ในที่สุด ชาวไทยก็ได้เห็นหน้าค่าตาคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจของ อนุทิน ชาญวีรกูล โดยสมบูรณ์ ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ว่า ‘ดีกว่าที่คิด’ เพราะมีคนนอก มีมืออาชีพเข้าร่วมจำนวนมาก โดยเฉพาะชื่อที่ฮือฮามากที่สุดคือ ชื่อของ ศุภจี สุธรรมพันธุ์ CEO ของดุสิตธานี ที่มานั่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์

อย่างไรก็ตาม แม้ในบรรดาคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจทั้งหมดจะมีมืออาชีพทั้งสิ้น 4 คน แต่ที่เหลือยังเป็นส่วนผสมที่หลายคนออกเสียง ‘ยี้’ จากพรรคกล้าธรรม จากพรรครวมไทยสร้างชาติ และจากพรรคของอนุทินอย่างพรรคภูมิใจไทยเอง

คำถามก็คือทั้งเสียงที่คนชื่นชมและเสียงที่คน ‘ยี้’ นั้น โจทย์ใหญ่เรื่องเศรษฐกิจที่รัฐมนตรีเหล่านี้ต้องแก้มีเรื่องอะไรบ้าง

คนนอก

1. เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

2. วรภัค ธันยาวงษ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง

เรื่องสำคัญคือการกระตุ้นรายจ่าย ผ่านโครงการ ‘คนละครึ่ง’ รอบใหม่ ที่รัฐบาลชุดนี้จะปัดฝุ่นกลับมาใช้ใหม่ เป็น 60:40 สำหรับผู้ที่ยื่นภาษีเงินได้ และ 50:50 สำหรับผู้ที่ไม่ได้ยื่นภาษี โดยหวังกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศ ฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานราก และช่วยผู้ค้าขายรายย่อยให้ได้ลืมตาอ้าปากขึ้นบ้างในช่วงเศรษฐกิจฝืดเคือง 

อีกเรื่องใหญ่คือการรับมือภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ของ โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ที่ยังจะส่งผลกระทบรุนแรงกับโลกต่อไป และยังต้องเตรียมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม

ขณะเดียวกันยังไม่นับรวมปัญหาหนี้สาธารณะของไทย ปัจจุบันหนี้สาธารณะประเทศเราอยู่ที่ราว 16-17 ล้านล้านบาท คิดเป็นเกือบ 65-67% ของ GDP ใกล้ชนเพดานวินัยการเงินการคลัง รวมถึงปัญหา ‘ความสามารถในการแข่งขัน’ ที่ไทยอ่อนเปลี้ย ยากจะสู้กับประเทศอื่นๆ ในกลุ่มเดียวกัน

3. ศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์

ต่อเนื่องจากกระทรวงการคลัง โจทย์ใหญ่ของกระทรวงพาณิชย์คือ การช่วยบรรดา SME ไทยในการรับมือกับภาษีทรัมป์ที่อยู่ในอัตรา 19% เช่นกัน ขณะเดียวกัน ยังคงต้องฟื้นการเจรจา FTA ไทย-สหภาพยุโรป ที่จะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยขยายโอกาสทางการค้าการลงทุนระหว่างกัน

ทั้งหมดนี้ยังไม่รวมถึงความสามารถส่วนตัวของศุภจีในการเปิดตลาดใหม่ๆ พาสินค้าไทย พาธุรกิจไทยออกไปตีตลาดโลก ซึ่งเชื่อว่าศุภจีจะนำทักษะในช่วงการบริหารดุสิตธานี มาใช้เต็มที่ที่กระทรวงพาณิชย์

ทั้งหมดนี้คงเหลือเพียงศุภจีที่มาจากภาคเอกชน จะสามารถเข้ากับระบบราชการไทยได้หรือไม่ และถึงที่สุด 4 เดือนจะเพียงพอไหม

4. อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน

ในวันรับตำแหน่งนายกฯ อนุทินประกาศชัดว่า เรื่องสำคัญของกระทรวงพลังงานคือ การ ‘ลดค่าพลังงาน’ เพื่อช่วยลดรายจ่ายให้กับประชาชนและเป็นนโยบายที่พรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่เพิ่งเข้าเรือนจำประกาศไว้ว่า จะลดค่าไฟให้เหลือหน่วยละ 3.70 บาทให้ได้ 

อย่างไรก็ตามปัญหาใหญ่ของค่าไฟฟ้าคือ การจัดการกับ ‘ทุนผูกขาด’ ที่มีอำนาจเหนือกระทั่งการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และเหนือกระทรวงพลังงานมาก่อนหน้า

ก่อนหน้านี้ทุนใหญ่พยายามเปลี่ยนเอา พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ออกจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ทว่าไม่ประสบความสำเร็จ เพราะรัฐบาลแพทองธารจำเป็นต้องรักษาเสียง สส.เดิม รวมถึงกลุ่มพีระพันธุ์ เอาไว้ให้อยู่ร่วมรัฐบาลให้ได้มากที่สุด ภายหลังเขี่ยพรรคภูมิใจไทยออก

