จบไปแล้วกับการประกวดรอบชุดประจำชาติ (National Costume) ที่ ‘ความงาม วัฒนธรรม และความสร้างสรรค์ จะรวมกันเป็นหนึ่ง’ กับการประกวดรอบชุดประจำชาติ (National Costume) และถึงเวลาที่ต้องกล่าวคำว่า “Hello Universe!” กับประวัติศาสตร์วนกลับมาบรรจบอีกครั้ง ในการเป็นเจ้าภาพต้อนรับสาวงาม 120 ประเทศทั่วโลก กับการประกวดมิสยูนิเวิร์ส (Miss Universe) ครั้งที่ 74 ณ ประเทศไทย
มาร่วมกันเป็นสักขีพยานในช่วงเวลาประวัติศาสตร์ ที่กำลังถูกจารึกอีกครั้งบนเวทีแห่งจักรวาล ในการประกวดรอบ Preliminary Competition ที่กำลังจะมาถึง เวลา 19.00 น. วันนี้!
การประกวดนางงามจักรวาลครั้งนี้ ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในความน่าตื่นเต้นอย่างมากสำหรับแฟนนางงาม ทั้งกับการประกวดและการเป็นเจ้าภาพหลังจากเปลี่ยนมือผู้ถือลิขสิทธิ์ รวมถึงตัวแทนสาวงามของประเทศไทย ที่แต่ละเรื่องราวเรียกได้ว่า มีดราม่าไม่เว้นสัปดาห์ แต่หากมองผ่านเลนส์ของการรับชมแบบเพศวิภาษ (Queer Spectatorship) ก็ถือได้ว่ามีเรื่องราวมากมายให้ได้วิเคราะห์กัน
เป็นที่รู้กันของ ‘เหล่าแฟนนางงาม’ ว่า TPN Global ผู้ถือลิขสิทธิ์คนก่อน และ MGI ผู้ถือลิขสิทธิ์คนปัจจุบันมีข้อพิพาทกันมาโดยตลอด ซึ่งน่าจะเริ่มต้นในปี 2021 อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ก็ถือได้ว่ามีน้ำทิพย์มาชโลมใจให้เหล่าแฟนนางงาม จากการช่วยประชาสัมพันธ์การขายบัตรรอบวันตัดสิน ของการประกวดมิสยูนิเวิร์สครั้งที่ 74 โดยภายหลัง ‘บอสณวัฒน์’ ณวัฒน์ อิสรไกรศีล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MGI ก็แสดงความขอบคุณ ซึ่งเปรียบเสมือนสัญญาณอันดี ให้เหล่าแฟนนางงามกลับมาสามัคคีกันก่อนการประกวดที่ใกล้เข้ามา

ที่มา: TPN GLOBAL, ณวัฒน์ อิสรไกรศีล
ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนผ่านผู้ถือลิขสิทธิ์เวทีมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ ก็ถือได้ว่ามีการปะทะคารมของระหว่างกลุ่มแฟนนางงามอย่างสม่ำเสมอ ที่อาจแบ่งได้อย่างง่ายเป็น 2 กลุ่ม กล่าวคือ แฟนนางงามมิสยูนิเวิร์ส และแฟนนางงามมิสแกรนด์ ซึ่งทั้ง 2 กลุ่มเรียกได้ว่าเป็น ‘แฟนนางงามตามเนื้อหา’ หรือกลุ่มบุคคลที่เลือกเสพตัวบททุกอย่าง ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการประกวดนางงามของเวทีนั้นๆ และด้วยบริบทที่แตกต่างกัน จึงทำให้เกิดเป็น ‘สงครามตัวแทน’ (Proxy War) ซึ่งเป็นการมองนางงามในฐานะตัวแทนของตนเอง
แฟนนางงามกับการแทนตนเอง เรียกได้ว่าเป็นของคู่กัน เป็นที่รู้กันว่า แฟนนางงามส่วนใหญ่ คือกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ โดยเฉพาะกลุ่มชายรักชาย และกลุ่มผู้หญิงข้ามเพศ ซึ่งอาจเป็นเพราะความต้องการเติมเต็มจินตนาการทางเพศ (Sexual Fantasy) หรือการมองหาตัวแทนของตัวเอง (Identification) อันเป็นผลจากการถูกกดทับอัตลักษณ์และตัวตนทางเพศจากอคติทางเพศของสังคม ที่วัฒนธรรมทางเพศกระแสหลักคือ การแบ่งขั้ว (Binary Opposition) เป็นหญิงและชาย
