ในวันที่ใครๆ ก็อยากได้ของแบบ สั่งเช้า ได้บ่าย หรืออย่างช้า พรุ่งนี้ถึง โลกของบริการโลจิสติกส์จึงกลายเป็นสนามรบเวอร์ชันชีวิตจริง ที่ไม่ได้วัดกันแค่ความเร็วของรถหรือโดรน แต่หมายถึงการวางกลยุทธ์ เชื่อมเทคโนโลยี และจัดการระบบหลังบ้านอย่างแม่นยำที่สุด เพื่อคว้าหัวใจผู้บริโภคยุค Instant Gratification ที่ความช้าคือความพ่ายแพ้
ในบทความนี้จะพาไปรู้จักแบรนด์โลจิสติกส์จาก 3 ประเทศที่มีความท้าทายแตกต่างกันสุดขั้ว ได้แก่ จีน เกาหลีใต้ และอินเดีย แต่มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ ไม่ยอมแพ้เรื่องไว ตั้งแต่การวิ่งแข่งกับเวลาในเมืองใหญ่อย่างเซี่ยงไฮ้ ไปจนถึงการฝ่าการจราจรระดับตำนานในเดลี และการส่งของแบบ on-demand ในสังคมดิจิทัลขั้นสุดอย่างโซล แบรนด์เหล่านี้กำลังเปลี่ยนความเร็วให้กลายเป็นอาวุธสำคัญของการแข่งขันในสมรภูมิที่ไม่มีใครอยากหลุดจากเกม
JD Logistics เมื่อการส่งของกลายเป็นยุทธศาสตร์ระดับชาติ
ท่ามกลางสมรภูมิของโลกอีคอมเมิร์ซจีน ความเร็วไม่ใช่แค่จุดขาย แต่คือโครงสร้างหลักของทั้งระบบธุรกิจ และ JD Logistics ก็คือหนึ่งในตัวอย่างชั้นดีที่ยกระดับการส่งของให้กลายเป็นอาวุธชิ้นสำคัญของการแข่งขัน
ในฐานะบริษัทโลจิสติกส์ในเครือของ JD.com แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซเบอร์ต้นของจีน JD Logistics เลือกเดินเกมในรูปแบบ Asset Heavy ซึ่งตรงข้ามกับโมเดลเบาๆ แบบแพลตฟอร์มที่แค่เชื่อมผู้ขายกับผู้ซื้อ พวกเขาลงทุนสร้างคลังสินค้าเองทั่วประเทศกว่า 1,600 แห่ง สร้างระบบคัดแยก-กระจายสินค้าของตัวเอง จ้างพนักงานจัดส่งแบบประจำ และพัฒนาเทคโนโลยีอัตโนมัติแบบจัดเต็ม ทั้งหุ่นยนต์จัดเรียงสินค้า หุ่นยนต์คัดแยกของ ไปจนถึงระบบคลังแบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบ
ในโลกที่หลายประเทศยังอยู่ในเฟสทดลองใช้ หุ่นยนต์ JD Logistics กลับล้ำหน้าไปอีกขั้น ด้วยการทำให้ระบบ Automation เป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการจริงในหลายไซต์ ไม่ใช่แค่โชว์เพื่อโปรโมต แต่คือการใช้งานจริงที่เพิ่มทั้งความเร็ว ความแม่นยำ และลดต้นทุนได้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ห่างไกล JD ยังพัฒนาโดรนส่งของ สำหรับช่วง Last-mile Delivery ที่สามารถบินข้ามภูเขาหรือเข้าถึงหมู่บ้านที่ไม่มีทางรถได้ง่ายๆ ด้วย
ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพราะ JD อยากเป็นเจ้าเทคโนโลยี แต่เพราะพวกเขาเชื่อว่า การควบคุมตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำคือกุญแจสำคัญของการส่งไวแบบไม่มีสะดุด และนั่นคือวิธีที่พวกเขาไม่ยอมแพ้ในสงครามความเร็วครั้งนี้
การเติบโตและการลงทุนเชิงรุกของ JD Logistics
