ผมลืมตาตื่นมาตอนตีห้า เมื่อคืนหลับไปเพราะเหนื่อยมากๆ พี่ทอมขอตัวไปห้องก่อนเพราะแกดูเหมือนจะเป็นคนที่เหนื่อยที่สุดเพราะต้องถ่าย still ไปทั่วหมู่บ้าน ถึงแม้จะเหนื่อยสายตัวแทบขาด แต่เมื่อคืนผมกลับหลับๆ ตื่นๆ เพราะกลิ่นห้องน้ำแรงมาก และมีเสียงคุยกันของห้องข้างๆ ที่เป็นกรุ๊ปทัวร์ดูดาว ฟังเสียงพูดแล้วน่าจะเป็นคนสิงคโปร์ มันดูดาวกันทั้งคืน ส่งเสียงโหวกเหวกมาก หยั่งกะเพิ่งค้นพบดาวดวงใหม่อะไรประมาณนั้น พี่ทอมกับผมใช้น้ำดื่มแปรงฟันเพราะไม่ไว้ใจแทปวอร์เตอร์ น้ำไม่ได้อาบ เพราะไม่มีน้ำอุ่นและหนาวมากๆ ก็ทนเหนียวกันไป
ผมตื่นเช้ามาหากาแฟกิน พบว่ากาแฟไม่มี เลยกิน black tea กับนมอุ่น รสชาติดีเลยครับ นมอุ่นนี่ผมให้ 5 star Michelin เลย มันสดจริงๆ แถมมีไขมันเป็นวุ้นๆ ลอยฟ่องอยู่ด้านบน รสชาติหวานแบบไม่ต้องใส่น้ำตาล คือหวานนุ่มๆ ผมเขียนเมมมัวร์ไปประมาณครึ่งหน้า พี่ทอมก็ตามมา จิบชาไปสองสามคำก็ออกไปถ่ายรูป ผมเขียนไปอีกประมาณสองสามบรรทัด คราวนี้เคลเมนซ์และพอลลีนก็ตามมาสมทบ พวกเขาคุยกันเรื่องทริป ผมไม่ค่อยได้สนใจมาก เพราะเขียนหนังสืออยู่ แต่ฟังได้จับใจความแว่วๆ ว่า เหมือนพวกเขากำลังหา plan B
เวลาผ่านไปประมาณชั่วโมงนึง พี่ทอมเดินกลับมาพร้อมภาพถ่ายจำนวนหนึ่ง ผมถามเป็นภาษาอังกฤษว่าเป็นไง แกตอบว่า ดีนะ บลา บลา แต่ผมอ่านสีหน้าออก ผมเลยถามไปใหม่เป็นภาษาไทย แกตอบสั้นๆ ว่า “ไม่เวิร์ก” ผมเขียนหนังสือเสร็จ ส่งอีเมล เช็กอีเมล จากนั้นก็ไปเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวเตรียมออกไป scout แบบเป็นเรื่องเป็นราว
บาร์พัคสวยครับ สวยแบบในภาพถ่ายทุกประการ ผู้คนน่ารักมาก พวกเขาล้อมวงพูดคุยกับพวกเราเหมือนเจอญาติสนิท แถมชวนไปเที่ยวบ้าน ผมคิดว่าพวกเขาพยายามที่จะทำให้เราประทับใจด้วยท่าทีที่เป็นมิตรและทัศนคติที่เป็นบวก เหมือนคนไทยเมื่อ 40 ปีที่แล้วตอนเจอฝรั่ง คือพยายามที่จะช่วยเหลือด้วยน้ำใจจริงๆ แต่ก็นั่นแหละครับ Sceneries เป็นส่วนสำคัญของหนัง พี่ทอมเตือนผมตั้งแต่ก่อนสาวเท้าออกมาจากห้องพักว่า อย่าคาดหวังกับซีนให้สูงนักเพราะเราอาจจะไม่ได้
เราเดินรอบๆ หมู่บ้านเห็นชาวบ้านกำลังประชุมอะไรบางอย่างตรงลานกว้างใจกลางหมู่บ้าน พี่ทอมถ่ายภาพมาและน่าจะมีวิดีโอด้วย พอลลีนบอกว่า ในวันธรรมดา พวกเขาจะใช้สถานที่ตรงนี้เป็นโรงเรียนสอนเด็กๆ ใต้ต้นไม้แล้วก็ล้อมวงโดยมีครูอยู่ตรงกลาง ดูไปๆ จนผมนึกเบื่อเพราะฟังไม่ออกด้วยส่วนนึง เลยเดินกับพี่ทอมออกไปจากสถานที่แห่งนั้น
เราเดินขึ้นเขาไปอีกนิดนึง ต้องบอกก่อนครับว่าบาร์พัคอยู่ในระหว่างที่กำลังสร้างตัวหลังจากที่โดนแผ่นดินไหวถล่มเละ เมื่อหมู่บ้านหายไปทั้งหมู่บ้าน ดังนั้น เมื่อมีการก่อสร้างขึ้นมาใหม่ สิ่งที่เห็นคือ ไม่ว่าเราจะมองไปทางไหน จะเห็นบ้านขึ้นโครง บ้านกำลังต่อเติม บางหลังเสร็จแล้วแบบครึ่งๆ กลางๆ แต่ก็พออยู่ได้ มีหลังนึงครึ่งนึงเป็นปูนครึ่งนึงเป็นหินอีกส่วนนึงเป็นไม้ ดูแล้วน่าสนใจและตลกดี
ขยายความเรื่องหมู่บ้านทั้งหมู่บ้านกำลังสร้างตัวนิดนีงครับ การปลูกบ้านใหม่มันกระจัดกระจายไป ไม่ได้อยู่ในพื้นที่เดียวกันทั้งหมด มันถูกแยกด้วยถนน ต้นไม้ สันเขา แบ่งเป็นส่วนๆ รอบๆ บรรยากาศก็ถูกล้อมกรอบไว้ด้วยสันเขาที่เต็มไปด้วยต้นไม้ สวยไหม?