มาวันนี้กลุ่มทุนเดิมก็ยังไม่ประสบความสำเร็จอยู่ดี โควตากระทรวงพลังงานถูกแชร์ให้อรรถพลแทน ซึ่งก็มีข่าวว่ากลุ่มทุนกลุ่มเดียวกันไม่ค่อยโอเคเท่าไร

ต้องติดตามว่า ในห้วงเวลา 4 เดือน อรรถพล อดีตซีอีโอของ ปตท. จะวางรากฐาน ปรับโครงสร้างราคาพลังงานได้หรือไม่ หรือจะทำได้เพียงงานรูทีน 

ฟาก ‘การเมือง’ กลุ่ม ‘ยี้’ 

1. ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

อันที่จริงร้อยเอกธรรมนัสเป็นตัวเปลี่ยนเกม เมื่อนำพรรคกล้าธรรมข้ามขั้ว จากฝั่งพรรคเพื่อไทย มาสนับสนุนอนุทินเป็นนายกฯ ทำให้ฟากเพื่อไทยไม่สามารถเดินเกมต่อ ไม่สามารถเสนอแคนดิเดตนายกฯ ได้อย่างใจคิด

ร้อยเอกธรรมนัส หนึ่งในรัฐมนตรีที่ร่ำรวยมากที่สุด รับผิดชอบกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ต่อเนื่อง โดยเป็นโควตาของฝั่งร้อยเอกธรรมนัสนับตั้งแต่รัฐบาล เศรษฐา ทวีสิน เมื่อ 2 ปีที่แล้ว กระนั้นเองปัญหาสินค้าเกษตรฯ ยังคงเหมือนเดิม ตั้งแต่ราคาผลผลิตทางการเกษตรตกต่ำ เกษตรกรไทยยังพึ่งพาผลผลิตการเกษตรเชิงเดี่ยวจำพวกข้าว มันสำปะหลัง ปาล์ม ที่ทำอย่างไรก็ไม่สามารถควบคุมราคาได้ น้ำท่วม น้ำแล้ง เป็นปัญหาโครงสร้างใหญ่ ที่ต้องการการ ‘รื้อใหญ่’ ทว่าที่ผ่านมากระทรวงเกษตรฯ ทำได้เพียง ‘ปะผุ’ เพราะไม่เคยมีนโยบายต่อเนื่อง 

และแน่นอนว่า 4 เดือนนี้ ร้อยเอกธรรมนัสคงไม่สามารถปฏิรูปโครงสร้างการเกษตรได้ ทำได้เพียงเก็บคะแนนเสียง ช่วยชาวบ้านในพื้นที่ของพรรคกล้าธรรม และสร้างฐานเสียงใหม่ๆ ผ่านโครงการช่วยเหลือ ‘แหล่งน้ำ’ ทางการเกษตร

แต่เชื่อเถิดว่า ถ้าในการเลือกตั้งรอบหน้า พรรคกล้าธรรมยังได้ ‘เสียง’ ในระดับเดิม พรรคนี้ก็จะต่อรองจนได้เก้าอี้กระทรวงเกษตรฯ อีก

2. ไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม

ไชยชนก สส.บุรีรัมย์ สมัยแรก เคยสร้างความฮือฮาด้วยการประกาศชื่อพ่อ-ชื่อแม่ กลางสภาผู้แทนราษฎร พร้อมประกาศว่า ไม่เห็นด้วยกับการสร้างคาสิโน จนอนุทินบอกว่า เป็นความเห็นส่วนตัวของไชยชนก ไม่เกี่ยวกับจุดยืนพรรค 

นอกจากจะเป็น สส.ครั้งแรก ครั้งนี้อดีตเกมเมอร์อย่างเขาจะได้เป็นรัฐมนตรีครั้งแรกในวัยเพียง 35 ปี ครบอายุที่จะเป็นรัฐมนตรีได้พอดี นั่งคุมกระทรวงใหญ่ กระทรวงที่คุมโครงสร้างพื้นฐานแห่งโลกอนาคต มีภารกิจดูแลเรื่องซับซ้อนในโลกสมัยใหม่ ทั้งเรื่องปัญญาประดิษฐ์ (AI) การแก้ปัญหาคอลเซนเตอร์ การบริหารจัดการแพลตฟอร์มข้ามชาติ การดันไทยให้เป็น Data Center แข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้าน

3. พิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม

อันที่จริง พิพัฒน์ถือเป็นรุ่นใหญ่ในพรรคภูมิใจไทย ในยุค พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา พิพัฒน์เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ครั้งนี้ เมื่อ ศักดิ์สยาม ชิดชอบ อันตรธานด้วยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ และพลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ วางมือทางการเมืองไปแล้ว ก็ถือเป็นหน้าที่ของนายทุนของรุ่นใหญ่อย่างพิพัฒน์ในการนั่งเป็นเจ้ากระทรวงคมนาคมเสียที

