ในชีวิตการฟังเพลงตลอดสามสิบกว่าปีที่ผ่านมา มีเพลงที่เป็นหนึ่งในเพลงที่ผมรักที่สุด และเป็นหนึ่งในเพลงโปรดในดวงใจอันดับต้นๆ ของผม เพลงนั้นมีชื่อว่า Walk On

เพลงใน All That You Can’t Leave Behind อัลบั้มลำดับที่ 10 ของวงดนตรีร็อกสัญชาติไอริชเลื่องชื่ออย่าง U2 ถูกปล่อยออกมาในวันที่ 30 ตุลาคม ปี 2000 มันเป็นอัลบั้มที่ชนะรางวัลแกรมมี่ถึงเจ็ดรางวัล และเป็นอัลบั้มที่ประสบความสำเร็จสูงที่สุดอัลบั้มหนึ่งของวง โดยติดอยู่ในอันดับที่ 139 จากลิสต์ 500 อัลบั้มยอดเยี่ยมตลอดกาลที่จัดขึ้นโดยนิตยสาร โรลลิงสโตน

Walk On ถูกเขียนขึ้นเพื่ออุทิศให้กับ อองซานซูจี นักการเมืองและนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยชาวพม่า ผู้ถูกรัฐบาลเผด็จการทหารพม่าจองจำไว้ในบ้านของเธอเองในพม่าตั้งแต่ปี 1989 ชื่อของเพลงนี้มีที่มาจากเหตุการณ์ในช่วงที่เธอยังมีอิสรภาพและกำลังเดินหาเสียงพร้อมกับผู้สนับสนุนของเธอ แต่กลับถูกขัดขวางโดยเหล่าทหารหลายสิบนายที่ส่งมาโดยรัฐบาลเผด็จการทหารพม่า ที่ตั้งแถวเรียงรายและยืนเล็งปืนมาที่เธอเพื่อหยุดเธอ แต่อองซานซูจีกลับไม่หยุด เธอก้าวเดินไปข้างหน้าต่อไปอย่างสงบ โดยไม่ฟังคำสั่งของทหารที่ตวาดอย่างกราดเกรี้ยวใส่ เธอไม่หยุดเดิน ทั้งๆ ที่มีปากปืนนับสิบกระบอกเล็งมาที่เธอ ทหารเหล่านั้นพร้อมที่จะยิงปืนในมือใส่เธอทุกเวลา หากแต่สุดท้าย พวกเขาก็ไม่กล้ายิงออกมา การกระทำครั้งนี้ของเธอถูกจับตาและถูกปิดข่าวโดยรัฐบาลเผด็จการทหารพม่า หากแต่ก็แพร่สะพัดปากต่อปากไปทั่วโลก และกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักต่อสู้ผู้ยึดมั่นอุดมการณ์ผู้ยืนหยัดอยู่เคียงข้างเธอ และเหล่าประชาชนผู้รักประชาธิปไตยไปทั่วทั้งประเทศพม่า รวมถึงทั่วโลกอีกด้วย

อองซานซูจีได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพในปี 1991 และในปี 1999 นิตยสาร ไทม์ ยังยกย่องให้เธอเป็นเสมือน ‘ลูกสาวของคานธี’ ในฐานะทายาทผู้สืบทอดจิตวิญญาณแห่งอหิงสา หรือการต่อสู้ทางการเมืองแบบสันติวิธีโดยไม่ใช้ความรุนแรง

โบโน่ นักร้องนำและนักแต่งเพลงของ U2 ได้แรงบันดาลใจในการแต่งเพลง Walk On จากการได้ดูภาพยนตร์เรื่อง Beyond Rangoon (1995) ที่กำกับโดย จอห์น บัวร์แมน ซึ่งมีเรื่องราวการต่อสู้ของอองซานซูจีอยู่ในหนัง

ในเวลาต่อมา โบโน่และอองซานซูจีได้รับรางวัลเกียรติยศแห่งสันติภาพจากเมืองดับลินในปี 2000 ซึ่งทางวงได้พบกับลูกชายของเธอที่มารับรางวัลแทนแม่ของเขา และได้สนทนากันจนโบโน่สนใจในการต่อสู้ของเธอมากขึ้นเรื่อยๆ และแสดงเจตนารมณ์ในการสนับสนุนเธอและเริ่มรณรงค์เคลื่อนไหวต่อสู้เพื่ออิสรภาพของเธอนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

อัลบั้ม All That You Can’t Leave Behind ถูกแบนอย่างสิ้นเชิงในพม่า ในขณะที่เว็บไซต์ของ U2 มีเพจที่เปิดเผยถึงสถานการณ์ในพม่าที่ประชาชนถูกฆ่าหรือไม่ก็ถูกกระทำทารุณเยี่ยงทาสอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