ด้วยรากฐานที่แข็งแกร่งและวิสัยทัศน์ที่มุ่งเน้นประสิทธิภาพและเทคโนโลยี JD Logistics มั่นใจว่า จะสามารถสร้างการเติบโตเป็นตัวเลขสองหลักได้ในปี 2025 โดยในไตรมาสแรกของปี 2025 บริษัทได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่โดดเด่นด้วยกำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นถึง 89% แตะระดับ 451 ล้านหยวน (ประมาณ 62.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) พร้อมกับ รายได้ที่เพิ่มขึ้น 11% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า รวมเป็น 4.7 หมื่นล้านหยวน (ประมาณ 6,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ)
บริษัทมีแผนเชิงรุกในการ ขยายบริการโลจิสติกส์ระดับพรีเมียม โดยอาศัยมาตรการอุดหนุนการค้าในจีนและความต้องการที่เพิ่มขึ้น สำหรับการจัดส่งและติดตั้งเครื่องใช้ในบ้าน ซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนรายได้ที่สำคัญ JD Logistics ยังคงเน้นการวางตำแหน่งทางการตลาดระดับพรีเมียมในตลาดที่มีการแข่งขันสูง โดยได้รับการสนับสนุนจากการลงทุนมหาศาลในโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีล้ำสมัย เช่น 5G, AI และ Big Data เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินงานให้ดียิ่งขึ้นไปอีก การสนับสนุนจากรัฐบาลในรูปแบบของเงินอุดหนุน ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยกระตุ้นการเติบโต ปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน และช่วยลดต้นทุนการขนส่งลงได้อีกด้วย ความมุ่งมั่นในการพัฒนาไม่หยุดยั้ง สะท้อนได้จากการเปิดตัวบริการจัดส่งด่วนไปยัง 23 ประเทศ ทั่วโลก รวมถึงการลงทุนในกองทุนโลจิสติกส์และหุ่นยนต์จัดส่งแบบไร้สัมผัส ซึ่งตอกย้ำถึงความพร้อมของ JD Logistics ในการเป็นผู้นำด้านโลจิสติกส์แห่งอนาคต
Coupang ยักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซแห่งเกาหลีใต้ กับบริการ Rocket Delivery ที่เปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคทั้งประเทศ
Coupang คือแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซอันดับหนึ่งในเกาหลีใต้ ที่ผู้คนแทบทุกครัวเรือนรู้จักและใช้งาน ด้วยบริการอันเป็นเอกลักษณ์อย่าง Rocket Delivery ที่ให้คำมั่นว่า “สั่งดึกแค่ไหน พรุ่งนี้เช้าก็ได้ของ” แนวคิดนี้ไม่เพียงเปลี่ยนพฤติกรรมการช็อปปิงของผู้บริโภค แต่ยังกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซในประเทศ
Coupang เริ่มต้นในปี 2010 โดย บอม คิม (Bom Kim) ผู้ก่อตั้งชาวเกาหลี-อเมริกัน ซึ่งตอนแรกตั้งใจทำแพลตฟอร์มดีลแบบ Groupon ก่อนจะตัดสินใจพลิกโฉมธุรกิจสู่โมเดลอีคอมเมิร์ซเต็มรูปแบบ และกลายเป็นหนึ่งในบริษัทเทคโนโลยีระดับยูนิคอร์นของเกาหลีใต้
ภายในเวลาไม่ถึง 15 ปี Coupang สามารถขยายฐานผู้ใช้งานได้อย่างรวดเร็ว ปัจจุบันมีสมาชิกโปรแกรม Rocket WOW มากกว่า 14 ล้านคน หรือประมาณ 2 ใน 3 ของครัวเรือนเกาหลีใต้ และมีผู้ใช้งานประจำเกือบครึ่งของประชากรทั้งประเทศ สะท้อนให้เห็นถึงการเข้าถึงและความนิยมที่ลึกซึ้งในชีวิตประจำวันของผู้คน
สิ่งที่ทำให้ Coupang แตกต่างจากแพลตฟอร์มอื่นอย่างชัดเจนคือ กลยุทธ์การผสานระบบตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง โดยบริษัทเลือกลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์และเทคโนโลยีอย่างเต็มที่ แทนที่จะพึ่งพาพาร์ตเนอร์ภายนอก
