล่วงละเมิดทางเพศหญิงสาวอีกด้วย
ทุกอย่างพลิกกลับตาลปัตรทันที
เพราะเท่ากับว่าสิ่งที่ควินน์และฮัสกินส์ให้การเป็นความจริงทั้งหมด
เมื่อตรวจสอบประวัติแมททิว พวกเขาพบว่าผู้ต้องหาคนนี้เป็นอดีตนาวิกโยธิน จบกฎหมายจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด แต่ถูกถอนใบประกอบอาชีพทนายความ หลังให้ข้อมูลเท็จแก่ลูกความตัวเอง
พอสอบสวนอย่างละเอียด แมททิวบอกว่า เขาสอดแนมฮัสกินส์และควินน์อยู่หลายวัน เคยใช้โดรนบินสำรวจแปลนบ้าน และแปลงเสียง ตระเตรียมอุปกรณ์ก่อนไปก่อเหตุ โดยลวงหลอกเหยื่อว่า มีผู้ร่วมขบวนการหลายคน แถมยังเป็นมืออาชีพด้านการลักพาตัวอีกด้วย
เขาเอาปืนปลอมไปจี้ กรอกยานอนหลับควินน์ จับมัด แล้วพาฮัสกินส์ไปบ้านพักของแม่ตัวเอง ก่อนลงมือข่มขืนเธอ จากนั้นจึงพาตัวไปปล่อยที่ชายหาด และแมททิวนี่เองที่เป็นคนส่งอีเมลนิรนามหาสำนักข่าว เพื่อบอกว่าเหตุการณ์ลักพาตัวทั้งหมดเป็นเรื่องจริง
ชายคนนี้บอกว่าเขาป่วยเป็นโรคสองบุคลิก และมีอาการป่วยทางจิตจากผลของการไปรบในอิรักมาด้วย
“ผมป่วยและละอายกับการกระทำที่นำไปสู่ความหายนะมากๆ ผมพร้อมจะชดใช้กรรมในคุก”
แน่นอนว่าเมื่อถูกนำตัวขึ้นศาล ฮัสกินส์มีโอกาสเผชิญกับคนร้าย และพูดออกไปว่า “คุณไม่รู้หรอกว่าความเจ็บปวดของฉันมันมากมายเพียงใด”
“พอปล่อยตัวได้ไม่ถึงชั่วโมง ก็โดนหาว่าแต่งเรื่องขึ้น ต้องตกงาน ต้องสูญเสียทุกอย่าง”
ด้านควินน์ก็บอกว่า เขาต้องตกใจตื่น เมื่อฮัสกินส์กรีดร้องจากฝันร้ายหลายครั้ง พร้อมกับด่าผู้ก่อเหตุว่า
“คุณทำลายชีวิตพวกเรา”
สุดท้ายแมททิวต้องโทษจำคุก 40 ปี ในเรือนจำซึ่งมีคนแบบเดียวกับเขา
นั่นคือมีพฤติกรรมต่อต้านสังคม
และที่นั่นเขาถูกเพื่อนนักโทษมอบความปรารถนาดี ทั้งการข่มขืน ฝากแผลเป็นโดยการเฉือนหน้า ถูกรุมตื้บอย่างตั้งใจ นี่คือโลกที่แมททิวจะต้องทนอยู่กับมัน ตามที่อัยการระบุไว้ในชั้นศาลว่า
“เขาจะต้องอยู่ในนี้ จนกว่าจะแก่เฒ่า สุขภาพทรุดโทรมไปอีกนานแสนนาน”
4.
เมื่อความจริงปรากฏ ชื่อเสียงได้รับการสะสาง ควินน์และฮัสกินส์เดินหน้าฟ้องทางการทันที และได้รับการชดเชยค่าเสียหายกว่า 2.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ พร้อมกับคำขอโทษจากตำรวจ อย่างไรก็ดี ไม่มีเจ้าหน้าที่แม้แต่รายเดียวที่ถูกดำเนินคดีต่อการละเลยและกล่าวหาเหยื่อว่าเป็นคนโกหก
ผู้กำกับการสถานีตำรวจซึ่งไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ลักพาตัวในตอนนั้นบอกว่า ทั้งสองถูกกระทำอย่างสยดสยองและต้องขอโทษต่อการถูกปฏิบัติ (โดยเจ้าหน้าที่) พร้อมย้ำว่า จากนี้เหยื่อในคดีลักษณะดังกล่าวจะได้รับการปฏิบัติด้วยความเห็นใจ เคารพ และมีศักดิ์ศรีมากขึ้น
นี่คือคำสัญญาจากทางการที่ให้ไว้ เพื่อจะไม่ให้เกิดเรื่องเลวร้ายแบบนี้ขึ้นอีก
สุดท้ายควินน์และฮัสกินส์ก็แต่งงานกันและมีลูก 2 คน โดยพวกเขายืนยันจะใช้ชีวิตแบบไม่หวาดกลัวความโหดเหี้ยมจากอดีตอีกต่อไป ทั้งคู่ร่วมกันเขียนหนังสือบอกเล่าการทำงานสุดชุ่ยของตำรวจและทางการจนกลายเป็นกรณีโด่งดังไปทั่วอเมริกา
นอกจากนี้ ทั้งสองยังสร้างเครือข่ายช่วยเหลือเหยื่อที่ถูกลักพาตัวและโดนคุกคามทางเพศ โดยบอกว่าการทำแบบนี้คือสิ่งที่ช่วยเยียวยาความเจ็บปวดของทั้งสองได้ดีที่สุด
อย่างไรก็ดี ฝันร้ายจากเหตุการณ์นี้ยังสั่นคลอนฮัสกินส์เสมอมา แม้จะออกมาให้สัมภาษณ์ บอกเล่าเรื่องราวผ่านสารคดีแค่ไหนก็ตาม แต่ความเลวร้ายทั้งหมดก็ไม่อาจชะล้างไปได้ แม้สังคมจะเปลี่ยนมุมมอง แม้ทางการจะขออภัย แม้ทุกอย่างจะดีขึ้นกว่าเดิม
แต่สิ่งที่ฮัสกินส์เผชิญ คือความเจ็บปวดที่มนุษย์กระทำต่อคนด้วยกันอย่างเหี้ยมโหด เกินกว่าจะบรรยายออกมาได้ แม้จะมีความสุขกับชีวิตมากแค่ไหน แต่บาดแผลนี้จะยังอยู่ในใจฮัสกินส์ไปตลอดกาล
“ฉันยังคงนอนฝันร้ายอยู่ทุกคืน การหลับไม่ใช่การพักผ่อนแต่เป็นตัวกระตุ้นให้คิดถึงเหตุการณ์วันนั้น”
ข้อมูลอ้างอิง
https://apnews.com/general-news-4e555d234aca44b8a4a46a3ac81b712b
https://apnews.com/53b5a72a6a744a32b2b9716df664e5e7
https://www.nbcnews.com/news/us-news/disbarred-lawyer-pleads-guilty-kidnap-once-called-hoax-n657151
https://nypost.com/2021/06/12/real-gone-girl-accused-of-staging-abduction-gets-vindication/
https://nypost.com/2015/07/14/gone-girl-style-kidnapping-that-cops-called-a-hoax-was-actually-real/
Tags: Haunted History, American Gone Girl, Aaron Quinn, Denise Huskins