ในระหว่างทัวร์คอนเสิร์ต ‘U2 360° Tour’ ในหลายๆ ประเทศทั่วโลก วง U2 ได้ประกาศให้แฟนเพลงของพวกเขานำหน้ากากอองซานซูจี ที่ทางวงทำขึ้นให้ดาวน์โหลดทางออนไลน์ติดตัวมาในคอนเสิร์ต และนำขึ้นมาสวมในระหว่างที่พวกเขาเล่นเพลง Walk On และเชิญแฟนเพลงบางคนที่พวกเขาเลือกไว้ ให้สวมหน้ากากของอองซานซูจีขึ้นมาเดินรอบๆ เวที เพื่อเป็นการสนับสนุนเธอและรณรงค์ให้รัฐบาลพม่าปล่อยตัวเธอให้เป็นอิสระ

“เพลงต่อไปนี้เราขออุทิศให้อองซานซูจี และประชาชนพม่า เรามาช่วยกันส่งสารแห่งความรักและกำลังใจให้กับเธอ เรามาร่วมยืนหยัดเคียงข้างเธอ ด้วยการสวมหน้ากากนี้”

นอกจากนั้นพวกเขายังรณรงค์ให้แฟนๆ ของ U2 สวมหน้ากากนี้ในชีวิตประจำวันอีกด้วย

“สวมมันไปทำงานหรือไปเรียน สวมมันเวลาอยู่บ้านนั่งดื่มชา สวมมันเวลาขึ้นรถประจำทางหรือรถไฟ สวมมันเวลาคุณไปผับหรือไปช้อปปิ้ง และที่สำคัญ สวมมันมาคอนเสิร์ตของ U2 เวลาที่วงเล่นเพลง Walk On

เขากล่าวว่า ที่เขาทำเช่นนี้เพื่อย้ำเตือนและส่งสารผ่านใบหน้าของคนจำนวนหลายหมื่นคนที่สวมหน้ากากใบนี้ ว่าอองซานซูจียังมีชีวิตอยู่ ยังคงถูกจองจำ และยังรอคอยอิสรภาพจากการกักขังของรัฐบาลเผด็จการหทารพม่าอยู่ และเพื่อให้ทุกคนบนโลกนี้ไม่ลืมเธอและการต่อสู้ของเธอ

 

ในปี 2010 อองซานซูจีได้รับการปล่อยตัวให้เป็นอิสระจากการกักตัวของรัฐบาลเผด็จการทหารอย่างยาวนานนานกว่าสองทศวรรษ และพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (NLD) ของเธอ ชนะการเลือกตั้งในปี 2015 อองซานซูจี ได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และรัฐมนตรีประจำทำเนียบประธานาธิบดี

แต่หลังจากขึ้นสู่ตำแหน่งที่ปรึกษาของรัฐบาล อองซานซูจีกลับเปลี่ยนท่าทีหันมาสนับสนุนกองทัพ ทำให้เธอได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากหลายประเทศประชาธิปไตย และองค์กรเพื่อสิทธิมนุษยชนหลายแห่ง ในการเพิกเฉยต่อการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวโรฮีนจาในรัฐยะไข่ เธอปฏิเสธที่จะยอมรับว่าทหารของเมียนมาเป็นผู้รับผิดชอบการสังหารหมู่ในเหตุการณ์ดังกล่าว เธอถึงกับปรากฏตัวในศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเพื่อปกป้องกองทัพเมียนมาจากข้อกล่าวหาเรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวโรฮีนจา เธอถึงกลับกล่าวในการให้สัมภาษณ์ว่าเธอยังคงรักกองทัพของประเทศเธอ และยังกล่าวอีกว่า

“หลายคนอาจจะไม่ชอบที่ฉันพูดแบบนี้ มีหลายคนวิพากษ์วิจารณ์ฉันว่าเป็นสาวในโปสเตอร์โฆษณาของกองทัพ ฉันรู้สึกปลื้มมากที่ถูกมองว่าเป็นสาวในโปสเตอร์โฆษณาของอะไรสักอย่างในช่วงเวลานี้ของชีวิต เหตุผลที่ฉันรักกองทัพเมียนมา ก็เพราะฉันยังคงคิดว่ามันเป็นกองทัพของพ่อของฉัน”

เธอเผยว่าในขณะที่กองทัพทำเรื่องเลวร้ายในเมียนมา เธอก็หวังว่าสักวันหนึ่งพวกเขาจะสามารถไถ่บาปตัวเองได้ …เข้าทำนอง ‘เพราะรักจึงยอมไว้ใจ (และเอาหูไปนา เอาตาไปไร่)’ อะไรเทือกนั้น!