– คลังสินค้ากว่า 100 แห่งกระจายทั่วประเทศ ทำให้ประชากรเกือบ 70% อยู่ห่างจากศูนย์กระจายสินค้าของ Coupang ไม่เกิน 11 กิโลเมตรช่วยให้สามารถจัดส่งสินค้าภายในวันเดียวหรือข้ามคืนได้จริง
– ระบบขนส่งเป็นของตัวเองทั้งหมด ตั้งแต่การจัดเก็บ คัดแยกสินค้า ไปจนถึงการจัดส่งถึงบ้านลูกค้า โดยใช้เทคโนโลยี AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเส้นทางและลดต้นทุน
– พนักงานจัดส่งที่เป็นพนักงานประจำ หรือที่เรียกว่า Coupang Friends ต่างจากแพลตฟอร์มทั่วไป ที่ใช้คนขับแบบ Gig Economy (ระบบเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยการจ้างงานแบบชั่วคราว) พนักงานของ Coupang มีสวัสดิการเต็มรูปแบบ ทั้งประกันสังคม วันลาพักผ่อน และโครงการดูแลสุขภาพที่ให้เวลาหยุดงาน เพื่อเข้ารับคำปรึกษาด้านสุขภาพโดยเฉพาะ
กลยุทธ์นี้ไม่เพียงสร้างความน่าเชื่อถือในบริการจัดส่งที่รวดเร็วและแม่นยำ แต่ยังสร้างป้อมปราการทางธุรกิจ (Economic Moat) ที่เป็นกำแพงกั้นไม่ให้คู่แข่งรายอื่นเข้ามาแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดได้ง่ายๆ เพราะการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่เช่นนี้ใช้ทั้งเวลา เงินทุน และความสามารถในการบริหารจัดการที่สูง
ทำให้ Coupang เติบโตอย่างก้าวกระโดดด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) สูงถึง 43% ระหว่างปี 2018-2023 และในปี 2023 บริษัทก็สามารถสร้างกำไรได้เป็นครั้งแรกหลังจากลงทุนมานานหลายปี รายได้รวมในปีเดียวพุ่งสูงถึง 2.44 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ กลายเป็นตัวอย่างสำคัญของบริษัทเทคโนโลยีที่สามารถเบิร์นเงินอย่างมียุทธศาสตร์ เพื่อปูทางสู่ความยั่งยืนระยะยาว
ทั้งนี้ Coupang ไม่ได้เป็นเพียงแค่แพลตฟอร์มขายของออนไลน์ แต่คือบริษัทที่มองเห็นปัญหาเชิงระบบของอีคอมเมิร์ซ และเลือกที่จะสร้างระบบของตัวเองขึ้นมาตั้งแต่ศูนย์ ทั้งคลังสินค้า การจัดส่ง เทคโนโลยี และบุคลากร ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้ Coupang ส่งมอบประสบการณ์ที่รวดเร็ว แม่นยำ และน่าเชื่อถือ จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของผู้บริโภคชาวเกาหลีใต้
ไม่เพียงเท่านั้น โมเดลธุรกิจของ Coupang ยังเป็นตัวอย่างให้เห็นว่า ความสำเร็จในตลาดอีคอมเมิร์ซไม่ได้มาจากแค่ราคาถูกหรือสินค้าหลากหลาย แต่ต้องมาพร้อมโครงสร้างที่พร้อมรองรับประสบการณ์ผู้บริโภคในแบบที่เหนือกว่าจริงๆ
Blinkit ยักษ์ใหญ่ Quick Commerce แห่งอินเดียที่โตเร็วด้วยความเร็วแสง
ตลาด Quick Commerce ในอินเดียกำลังร้อนแรงแบบไม่หยุดพัก และหนึ่งในผู้เล่นที่โดดเด่นที่สุดในสมรภูมินี้คือ Blinkit ซึ่งปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม Zomato จากข้อมูลช่วงกลางปี 2024 ถึงต้นปี 2025 Blinkit ครองส่วนแบ่งตลาดสูงถึง 45–46% ครองตำแหน่งเบอร์หนึ่งด้านบริการส่งของชำและของใช้จำเป็นภายในไม่กี่นาที
