หากพูดถึงความเป็น สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล (Liverpool FC) อาจมีสิ่งที่สามารถยกตัวอย่างได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นสัญลักษณ์รูปนก Liver Birds (ซึ่งเป็นสัตว์ที่ไม่มีอยู่จริง และคนไทยมักจะเรียกด้วยความชินปากว่า หงส์ เสียมากกว่า) ตำนานนักเตะชื่อดัง และกุนซือโลกลูกหนังมากหน้าหลายตา แม้กระทั่งสนามแอนฟิลด์ (Anfield Stadium) อันเป็นสนามเหย้าที่บันทึกเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ของทีมไว้ก็ตาม

รวมไปถึงอีกสิ่งหนึ่งที่แสดงถึงความเป็นสโมสรลิเวอร์พูลได้ดี ไม่แพ้ทุกสิ่งที่กล่าวไปข้างต้น คือบทเพลงประจำสโมสรที่หล่อเลี้ยงหัวใจ The Kop ทั่วโลกให้กลายเป็นหนึ่งเดียวได้อย่างเพลง You’ll Never Walk Alone (YNWA)

คอลัมน์ Game On ขอพาทุกคนไปท่องประวัติศาสตร์ขนาดย่อมของเพลงนี้ ทั้งความเป็นมาและความสำคัญของเพลง ที่มีต่อผู้คนที่รักและศรัทธาในลิเวอร์พูล ผ่านสายตาของ The Kop คนหนึ่ง ซึ่งไม่เคยรู้สึกว่าอยากปล่อยให้ลิเวอร์พูลเดินอย่างเดียวดาย ไม่ว่าทีมจะผ่านร้อนหนาวหรือดีร้ายมาเพียงไหนอย่างไรก็ตาม

จุดกำเนิด ‘You’ll Never Walk Alone’ จากเพลงบรอดเวย์สู่เพลงชาติประจำสโมสร

หลายคนอาจทราบอยู่แล้วว่าต้นฉบับดั้งเดิมของเพลง You’ll Never Walk Alone ไม่ใช่เวอร์ชันที่เราคุ้นหูในปัจจุบันนัก หากจะกล่าวถึงจุดกำเนิดของเพลงนี้ต้องย้อนกลับไปถึงปี 1960

You’ll Never Walk Alone ถูกเขียนเนื้อเพลงขึ้นโดย ออสการ์ แฮมเมอร์สไตน์ที่ 2 (Oscar Hammerstein II) และประพันธ์ดนตรีโดย ริชาร์ด ร็อดเจอร์ส (Richard Rodgers) นักดนตรี และนักการละครชาวอเมริกัน ที่ได้ร่วมกันสร้างสรรค์ขึ้นเพื่อใช้ในละครบรอดเวย์เรื่อง Carousel เมื่อปี 1945 ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา 

ก่อนที่เวลาต่อมา เพลงนี้ถูกนำมาดัดแปลงหลากหลายเวอร์ชัน แต่ถ้ากล่าวถึงเวอร์ชันที่ประสบความสำเร็จที่สุดคงหนีไม่พ้นเวอร์ชันของ Gerry and the Pacemakers กลุ่มนักร้องจากแดนเมอร์ซีย์ไซด์ ที่นำเพลงนี้มาเรียบเรียงเสียงประสานใหม่ บันทึกเสียง และปล่อยเพลงในปี 1963 โดยมีจอร์จ มาร์ติน (George Martin) โปรดิวเซอร์มือทองในขณะนั้น ควบคุมการผลิตอยู่เบื้องหลัง 

ถึงแม้ว่า Gerry and the Pacemakers จะไม่ได้โด่งดังไปทั่วโลกเท่าวงคู่แข่งที่ส่งออกจากลิเวอร์พูลเช่นกัน อย่าง The Beatles แต่สิ่งที่ศิลปินกลุ่มนี้ได้ทิ้งมรดกที่ยิ่งใหญ่เอาไว้ คือเพลง You’ll Never Walk Alone ในเวอร์ชันที่ติดตราตรึงใจกับทั้งแฟนบอล นักเตะ และเป็นสิ่งที่ยึดโยงความเป็นสโมสรแห่งนี้ไว้ตราบนานเท่านาน ผ่านเพลงนี้เพลงเดียวที่เป็นทุกอย่าง