ด้วยท่าทีเช่นนี้ ทำให้อองซานซูจีถูกถอดถอนรางวัลด้านเสรีภาพสิทธิมนุษยชนคืนถึง 7 รางวัล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รางวัลทูตแห่งมโนธรรม รางวัลด้านสิทธิมนุษย์ชนสูงสุดขององค์กรแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ที่แสดงความผิดหวังต่อความล้มเหลวของอองซานซูจี ในการแสดงออกเพื่อปกป้องสิทธิมนุษยชนของเธอ แต่โชคยังเข้าข้างเธอ ที่คณะกรรมการรางวัลโนเบลมีมติว่าจะไม่ถอนรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพที่มอบให้เธอไปแล้ว

แน่นอนว่าคนที่เคยสนับสนุนเธอสุดตัวจนถึงขนาดแต่งเพลงให้อย่างโบโน่และวง U2 ย่อมต้องผิดหวังกับท่าทีเช่นนี้ของเธออย่างมาก ในเดือนพฤศจิกายน ปี 2017 พวกเขาออกแถลงการณ์ชื่อ ‘This, We never imagined…’ (เราไม่เคยคาดคิดเลยว่า…) ประณามการเพิกเฉยต่อการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวโรฮีนจาในรัฐยะไข่ของอองซานซูจีว่า

“เราไม่อาจคาดเดาได้เลยว่า ในวิกฤตที่ผู้คนกว่า 600,000 คน ต้องลี้ภัยจากกองทัพอันโหดร้ายด้วยความหวาดกลัว ผู้หญิงที่พวกเราหลายคนเชื่อว่าเธอจะออกมาพูดด้วยเสียงที่ดังและชัดเจนที่สุดต่อวิกฤตเช่นนี้จะเงียบกริบกับการกระทำอันโหดร้ายป่าเถื่อนต่อชาวโรฮีนจาที่เกิดขึ้นต่อหน้าเธอ สิ่งนี้ช่างสะเทือนใจและทำให้หัวใจเราแตกสลาย

เราอยากบอกเธอว่า ความรุนแรงและความหวาดกลัวที่ชาวโรฮีนจาเผชิญอยู่ตอนนี้เป็นเรื่องโหดร้ายป่าเถื่อนที่ควรจะต้องยุติลง ความเงียบของอองซานซูจี ไม่ต่างอะไรกับการยินยอมให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น ดังคำกล่าวของมาร์ติน ลูเธอร์ คิง ที่ว่า ‘โศกนาฏกรรมที่ร้ายแรงที่สุด ไม่ใช่การกดขี่และความโหดร้ายป่าเถื่อนของคนชั่ว หากแต่เป็นการเพิกเฉยปิดปากเงียบต่อเหตุการณ์เหล่านั้นโดยคนดี’ เวลาผ่านไปนานพอแล้วสำหรับเธอที่จะลุกขึ้นเปิดปากพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้”

อ่านแถลงการณ์ฉบับเต็มได้ที่ www.u2.com/news/title/this-we-never-imagined/news

 

กลับมาที่เพลง Walk On ครั้งหนึ่ง เพลงนี้เคยเป็นเพลงที่ผมรักมากที่สุดเพลงหนึ่ง ด้วยความที่เพลงจับใจผมทั้งคำร้อง ท่วงทำนอง เนื้อหา รวมถึงเรื่องราวของบุคคลผู้เป็นที่มาแห่งแรงบันดาลใจของเพลง

เพลงนี้เป็นเพลงที่ผมจำได้ขึ้นใจ เมื่อได้ยินเพลงนี้ดังขึ้นที่ไหน เมื่อไหร่ ผมจะหยุดนิ่งฟังด้วยความปีติดื่มด่ำ ผมรักมันมากจนเขียนบทความเกี่ยวกับเพลงนี้และเรื่องราวของเธอผู้เป็นแรงบันดาลใจของเพลงผู้นั้นขึ้นมา 

จนกระทั่งวันหนึ่ง บุคคลผู้เป็นแรงบันดาลใจของเพลงนี้ กลับเปลี่ยนไปจากคนที่เคยเผชิญหน้ากับเผด็จการ ต่อสู้เพื่อเสรีภาพและประชาธิปไตย กลายเป็นคนที่ไม่แยแสกับการถูกลิดรอนเสรีภาพ หรือแม้กระทั่งการทำร้ายทำลายชีวิตของเพื่อนร่วมชาติและเพื่อนร่วมโลก หรืออันที่จริงเธออาจไม่เคยเปลี่ยนไปเลยก็ได้ แต่อาจเป็นผมเองที่ไร้เดียงสาเกินไป 