สวยครับ น่าสนใจไหม? น่าสนใจครับ แต่สำหรับผมแล้ว ผมรู้สึกว่า มันเป็นซีนที่น่าประทับใจแค่ประมาณ 20 วินาทีแรก หลังจากนั้นแล้ว ไม่ว่าเราจะหันหน้าไปทางไหน มันเหมือนกันไปหมด ผู้คน ต้นไม้ ภูเขา บ้านที่กำลังสร้าง ทุกหลังใช้สีฟ้า (ผมคิดว่าเขาตกลงกันไว้ อาจจะเพื่อให้เป็นเหมือนกับสัญลักษณ์) ผมกับทีมเดินรอบๆ หมู่บ้านอีกสักชั่วโมง พอลลีนเจอคุณป้าคนนึง หน้าแรงใช้ได้ แกถูกผัวทิ้ง อยู่ตัวคนเดียว และอธิบายให้เราฟังถึงชีวิตของหญิงม่ายที่เหมือนคนชายขอบของสังคม คือถูกสังคมดูแคลนประหนึ่งสินค้าที่มีตำหนิ เดินไปอีกพักนึงเจอเด็กๆ กำลังแข่งฟุตบอลประจำหมู่บ้าน ก็แวะดูแป๊บนึง ผมอ่านสีหน้าพี่ทอมตลอด เพราะตอนนั้นผมรู้แล้วว่าผมคิดยังไง และต้องทำยังไง พี่ทอมเดินมาส่ายหัวนิดๆ ผมกระซิบบอกแกไปว่า “It doesn’t call my name.” พี่ทอมพยักหน้ารับ
ผมคิดว่าเรื่องราวของบาร์พัคน่าสนใจ แต่ด้วยองค์ประกอบโดยรวม มันไม่สามารถ “ขึง” เรื่องราวในหนังไปได้ตลอดรอดฝั่ง 100 นาที ถ้ามันเป็นหนัง 20 นาทีแรก โคตรจะน่าสนใจ มีพลัง เต็มไปด้วยซีนแปลกตา หลังจากนั้นมันจะเหมือนถูกผลิต “ซ้ำ” ไปเรื่อยๆ และพลังจะดรอปลงในที่สุด อย่างไรก็ดี นาทีนั้นผมคิดว่าผมมีข้อมูลของบาร์พัคเพียงพอแล้ว ด้วยเงื่อนไขของการทำหนัง ผมคิดรวบๆ ว่า มันทำได้แต่ “ไม่สบายนัก” ถ้าจะมองในแง่ของโลจิสติกส์และองค์ประกอบโดยรวมในแง่ของความเป็นภาพยนตร์ ผมตัดสินใจเก็บบาร์พัคไว้เป็น plan B เพื่อใช้ในหนัง หรืออาจจะเป็นส่วนหนึ่งของหนัง ใช่ครับ อีกครั้ง มันไม่มีอานุภาพเพียงพอที่จะอุ้มหนังไว้ทั้งเรื่อง
เคลเมนซ์บอกผมตั้งแต่เมื่อคืนแล้วว่า มันมีอีกโลเกชั่นนึง ห่างไกลออกไปอีก 8 ชั่วโมง ความเสียหายอาจจะไม่มากเท่าบาร์พัค แต่ก็มีความเสียหายอยู่ให้เห็นแน่นอน มีภาพชาวบ้านกลับขึ้นมาสร้างบ้าน เคลเมนซ์เคยไปที่นั่นมาแล้ว และบอกผมว่า นี่แหละคือ “main location” ตั้งแต่แรก แต่ผมอยากไปบาร์พัคมากกว่าเพราะ เอากันตามจริง บาร์พัคคือศูนย์กลางของแผ่นดินไหว เห็นกับตาถึงรู้ว่ามันไม่ค่อยเวิร์ก
ที่ใหม่ที่เรากำลังจะไป เคลเมนซ์บอกผมว่า นอกจากซากบ้านเรือนแล้ว เรายังจะเห็นวัฒนธรรมที่หลากหลาย ผู้คนแต่งตัวแบบเนปาลขณะที่บาร์พัคไม่มีภาพพวกนี้ นอกจากนั้นมันยังคงมีพื้นที่ที่เป็นแผ่นดินแยกเหลือไว้ให้เห็น ออกนอกหมู่บ้าน มีป่าที่เห็นสันของหิมาลัย ซึ่งสามารถ access พวก gear ต่างๆ ได้โดยม้า ไม่ต้องใช้ลูกหาบ เราออกเดินทางออกจากบาร์พัคหลังอาหารเช้าที่กินกันตอนเที่ยง เดินลงเขาสบายกว่าขึ้นเขามากๆ รถจอดที่เดิมตรงปลักที่มันขึ้นไม่ได้ พอเครื่องติด นาฬิกาก็นับถอยหลัง 8 ชั่วโมง