โดยในช่วงที่ปล่อยเพลง You’ll Never Walk Alone วง Gerry and the Pacemakers ได้ไปขอให้ทางสโมสรลิเวอร์พูลเปิดเพลงนี้โปรโมตในสนามให้ตามประสาคนบ้านเดียวกัน แต่จุดพีคอยู่ที่เมื่อ บิลล์ แชงคลี (Bill Shankly) กุนซือของลิเวอร์พูลในขณะนั้น ฟังเพลงนี้แล้วเกิดความประทับใจอย่างมาก ด้วยความหมายที่ลึกซึ้ง อีกทั้งยังสามารถสื่อความหมายได้หลากหลาย ไม่ใช่แค่เรื่องของฟุตบอลและเกมกีฬา แต่ยังเป็นเรื่องของชีวิตและจิตวิญญาณ สื่อถึงกำลังใจในการต่อสู้และมุ่งหน้าเผชิญปัญหาอย่างไม่ท้อถอย ดังเช่นเนื้อเพลงว่าไว้

“เวลาเจอมรสุมลมพายุเข้ามาให้เชิดหน้าขึ้นเข้าไว้ อย่าไปกลัวเมื่ออุปสรรคหรือความยากลำบากใดๆ เข้ามา ให้เดินหน้าและพยายามต่อไป จนกระทั่งถึงวันหนึ่งเมื่อท้องฟ้าเปิดขึ้น นั่นแหละคือวันที่คุณจะประสบความสำเร็จ

หรือถึงความฝันจะหลุดลอยไปบ้าง แต่ไม่ว่าคุณจะประสบความสำเร็จหรือผิดหวัง พวกเราจะยืนเคียงข้างคุณเสมอ และคุณจะไม่มีวันเดินอย่างเดียวดาย”

บิลล์ แชงคลีจึงตัดสินใจซื้อลิขสิทธิ์เพลงนี้ และ You’ll Never Walk Alone กลายเป็นเพลงประจำสโมสรตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการร้องอย่างกึกก้องที่ฝั่ง Kop Stand ในทุกการแข่งขัน และเมื่อเพลงนี้ถูกใช้ก็เกิดกระแสความนิยมและแพร่หลายอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งประสบความสำเร็จขึ้นถึงอันดับ 1 ของชาร์ตเพลงสหราชอาณาจักรในเวลาต่อมา

จากจุดกำเนิดสู่ ‘จุดเปลี่ยน’ พลิกเกมการแข่งขัน

จากที่กล่าวไปข้างต้นว่า You’ll Never Walk Alone เป็นเพลงปลุกใจ ดังนั้นจึงมีหลายเกมมากที่การเปิดหรือร้องเพลงนี้จากเหล่า The Kop นั้นช่วยเสริมพลังให้นักเตะหงส์แดงกลับมาสู้ยิบตาอีกครั้ง จนผลการแข่งขันพลิกกลับมาเป็นลิเวอร์พูลชนะ เข้ารอบ หรือกระทั่งได้ถ้วยแชมป์ใดๆ สำหรับผู้เขียนเองนั้น มองว่ามีอยู่ 2 เกมที่ติดตาตรึงใจและขนลกซู่ปนน้ำตาไหลทุกครั้งเมื่อกลับไปย้อนดู

 

1. ปาฏิหาริย์อิสตันบูล (Miracle of Istanbul) กับ 15 นาทีพลิกโลก

ผ่านมากว่า 18 ปี จากวันที่ 25 พฤษภาคม 2005 วันที่มีการแข่งขันฟุตบอลนัดชิงชนะเลิศรายการ UEFA Champions League ระหว่าง ลิเวอร์พูล และสโมสรเอซี มิลาน (A.C. Milan) บิลล์ แชงคลี จึงตัดสินใจซื้อลิขสิทธิ์เพลงนี้ และ You’ll Never Walk Alone กลายเป็นเพลงที่สนามกีฬาโอลิมปิกอตาเติร์ก เมืองอิสตันบูล ประเทศตุรกี

วันนั้นลิเวอร์พูลอาจกล่าวได้ว่าอยู่ในสภาพร่อแร่ ทั้งฟอร์มการเล่นและขวัญกำลังใจ หลังถูกนำก่อนไปถึง 3 ประตูต่อ 0 

“ลืมครึ่งแรกมันไปซะ พวกนายต้องกลับลงไปยิงประตูให้ได้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะเมื่อใดก็ตามที่ยิงลูกแรกและลูกที่สองได้เร็วเท่าไร พวกนายก็จะเริ่มต้นสร้างความแตกตื่นตกใจให้พวกนั้นได้ และลูกที่สามจะตามมาในทันที