นางงามจึงเป็นเสมือนเครื่องมือของกลุ่มแฟนนางงาม จากการได้ครอบครองทรัพยากรทางสุนทรียภาพ หรือเรือนร่างและคุณสมบัติต่างๆ ของนางงาม เพื่อเป็นพื้นที่ปลดปล่อยจินตนาการ และสื่อสารอัตลักษณ์ทางเพศ ที่ถูกสังคมกดทับมาตั้งแต่ในอดีต ซึ่งเป็นการใช้สื่อเพื่อเป็นพื้นที่ปลดปล่อย (Fantasy & Escapism) แต่เมื่อสังคมเริ่มเปิดกว้างในเรื่องความหลากหลายทางเพศ และการรับรู้เกี่ยวกับนางงามเริ่มเปลี่ยนแปลงไป จากการให้ความสำคัญกับความงามภายนอก หรือความงามตามแบบมาตรฐานสังคม (Beauty Standard) สู่ความงามจากภายใน (Inner Beauty) หรือทัศนคติต่อประเด็นทางสังคม ก็ยิ่งทำให้เกิดสงครามตัวแทน จากความชื่นชอบนางงามที่แตกต่างกัน ระหว่างนางงาม 2 ยุคสมัย
โดยเฉพาะเมื่อบอสณวัฒน์ได้นำคุณค่าใหม่ เข้ามาร่วมในการประกวดนางงาม อย่าง B-Business หรือ ‘ธุรกิจ’ กล่าวคือ การประกวดนางงามจะต้องสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ ที่ทำให้คุณค่าของนางงามเปลี่ยนแปลงไป บ้างก็อาจรับได้ และบ้างก็อาจรับไม่ได้ ในขณะที่ แม่ปุ้ย-ปิยาภรณ์ แสนโกศิก ยังคงให้ความสำคัญกับความงามจากทัศนคติและโครงการเพื่อสังคม ซึ่งล้วนเป็นการให้คุณค่าในสิ่งที่แตกต่างกัน จนนำไปสู่การปะทะคารมกันอย่างสม่ำเสมอ โดยอาจเป็นเพราะกลุ่มแฟนนางงามมักสื่อสารระหว่างกัน หรือการสื่อสารแบบคนคอเดียวกัน (Camaraderie) จากการสร้างสำนึกความเป็นพวกเดียวกัน (We-feeling)
เวทีการประกวดนางงาม=สนามแข่งขันของความหมาย (Battlefield of Meaning) จากการช่วงชิงพื้นที่ของการมองเห็น หรือความปรารถนาที่จะได้รับการยอมรับ (Obsession with Being Seen) ที่แต่ละกลุ่มพยายามโต้เถียงว่า ‘ใคร’ ควรถูกมองว่าเป็นตัวแทน หรือเป็นอัตลักษณ์ที่สื่อถึงแฟนนางงาม ระหว่างนางงามเพื่อสังคมกับนางงามเพื่อเศรษฐกิจ ซึ่งทำให้การประกวดนางงามกลายเป็นพื้นที่ทางการเมือง (Political Space) ที่เต็มไปด้วยอารมณ์ ความหวัง และการเดิมพันส่วนตัว ที่เกี่ยวพันกับแฟนนางงามอย่างลึกซึ้ง เพราะเป็นการสร้างอัตลักษณ์แบบผสมผสาน (Hybridity Identity) ระหว่างเพศกับแนวคิด จากการเป็น ‘พื้นที่สื่อสาร’ (Platform) ทางสังคมและวัฒนธรรม เพื่อสะท้อนอัตลักษณ์และแนวคิดของผู้มีความหลากหลายทางเพศ ตามลักษณะทางทัศนคติของนางงามคนนั้นๆ
ซึ่งสะท้อนถึงโครงสร้างทางอำนาจของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ ที่ต้องการมีตัวตนและได้รับการยอมรับจากสังคม ผ่านอัตลักษณ์และแนวคิด ที่ถูกนำเสนอผ่านนางงาม ที่เป็นตัวแทนของตน
เมื่อเพศและแนวคิดไม่ถูกแยกขาดออกจากความเป็นชาติ
เนื่องจากนางงามผู้ชนะการประกวดในแต่ละปี จะต้องเป็นตัวแทนสาวงามไปประกวดในระดับนานาชาติ ที่ทำให้เกิดการแปลงโฉมพื้นที่การประกวดสู่พื้นที่แห่งศักดิ์ศรีของความเป็นชาติ จากการสื่อสารอัตลักษณ์ความเป็นชาติ (Nationalism Identity) ผ่านชุดประจำชาติ ชุดราตรี ชุดระหว่างการเก็บตัว และจากการแสดงทัศนคติ
เหล่านี้ทำให้นางงามไม่เพียงแต่แบกรับความคาดหวังของตนเองและแฟนนางงาม แต่เป็นการแบกรับความเป็นชาติที่เป็นส่วนหนึ่งของชาตินิยม อย่างในอดีตรัฐไทยได้จัดการประกวดสาวงาม เพื่อเป็นศรีสง่าแก่รัฐธรรมนูญในงานฉลองรัฐธรรมนูญ และเผยแพร่การปกครองระบอบประชาธิปไตย โดยให้นางสาวไทยประชาสัมพันธ์งานต่างๆ ให้รัฐบาล และกองประกวดก็จะนำรายได้มาสมทบทุนการเผยแพร่รัฐธรรมนูญ ช่วยเหลือคนยากจน และจัดซื้ออาวุธเข้ากองทัพ
ชาตินิยม (Nationalism) ≠ เชื้อชาติ (Race) ในมิติของนางงามจักรวาล