ว่ากันที่จริง ในขณะที่พิพัฒน์นั่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ก็อยู่ในลักษณะความชั่วไม่มี ความดีไม่ปรากฏ เรื่องใหญ่ๆ อย่างค่าแรง 400 บาท ก็ไม่สามารถผลักดันได้ หากจะมีข้อดีอยู่บ้างก็คือ เขายังยอมรับผลสอบเรื่องที่กองทุนประกันสังคมซื้ออาคาร SKYY9 Certre ว่ามีความผิดปกติจริงและเร่งสอบสวนเอาผิดข้าราชการต่อไป

รอบนี้การเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เผือกร้อนในมือเป็นต้นว่า การสรุปจบโครงการรถไฟฟ้า 3 สนามบิน, การเร่งเครื่องโครงการรถไฟความเร็วสูงที่แสนล่าช้า, โครงการก่อสร้างมอเตอร์เวย์หลายแห่งที่ช้ากว่ากำหนดเช่นกัน ไปจนถึงเรื่องที่เล็กลงมาอย่างการก่อสร้างถนน-ทางพิเศษ บนถนนพระราม 2 ที่จนถึงวันนี้ก็ยังเป็นปัญหาอย่างต่อเนื่อง

กระทรวงคมนาคมในยุคพรรคเพื่อไทยยังมีโครงการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายที่ ‘เกือบสำเร็จ’ เพราะมีเจตจำนงแน่วแน่ ดันกฎหมายผ่านแล้ว เพียงแค่สุดท้ายอนุทินตัดสินใจ ‘เบรก’ ต้องติดตามว่านโยบายในการลดค่าโดยสารรถไฟฟ้าในมือพรรคภูมิใจไทยจะเป็นอย่างไร

4. ธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม

รับไม้ต่อจากรัฐมนตรี เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ จากพรรคเดียวกัน (แต่อยู่คนละข้างกัน) ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่อดีตนักข่าวอย่าง ‘ดร.แด๊ก’ จะได้สวมหมวกคุมกระทรวงเศรษฐกิจ ที่มีหน้าที่รับผิดชอบเรื่องใหญ่ ตั้งแต่การผลักดันอุตสาหกรรมสีเขียว การพัฒนากำลังคนด้านอุตสาหกรรม การต่อสู้กับอุตสาหกรรม ‘จีนเทา’ ปัญหาเรื้อรังตั้งแต่ยุคที่ ‘ลุงตู่’ สุดที่รักของธนกรยังเป็นนายกฯ

ธนกรมาในโควตาของกลุ่ม 16 ที่ว่ากันว่า ‘ทุนใหญ่’ อยู่เบื้องหลัง พร้อมๆ กับ เสี่ยเฮ้ง-สุชาติ ชมกลิ่น ที่ไปนั่งเป็นรองนายกฯ ควบกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เส้นทางทางการเมืองของธนกร จากคนติดตาม สมศักดิ์ เทพสุทิน วันนี้จึงน่าตื่นตาตื่นใจ เมื่อเขาใช้เวลาในการเติบโตอย่างรวดเร็ว จากการเป็นโฆษกรัฐบาลยุคพลเอกประยุทธ์ เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ช่วงท้ายรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ กระทั่งวันนี้ ที่ได้นั่งเป็นรัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจในที่สุด

5. อรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

ภารกิจสำคัญคือต้องติดตามว่า อรรถกร สส.ฉะเชิงเทรา ลูกรักของร้อยเอกธรรมนัส จะสานต่อนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ของพรรคเพื่อไทยหรือไม่-อย่างไร กระทรวงการท่องเที่ยวฯ ในยุคเพื่อไทย พยายามผลักดันหลายเรื่อง ทั้งการจัดมหกรรมคอนเสิร์ต Tomorrowland การแข่งขันรถ F1 แต่เรื่องใหญ่กว่านั้นคือ การพยายามดึงนักท่องเที่ยวที่หายไปจากระบบ ทั้งนักท่องเที่ยวไทยที่มีกำลังซื้อลดลง และนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาในประเทศไทยพลาดเป้า ให้กลับมาเที่ยวไทยมากขึ้นในช่วงไฮซีซัน

กระทรวงการท่องเที่ยวฯ ยังมีบทบาทสำคัญในการจัดแข่งขันกีฬาซีเกมส์ที่ไทยเป็นเจ้าภาพช่วงปลายปี ซึ่ง ณ ขณะนี้เงียบมาก และยังมีความไม่พร้อมในหลายอย่าง

ต้องติดตามว่ารัฐมนตรีคนหนุ่ม หน้าใหม่ จะรับเผือกร้อนเหล่านี้ไหวแค่ไหน

Tags: , , , , , , , ,