อะไรทำให้ Blinkit กลายเป็นแบรนด์ที่คนอินเดียเรียกใช้เวลาของหมดที่บ้าน มาดูเบื้องหลังความสำเร็จที่ไม่ใช่แค่เรื่องของความเร็ว และกลยุทธ์ที่ขับเคลื่อนให้ Blinkit โตเร็วด้วยความเร็วแสง
1. เครือข่าย Dark Stores ครอบคลุมทั่วเมืองหลัก
Blinkit สร้างคลังสินค้าแบบ Dark Store (ไม่ได้เปิดรับลูกค้า แต่ไว้แพ็กของและจัดส่งโดยเฉพาะ) กระจายอยู่ทั่วเมืองใหญ่ โดยออกแบบให้ใกล้แหล่งที่อยู่อาศัยมากที่สุด เพื่อให้จัดส่งได้ภายใน 10–20 นาที การขยายจุดจัดส่งเหล่านี้ถือเป็นหัวใจหลักของการลดเวลา และครอบคลุมพื้นที่มากขึ้น
2. ได้แรงหนุนจาก Zomato ทั้งเงินทุนและเทคโนโลยี
หลังควบรวมกับ Zomato ทำให้ Blinkit มีเงินลงทุนสำหรับขยายสโตร์และพัฒนาเทคโนโลยีต่อเนื่อง ที่สำคัญยังได้เข้าถึงฐานผู้ใช้เดิมของ Zomato และระบบโลจิสติกส์ที่แข็งแกร่ง
3. โฟกัสที่ประสิทธิภาพ มากกว่าการแจกส่วนลด
ต่างจากคู่แข่งบางเจ้า Blinkit ไม่เน้นเผาเงินแข่งราคา แต่ให้ความสำคัญกับการลดต้นทุนการดำเนินงาน ตั้งแต่การจัดซื้อ การจัดการคลังสินค้า ไปจนถึงการจัดส่ง เพื่อให้สามารถทำกำไรได้จริง โดยเฉพาะกำไรส่วนเกินที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
4. ใช้ AI ช่วยจัดการหลังบ้านแบบเรียลไทม์
Blinkit ลงทุนในระบบ AI และ Machine Learning เพื่อคาดการณ์ความต้องการสินค้า วางแผนสต็อก และปรับเส้นทางการจัดส่งแบบเรียลไทม์ ช่วยให้จัดของไว ส่งของเร็ว และลดต้นทุน
5. ดันยอดสั่งซื้อต่อครั้งให้สูงขึ้น (AOV)
Blinkit รักษาค่าเฉลี่ยการสั่งซื้อ (Average Order Value: AOV) ให้อยู่ในระดับสูงกว่าคู่แข่ง ด้วยการแนะนำสินค้าเพิ่มเติมระหว่างเลือกซื้อ และเพิ่มหมวดสินค้าใหม่ที่มีราคาสูงขึ้น เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขนาดเล็กหรือของขวัญ
6. ตอกย้ำภาพแบรนด์ ‘ของหมดเมื่อไร เรียกเราได้เลย’
Blinkit สื่อสารชัดว่าเป็นแอปฯ สำหรับ Last-minute needs ไม่ใช่แค่ร้านขายของ แต่คือผู้ช่วยในทุกสถานการณ์เร่งด่วน เช่น น้ำยาล้างจานหมดตอนตีหนึ่ง หรือต้องการเค้กวันเกิดแบบด่วนๆ
ด้วยฐานทุนที่แข็งจาก Zomato บวกกับการกลยุทธ์ที่ชัดเจนในการควบคุมต้นทุนและเพิ่มมูลค่าการสั่งซื้อ Blinkit กำลังสร้างภาพธุรกิจ Quick Commerce ที่ไม่ได้มีแต่เร็ว แต่ต้องรอด และทำกำไรได้ แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องจับตาคู่แข่งอย่าง Zepto และ Swiggy Instamart ที่ต่างก็ไล่จี้แบบไม่ยอมแพ้ ในตลาดที่เปลี่ยนทุกนาที Blinkit จะรักษาความเร็วและความแกร่งได้ต่อไปหรือไม่ ต้องติดตามกันต่อไป
ในสมรภูมิที่ความเร็วคือทุกสิ่ง ผู้ให้บริการทั้ง 3 รายที่กล่าวไปนั้นแสดงให้เห็นว่า การเร็วอย่างมีระบบ คือสูตรสำเร็จที่ทำให้พวกเขาไม่เพียงครองใจผู้บริโภค แต่ยังครองอันดับหนึ่งในตลาดที่ไม่มีใครยอมรอกันแม้แต่วินาทีเดียว
อ้างอิง
https://quartr.com/insights/edge/how-coupang-conquered-south-korean-ecommerce
https://www.techinasia.com/news/jd-logistics-confident-achieving-doubledigit-growth-2025
Tags: ธุรกิจขนส่ง, JDLogistics, Coupang, Blinkit, ขนส่ง, ส่งด่วน, ธุรกิจ, Business, โลจิสติกส์