พวกนายต้องทำให้ได้ เพราะพวกนาย คือ ลิเวอร์พูล สโมสรที่จะไม่ยอมถอดใจจนกว่าจะสิ้นเสียงนกหวีด” ราฟาเอล เบนิเตซ (Rafael Benítez) กุนซือในขณะนั้นกล่าวปลุกใจนักเตะในห้องแต่งตัวขณะพักครึ่ง ที่ถึงแม้จะรู้ว่าบรรยากาศตอนนั้นเริ่มหมดหวังและตรึงเครียดมากแค่ไหนก็ตาม แต่เขายังคงไม่อยากให้ปล่อยโอกาสที่เหลืออันน้อยนิดหลุดลอยไป

ซึ่งหลังจากนั้น กัปตันและตำนานตลอดกาลของสโมสรอย่าง สตีเวน เจอร์ราด (Steven Gerrard) ก็เงียบไปสักครู่หนึ่งและถามกับเพื่อนร่วมทีมว่า “พวกเราได้ยินเสียงอะไรไหม”

ใช่ นั่นคือเสียง The Kop ตะโกนร้องเพลง You’ll Never Walk Alone ที่ยังคงดังกระหึ่มไปทั่วทั้งสนามของเหล่า ทั้งที่ทีมตัวเองส่อแวแแพ้และตามคู่แข่งอยู่ถึง 3 ลูก

มันคงอาจเป็นเพราะบทเพลง ที่ปลุกใจเหล่า ‘เดอะเรด’ จนทำให้ทุกคนอยากกลับไปลงสนามอีกครั้ง และสามารถพลิกกลับมาสู้ในสังเวียนได้อย่างสูสี จนลิเวอร์พูลสามารถยิงประตูได้ถึง 3 ลูกภายในเวลาเพียงหกนาที และสุดท้ายเมื่อถึงต่อเวลายิงจุดโทษ ลิเวอร์พูลก็สามารถชนะจุดโทษ 3-2 และสามารถคว้าแชมป์ยุโรปได้เป็นสมัยที่ 5 ของสโมสร

 หรือถ้าเอาให้ใกล้ตัวกว่านั้นเ ผู้เขียนก็มีอีกเหตุการณ์หนึ่งที่เชื่อว่าเดอะค็อปยังคงจำไม่ลืม

2. ค่ำคืนแห่งความมหัศจรรย์ พลิกชนะบาร์ซ่า 4-0 เข้ารอบชิงชนะเลิศแชมป์ยุโรป

ย้อนกลับไปที่ต้นปี 2019 เกมนี้เรียกได้ว่าเป็นเกมโกงความตายอีกหนึ่งเกมที่แฟนบอลลิเวอร์พูลน่าจะจำได้ขึ้นใจ เพราะทั้งลุ้นระทึกมากและยังผ่านมาได้ไม่นาน

สภาพในตอนนั้นลิเวอร์พูลร่อแร่อย่างเห็นได้ชัด เพราะในรอบรองชนะเลิศ นัดแรก ลิเวอร์พูลบุกไปพ่ายเจ้าบุญทุ่มบาร์เซโลนา (FC Barcelona) ที่สนามคัมป์นูถึง 3 ประตูต่อ 0

หากให้กล่าวตามตรง คิดว่าแฟนลิเวอร์พูลจำนวนไม่น้อยถอดใจไปแล้วสำหรับความหวังในการคว้าแชมป์ถ้วยยุโรปในปีนั้น เพราะในตอนนั้นขาดสองกองหน้าคนสำคัญอย่าง โมฮาเหม็ด ซาลาห์ (Mohamed Salah) และโรแบร์โต ฟีร์มีโน (Roberto Firmino)

“แค่เล่นอย่างที่ลิเวอร์พูลเป็น” เจอร์เกน คล็อปป์ (Jürgen Klopp) กุนซือของทีมกล่าวแต่เพียงเท่านั้น หากแต่เรารู้กันดีว่าการเดิมพันการแข่งขันนี้มันสูงมาก และบาร์เซโลนาไม่ใช่ทีมที่จะประมาทได้ง่ายๆ

เมื่อถึงนัดที่สองที่แอนฟิลด์ เปิดฉากครึ่งแรกมาถึงนาทีที่ 7 ลิเวอร์พูล ขึ้นนำ 1 ประตูต่อ 0 จาก ดิวอค โอริกี้ (Divock Origi) และจบครึ่งแรกไปในสกอร์นี้ เมื่อเปิดศึกครึ่งหลัง อาจกล่าวเปรียบได้ว่า ลิเวอร์พูลคึกราวกับเป็นพายุโหมซัดกระหน่ำ จนสามารถเอาชนะไปได้ในสกอร์ 4 ประตูต่อ 0  ซึ่งเมื่อนับสกอร์ทั้งนัดเหย้าและนัดเยือน กลับเป็นฝ่ายลิเวอร์พูลที่เอาชนะไปได้ 4 ประตูต่อ 3 ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศ และสุดท้ายก็สามารถคว้าแชมป์ยุโรปสมัยที่ 6 กลับแดนเมอร์ซีย์ไซด์ได้สำเร็จ