อดนึกในใจไม่ได้ว่าหลังจากนั้นมา เวลาที่ผู้แต่งเพลงนี้อย่างโบโน่ร้องเพลงนี้ เขาอาจจะกลืนเลือดตัวเองที่กระอักออกมาไปด้วย เดาว่าความรู้สึกของเขาอาจไม่ต่างกับเบโธเฟน ตอนรู้ว่าแท้จริงแล้วนโปเลียนเป็นคนเช่นไร หลังจากที่เขาหลวมใจแต่งซิมโฟนีหมายเลขสามอุทิศให้

ครั้งหนึ่ง ผมเคยผิดหวังและหมดศรัทธาจนไม่อาจทนฟังเพลงนี้ได้อีกต่อไป ด้วยเนื้อหาและท่วงทำนองของเพลงที่เคยไพเราะและเปี่ยมแรงบันดาลใจไม่อาจจับหัวใจของผมได้อีกแล้ว เมื่อได้ยินเพลงนี้ที่ไหน ผมก็ปล่อยให้มันผ่านไปอย่างไม่แยแสสนใจ ผมถึงขนาดที่ตอนมีโอกาสรวมบทความเกี่ยวเพลงในภาพยนตร์เป็นหนังสือรวมเล่ม ผมตัดสินใจตัดบทความที่ผมเขียนเกี่ยวกับเพลงนี้ทิ้งไป

แต่เมื่อเวลาผ่านไป พอได้กลับมาฟังเพลงนี้อีกครั้ง ผมกลับรู้สึกว่าเพลงนี้ยังคงมีประกายอะไรบางอย่างที่จับใจผมอยู่ ผมพลันคิดได้ว่า ถึงคนที่เป็นแรงบันดาลใจของเพลงจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร แต่ตัวเพลงและเนื้อหาก็ยังคงเป็นเหมือนอย่างที่มันเคยเป็นอยู่ดี การกลับมาฟังเพลงนี้อีกครั้ง กระตุ้นเตือนให้ผมหันกลับมาถามตัวเองว่า เมื่อเราหมดศรัทธากับต้นตอแห่งแรงบันดาลใจหรือแม้แต่ศิลปินผู้สร้างสรรค์บทเพลงเพลงหนึ่ง หรือแม้แต่งานศิลปะชิ้นหนึ่ง เราจะยังทำใจรักบทเพลงหรืองานศิลปะเหล่านั้นต่อไปได้หรือไม่ ผมคิดว่าตอนนี้ผมให้คำตอบตัวเองได้แล้ว…

  

หลังจากพรรค NLD ภายใต้การนำของอองซานซูจีชนะการเลือกตั้งเป็นครั้งที่สอง ในเดือนพฤศจิกายนปี 2020 ที่ผ่านมา ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2021 อองซานซูจีและผู้นำรัฐบาลหลายคนถูกทหารเมียนมาจับกุม หลังจากกองทัพประกาศว่าผลการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาเป็นการฉ้อโกง และประกาศรัฐประหารยึดอำนาจรัฐบาล 

นี่คือสิ่งที่รัฐบาลเผด็จการทหารตอบแทนความรักที่อองซานซูจีมีให้พวกเขา เราไม่อาจคาดเดาความรู้สึกของเธอในตอนนี้ได้ ว่าเธอจะผิดหวัง หรือยังคงรักมั่นในกองทัพร่วมชาติของเธอ และหวังว่าพวกเขาจะกลับตัวกลับใจได้ สักวันหนึ่ง 

แต่สำหรับผม เหตุการณ์นี้ตอกย้ำให้ยิ่งมั่นใจเหลือเกินว่า เผด็จการเป็นสิ่งมีชีวิตและระบอบการเมืองที่เราไม่ควรรักใคร่ ไว้ใจ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่ควรสนับสนุนอย่างเด็ดขาด

 

อ้างอิง

https://en.wikipedia.org/wiki/Aung_San_Suu_Kyi

https://www.bbc.com/thai/55882563

https://www.one31.net/news/detail/6059

https://www.bbc.com/news/uk-21217884

https://en.wikipedia.org/wiki/Walk_On_(U2_song)

https://www.theguardian.com/world/2018/aug/30/aung-san-suu-kyi-wont-be-stripped-of-nobel-peace-prize-despite-rohingya-crisis

Tags: , ,