เพราะตัวแทนสาวงามบนเวทีการประกวดมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ที่ผ่านมา ภายใต้การถือลิขสิทธิ์ของ TPN และ TPN Global ตั้งแต่ปี 2019-2024 ก็ถือได้ว่ามีความหลากหลายของเชื้อชาติ บ้างก็เติบโตในไทย และบ้างก็เติบโตในประเทศจากโลกตะวันตก ซึ่งพวกเธอล้วนเป็นตัวแทนประเทศไทยอย่างสมเกียรติ ผ่านการผสมผสานและนำเสนอวัฒนธรรมไทยในเวทีโลก ซึ่งเหมือนเป็นชาตินิยมทางวัฒนธรรม (Cultural Nationalism) ที่ทำให้คนไทยต่างยอมรับตัวตนของพวกเธอในฐานะของ ‘สายสะพายไทยแลนด์’ แต่ถึงอย่างนั้น ก็ไม่ใช่กับตัวแทนประเทศไทยคนปัจจุบันอย่าง วีนา-ปวีณา ซิงห์
วีนา นางงามชาวไทยเชื้อสายอินเดีย ที่พยายามกับการประกวดนางงาม บนเวทีมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ กว่า 4 ครั้ง จาก 3 ผู้ถือลิขสิทธิ์ ในระยะเวลากว่า 8 ปี หนึ่งในสิ่งที่แฟนนางงามต่างยอมรับในตัวเธอคือ ‘ความพยายาม’ แต่ในการประกวดครั้งล่าสุด เธอกลับถูกโจมตี ทั้งในเรื่องของรูปร่าง การเดิน และทัศนคติ ซึ่งล้วนเป็นเรื่องปัจเจก ที่แฟนนางงามบางคนอาจชอบ และบางคนอาจไม่ชอบ
แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเธอไม่ควรโดนการเหยียดเชื้อชาติ (Racism) เพียงเพราะเธอมีเชื้อสายอินเดีย ซึ่งอาจเป็นผลมาจากความขัดแย้งของผู้ถือลิขสิทธิ์ ที่ส่งผลให้กลุ่มแฟนนางงามตามเนื้อหา หรือแฟนนางงามตามเวที ออกมาวิพากษ์วิจารณ์เธอ รวมถึงการถูกใช้ในสงครามตัวแทน จากการประกวดครั้งก่อนหน้าและปัจจุบัน ตลอดจนความคลั่งชาติจากแนวคิดชาตินิยมบนฐานของความอคติต่อตัวบุคคล ภายใต้แรงสั่นสะเทือนทั้งหลาย ทำให้วีนาถูกผลักเข้าสู่จุดศูนย์กลางความขัดแย้ง ทั้งในฐานะตัวแทนประเทศ และตัวแทนความหลากหลายทางอัตลักษณ์ ที่ท้าทายกรอบความเป็นไทยแบบเดิม เมื่อกระแสวิจารณ์กลายร่างเป็นอคติ และการเหยียดเชื้อชาติ ก็ยิ่งเผยให้เห็นด้านมืดของชาตินิยม ที่บิดเบี้ยวไปจากเจตนารมณ์ ‘รักชาติ’ อันกลายเป็นการกีดกันผู้คนที่แตกต่าง
เมื่อประเทศไทยเตรียมเปิดม่าน Miss Universe ครั้งที่ 74 จากการเป็นเจ้าภาพอีกครั้ง นี่จึงเป็นโอกาสดีที่จะได้เห็นศักยภาพของประเทศไทยในการเป็นผู้จัดงานระดับโลก รวมถึงการทำหน้าที่ของสายสะพายไทยแลนด์ ในการแข่งขันระดับโลก และสำหรับใครที่ไม่ได้ชมการประกวดในวันนี้ ก็อย่าพลาดที่จะร่วมชมการประกวดรอบ Final Competition ในวันที่ 21 พฤศจิกายน เวลา 08.00 น. เป็นต้นไป เพื่อร่วมเป็นกำลังใจให้ทีมสายสะพายไทยแลนด์บนเวทีจักรวาล
ที่มา:
– สุพัตรา กอบกิจสุขสกุล. (2531). การประกวดนางสาวไทย (พ.ศ.2477-2530). มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
– สุเมธ ชัยไธสง. (2562). การสื่อสารอัตลักษณ์ทางเพศของกลุ่มแฟนคลับนางงาม : ศึกษากรณีแฟนคลับชายรักชายต่อการประกวดมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
– https://alittlebithuman.com/for-gay-men-and-trans-women-pageants-are-a-battlefield-for-queer-rights/
– https://themomentum.co/closeup-thitipong-duangkong/
– https://www.facebook.com/share/p/1AM9NmX2EV/
– https://www.facebook.com/share/p/1DGLyFiUc6/
Tags: Miss Universe, มิสยูนิเวิร์ส, นางงาม, มิสแกรนด์, MGI, Queer Spectatorship, TPN Global