เหมือนเดิม เหมือนเดิมกับตอนที่ขึ้นมา หิน ฝุ่นแดง ถนนที่ดาวอังคารเรียกพ่อ แถมมาด้วยเสียงแตรโคตรหนวกหูสลับเสียงด่าทอของผู้คนตามข้างทาง เราแวะเติมน้ำมันกลางทาง มีร้านอาหาร พี่ทอมหิวน้ำแต่น้ำไม่สะอาดเลยชวนผมกินเบียร์ คือกินเบียร์ต่างน้ำจริงๆ ครับ 555 พอลลีน สั่งของกินชื่อ momo มันเหมือนเกี๊ยวซ่าที่นึ่งเอา แทนที่จะทอดบนกระทะร้อนๆ กินเข้าไปคำแรกแทบจะบ้วนทิ้ง มันเค็มแบบสุดแสนจะทนทาน ใจนึงนึกอยากควักโจ๊กคัพขึ้นมากินแกล้ม ประมาณข้าวต้มปลาเค็ม อีกใจนึงก็อยากมาเปิดคลินิกรักษาโรคไต
ฝุ่นแดง ควัน รถติด อาหารแย่ๆ เสียงโหวกเหวก เสียงแตรสำเนียงเสี่ยวๆ ซึ่งดังและหนวกหู ถนนที่เส็งเครง หินก้อนเล็กก้อนใหญ่บนถนนที่ไร้ระเบียบ รถที่วิ่งสวนทางมาแบบไม่กลัวตาย ผู้คนที่นอนแผ่หลาบนถนน ถ้าจะยืมสำนวนของ คมทวน คันธนู นักเขียนซีไรต์ คงต้องบอกว่า “นาฏกรรมบนลานกว้าง”
หกชั่วโมงผ่านไป ความมืดเข้ามาเยือน ยังเหลืออีกสองชั่วโมงสำหรับการเดินทาง ถนนด้านหน้ามืดตึ๊บ ผมบอกเคลเมนซ์ว่า พักเหอะ กลัวอันตราย มีอะไรแล้วมันไม่คุ้ม หาโรงแรมนอนแล้วพรุ่งนี้ออกแต่เช้าก็ยังไม่สาย ไกด์บอกว่า มีโรงแรมที่เขารู้จักอีกประมาณ 15 นาที พ้นเคราะห์ ผมนึกในใจ ปรากฏว่าเมื่อไปถึงโรงแรมเสือกเลิกกิจการ รถเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยจุดหมายเดียวคือหาที่นอน ไปเจอที่นึง เข้าไปในซอยลึกๆ เป็นตึกสามชั้น พี่ทอมกับเคลเมนซ์เข้าไปดูห้องแล้วก็รีบแจ้นออกมา เพราะมันโคตรสกปรก แถมห้องน้ำยังมีสิ่งที่ไม่พึงประสงค์คาโถ
เราขึ้นรถอีกรอบ คราวนี้เคลเมนซ์เข้าเนตและเจอโรงแรมนึงห่างไปประมาณ 5 นาที พระเจ้ามีน้ำใจเสมอสำหรับปุถุชนที่ต้องการความช่วยเหลือ มันเป็นโรงแรมที่พวก UN ชอบมาใช้บริการ คืนละ 25 เหรียญ พี่ทอมกับเคลเมนซ์เข้าไปสำรวจ พี่ทอมกลับมาด้วยรอยยิ้มพูดสั้น “สุดยอด!!”
คืนนั้น พวกผมก็ได้อาบน้ำอุ่น นอนฟูกนิ่มๆ ได้เข้าห้องน้ำสะอาดๆ แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว อาบน้ำเสร็จ ออกมากินข้าวเย็น เจอคนที่ทำงาน UN คนเบลเยี่ยม บอกว่ามีแผนจะขี่มอเตอร์ไซค์จากเนปาล กลับบ้าน