โดยหลังจบทั้งเกมรอบรองชนะเลิศและชิงชนะเลิศ นักเตะหลายคนออกมากล่าวภายหลังว่าเพลง You’ll Never Walk Alone เป็นส่วนหนึ่งสำคัญที่ทำให้พวกเขาสู้ไม่ถอยและมีวันนี้ได้ ราวกับว่าเพลงมันสามารถรวมใจให้ทุกคนเป็นหนึ่งเดียว และกลายเป็นเครื่องยืนยันที่ชัดเจนที่สุดอย่างหนึ่งถึง ‘ความเป็นลิเวอร์พูล’

“เมื่อคุณต้องเดินผ่านมรสุม นั่นคือช่วงเวลาที่คุณต้องการกำลังใจ”

หากคุณเป็นแฟนบอลหรือติดตามกีฬาอยู่บ้าง ไม่ว่าจะเชียร์ทีมไหน เราคิดว่าคุณคงจะเคยได้ยินคำล้อแนวๆ ‘30 ปีไม่มีแชมป์’ หรือกระทั่ง ‘You’ll Never Walk Again’ ที่หลายคนปรามาสลิเวอร์พูลเอาไว้ตลอดจนถึงสามสี่ปีที่ผ่านมา

เจอร์เกน คล็อปป์ ยอดกุนซือคนปัจจุบันของสโมสรแห่งนี้กล่าวเปิดใจในสารคดี The End of the Storm (2021) ที่บันทึกเรื่องราวทุกเหตุการณ์ในขวบปีที่ลิเวอร์พูลคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกในรอบ 30 ปี ถึงการฟื้นฟูบูรณะให้ลิเวอร์พูลกลับมาเป็นทีมที่ผงาดอีกครั้งหนึ่งว่า

“มันเป็นมรสุมที่ยาวนาน คนเก่งๆ หลายคนได้พยายาม หลายคนฝันถึงวันที่พวกเราจะทำสำเร็จ เราต้องมุ่งหน้าต่อไป”

เขากล่าวเพิ่มเติมว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยเพราะต้องปรับทุกอย่าง ตั้งแต่โครงสร้างสโมสร รูปแบบของนักเตะที่ต้องการ และที่สำคัญที่สุดคือขวัญกำลังใจของทุกคนในทีมในการกลับมาเป็นผู้ไล่ล่าความสำเร็จอีกครั้ง

แต่สิ่งสำคัญคือ คล็อปป์สร้างทีมและปลุกลิเวอร์พูลขึ้นมาใหม่ขึ้นตามสโลแกน ‘You’ll never walk alone’ โดยเน้นไปที่การสร้างความมั่นคงทางจิตใจ ความกระหายในชัยชนะ แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งน้ำใจนักกีฬา คล็อปป์สร้างตัวตนของนักเตะแต่ละคนที่ล้วนผ่านเรื่องราวและความผิดหวัง โดยหยอดความทะเยอทะยานผลักดันให้นักเตะในสโมสรกลายเป็นนักฟุตบอลที่ดีกว่าเมื่อวาน  และสุดท้ายคล็อปป์ก็ทำได้

คล็อปป์กล่าวย้ำเสมอว่าทีมเวิร์คสำคัญมาก และพวกคุณ (เดอะค็อป) คือผู้เล่นคนที่ 12 ของเรา

สุดท้ายนี้ สำหรับการตั้งชื่อสารคดีดังกล่าว คล็อปป์เลือกใช้ชื่อว่า ‘The End of the Strom’ ด้วยเพราะเป็นเนื้อร้องท่อนสำคัญในเพลง You’ll Never Walk Alone นี้ และเป็นท่อนที่นำไปสู่ปลายทางที่พายุสงบและประสบความสำเร็จในปลายทางที่มุ่งหวัง เพียงแค่เราเชิดหน้าขึ้นเอาไว้ จงเดินต่อไปด้วยความหวังในหัวใจ เพราะคุณจะไม่มีวันเดียวดายและไม่ได้เดินต่อไปเพียงลำพัง

“ทุกอย่างเริ่มต้นขึ้นที่นี่ คุณจะไม่สามารถสัมผัสบรรยากาศนี้ได้จากสโมสรอื่น”

Tags: , , , ,