ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจุบัน เทคโนโลยีสำคัญกับชีวิตของเรามาก ทั้งจ่ายเงินซื้อของก็ต้องสแกน เดินทางด้วยรถไฟฟ้าก็ต้องแตะบัตร ไหนจะแอปพลิเคชันต่างๆ ที่ช่วยอำนวยความสะดวกอย่างครบครัน
หนึ่งในแอปพลิเคชันที่ผู้หญิงหลายคนนิยมใช้ก็คือ แอปฯ ติดตามรอบเดือน เพราะประจำเดือนบอกอะไรเราได้หลายอย่าง ไม่ใช่แค่เรื่องจะตั้งครรภ์หรือไม่ แต่ยังเป็นสัญญาณเตือนถึงความผิดปกติของอวัยวะภายใน โรคแทรกซ้อน ความเครียด และฮอร์โมนแปรปรวน ฯลฯ อีกด้วย ที่หากไม่เฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด อาจไหวตัวไม่ทันท่วงที
อ้างอิงจากสถิติปี 2024 แอปฯ ติดตามรอบเดือนยอดฮิต 3 แอปฯ มียอดดาวน์โหลดรวมกันเกิน 250 ล้านครั้งทั่วโลก
อย่างไรก็ตามแอปฯ เหล่านี้อาจไม่ได้ปลอดภัยอย่างที่คิด ล่าสุด Minderoo Centre for Technology and Democracy ศูนย์วิจัยด้านเทคโนโลยีโดยบุคลากรของ University of Cambridge เผยว่า แอปฯ ติดตามรอบเดือนเปรียบเสมือน ‘เหมืองทอง’ สำหรับการซื้อขายข้อมูล
เดิมทีข้อมูลด้านสุขภาพมีค่ามากอยู่แล้ว สามารถขายได้แพงกว่าข้อมูลบัตรเครดิตถึง 50 เท่า และยิ่งข้อมูลดังกล่าวเกี่ยวกับรอบเดือน มูลค่ายิ่งทวีคูณ ซึ่งมาจาก 2 สาเหตุหลักๆ คือ
1. บริษัทโฆษณาต้องการทราบว่า ผู้บริโภคคนไหนกำลังตั้งครรภ์ หรือพยายามที่จะตั้งครรภ์
การตั้งครรภ์เป็น 1 ใน 2 ปัจจัยที่สามารถเปลี่ยนพฤติกรรมบริโภคได้อย่างรุนแรง ข้อมูลส่วนนี้จึงเป็นข้อมูลที่บริษัทโฆษณาต้องการมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็น Google, Meta, DoubleClick, Crashlytics, หรือ AppsFlyer ต่างก็เคยซื้อข้อมูลการตั้งครรภ์ของผู้บริโภคมาแล้ว
โดยเฉลี่ย ข้อมูลเรื่องเพศ อายุ หรือที่อยู่มักจะขายได้ประมาณ 0.0005 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อคน แต่ข้อมูลการตั้งครรภ์ในเดือนที่ 9-12 สามารถขายได้สูงถึง 0.11 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อคน ซึ่งมีมูลค่าต่างกัน 220 เท่า
2. ในแวดวงโฆษณายังมีสิ่งที่เรียกว่า ‘การโฆษณาอิงตามรอบเดือน’ (Cycle-Based Advertising) อยู่ด้วย
ต้องเกริ่นก่อนว่า ปกติแล้ว 1 รอบเดือนจะแบ่งเป็น 3 ระยะ ระยะตกไข่ (Ovulation Phase) จะอยู่กลางเดือน ส่วนครึ่งเดือนแรกเรียกว่า ระยะฟอลลิคูลาร์ (Follicular Phase) และครึ่งเดือนหลังเรียกว่า ระยะลูเทียล (Luteal Phase)
ระยะฟอลลิคูลาร์เป็นเหมือน ‘ระยะหาคู่’ ร่างกายเราจะผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนมากเป็นพิเศษ ทำให้อยากออกไปสังสรรค์ พบปะผู้คน เมื่อทราบแล้วว่า ผู้บริโภคกำลังอยู่ในระยะนี้ อัลกอริทึมก็จะจัดแจงโฆษณาเครื่องสำอางหรือชุดสวยๆ ให้ขึ้นมาอยู่บนหน้าฟีดรัวๆ
ในทางตรงกันข้าม ระยะลูเทียลคือระยะที่เต็มไปด้วยฮอร์โมนโพรเจสเทอโรน ทำให้เราหันกลับมาอยู่กับตัวเอง รวมถึงเกิดสัญชาตญาณอยาก ‘ปกป้องดูแล’ ไข่ (ถึงแม้ในเดือนนั้นจะไม่ได้มีไข่ตกจริงๆ ก็ตาม) ในระยะนี้ อัลกอริทึมจึงหมั่นแนะนำข้าวของเครื่องใช้ในบ้าน
สรุปง่ายๆ คือ เพียงได้ข้อมูลรอบเดือนไป บริษัทโฆษณาก็สามารถวิเคราะห์จุดอ่อนของเราได้อย่างง่ายดาย และยิง Ads ที่เล่นกับจุดอ่อนนั้นๆ โดยตรง
คนที่ชอบใช้แอปฯ ติดตามรอบเดือนอาจพอทราบด้วยว่า นอกจากจำนวนวันที่ประจำเดือนมา แอปฯ ยังส่งเสริมให้เรากรอกข้อมูลยิบย่อยอื่นๆ เช่น อาหารที่กิน ยาที่ใช้ พฤติกรรมการออกกำลังกาย ความถี่ในการมีเพศสัมพันธ์ โดยอ้างว่าจะช่วยให้คาดการณ์ประจำเดือนครั้งถัดไปได้แม่นขึ้น
แต่ความจริงคือ มันแทบไม่เคยแม่นเลย
งานวิจัย Cambridge อธิบายต่อว่า สุดท้ายแล้ว แอปฯ ก็คาดการณ์ประจำเดือนแค่จากจำนวนวันที่เรากรอก ส่งผลให้คลาดเคลื่อนบ่อย ส่วนข้อมูลเสริมนั้นไม่ได้ถูกใช้ตามที่อ้าง หลักๆ มีไว้ขายให้บริษัทนอก
อ่านถึงมาตรงนี้ หลายคนอาจยังรู้สึกเฉยชา ไม่เดือดร้อนเท่าไร ถูกขายข้อมูลแล้วไง โดนยิง Ads นิดๆ หน่อยๆ จะเสียหายอะไรนักหนา
แต่ในยุคสมัยที่รัฐเข้ามาแทรกแซงชีวิตส่วนตัวของประชาชนมากขึ้น Worst Case Scenario สำหรับผู้หญิงไม่ใช่แค่โดนยิง Ads แน่นอน
ยกตัวอย่างกรณีของสหรัฐอเมริกา ในปี 2019 มีการเปิดเผยว่า กรมสาธารณสุขรัฐมิสซูรีแอบเก็บข้อมูลรอบเดือนของคนไข้ในคลินิกสมาคมวางแผนครอบครัว (Planned Parenthood) โดยทำเป็นตารางอย่างละเอียด มีแม้กระทั่งข้อมูลว่า แต่ละคนเป็นประจำเดือนครั้งสุดท้ายเมื่อไร เพื่อจะระบุตัวคนไข้ที่ทำแท้ง
ต่อมา ปี 2022 สืบเนื่องจากคำตัดสินของศาลสูงสุด (Supreme Court) รัฐมิสซูรีออกกฎหมายห้ามทำแท้งแบบเกือบจะสมบูรณ์ ยกเว้นเฉพาะภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ ผู้หญิงมิสซูรีหลายคนจึงต้องหนีไปทำแท้งรัฐอื่น หรือแอบสั่งยายุติครรภ์มาเองจากอินเทอร์เน็ต
ทีนี้จะเกิดอะไรขึ้น หากข้อมูลรอบเดือนของผู้หญิงมิสซูรีรั่วไหลไปถึงกรมสาธารณสุขอีกครั้ง
อาจไม่ได้ผ่านคลินิก แต่ผ่านแอปฯ ในโทรศัพท์
ตามกฎหมายของรัฐ ผู้หญิงเหล่านี้ถือว่าทำความผิดอาญาอุกฉกรรจ์ชั้น B (Class B Felony) มีสิทธิติดคุกนานสูงสุด 15 ปี
ข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งเท่านั้น นอกจากสหรัฐอเมริกา ในสหราชอาณาจักรเองก็มีเคยกรณีศึกษามากมาย ที่ตำรวจและศาลสามารถเข้าถึงข้อมูลรอบเดือนของประชาชนได้ เพื่อใช้ในกระบวนการทางกฎหมาย
แต่อย่างที่เรารู้กันดี
บางทีกระบวนการทางกฎหมายใช่ว่าจะยุติธรรมเสมอไป
บางทีข้อมูลที่เราไว้วางใจให้กับแอปพลิเคชันหนึ่ง ป่านนี้อาจถูกกระจายไปไหนต่อไหน แล้วหวนกลับมาทำร้ายเราในสักวันหนึ่งก็ได้
อ้างอิง:
– https://www.mctd.ac.uk/femtech-high-stakes-tracking-menstruation/
https://openup.com/blog/navigating-female-hormones-your-guide-to-the-menstrual-cycle/
– https://www.nacdl.org/Document/AbortioninAmericaLegOverreachCriminalizReproRights
Tags: Gender, เทคโนโลยี, แอปพลิเคชัน, data privacy, ประจำเดือน, reproductive rights