เวลาพูดถึงอาหารเช้าบนเตียง ผมจะนึกถึงเช้าวันหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว เมื่อพาน้องสาวไปเที่ยว โดยค้างคืนในรีสอร์ทห้าดาวแห่งหนึ่ง และเราก็นึกสนุก ไม่ได้ลงไปกินอาหารเช้าในห้องอาหาร แต่สั่งอาหารเช้าโดยการทำเครื่องหมายบนการ์ด แล้วนำไปแขวนไว้หน้าห้อง

ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือ เมื่อถึงเวลาเช้า เราลืมตื่น อาหารเช้าจึงมาถึงทั้งที่ยังงัวเงีย มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น เมื่อไปเปิดประตู พนักงานก็เข็นรถเข็นที่มีอาหารเช้าเต็มปรี่มาเสิร์ฟถึงเตียง

ประเด็นก็คือ – ยังไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลย ดังนั้น อาหารเช้าที่ควรจะหรูหราแสนสบายเหมือนที่เห็นในหนังฮอลลีวู้ด จึงดูอิหลักอิเหลื่อประดักประเดิดยิ่งนัก ทำให้สาบานกับตัวเองตั้งแต่นั้นมาว่าให้ลงไปกินอาหารเช้าที่ห้องอาหารน่าจะดีกว่า

ในปี 1952 เคยมีภาพถ่ายมาริลีน มอนโร ตีพิมพ์ในนิตยสารฉบับหนึ่ง เป็นภาพเธอกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง ร่างของเธอมีผ้าสีขาว คล้ายเป็นผ้าปูที่นอนห่มคลุมอยู่ ทว่าคลุมแทบไม่มิดร่าง ความเซ็กซี่ของเธอฉายฉานออกมาชัดเจนยิ่ง ภาพชุดนั้นมีหลายเวอร์ชั่น ทั้งที่เธอมองกล้อง ไม่มองกล้อง ทั้งที่กำลังตอกไข่ใส่ลงไปในนมหรือกำลังกัดกินแครอท

ช่างภาพที่ถ่ายภาพนั้นคือ อังเดร เดอ ดีเนส (Andre de Dienes) ถ่ายให้กับนิตยสาร Pageant แต่ไม่ว่าจะเป็นภาพในเวอร์ชั่นไหน สิ่งสำคัญกว่าความเซ็กซี่ของมาริลีน มอนโร (อย่างน้อยก็ในสายตาของผม!) ก็คือสิ่งที่วางอยู่ข้างกายของเธอ

สิ่งนั้นก็คือ – อาหารเช้า

ใช่ – มันคืออาหารเช้าบนเตียง!

ภาพลักษณ์ของอาหารเช้าบนเตียงคือความหรูหรา คนส่วนใหญ่นึกภาพคนรับใช้นำถาดอาหารที่มักทำจากเงินมาเสิร์ฟให้กษัตริย์หรือราชินีถึงแท่นบรรทม มีการแหวกพระวิสูตรผืนใหญ่เพื่อให้แสงสว่างส่องสาดเข้ามา แล้วอาหารเช้าก็จะถูกจัดการในอีกไม่นานหลังจากนั้น

สำหรับคนทั่วไป อาหารเช้าบนเตียงบ่งบอกถึงความ ‘ไม่รีบ’ แปลว่าผู้ที่กินอาหารเช้าบนเตียงได้ จะต้องเป็นคนที่มีความสามารถพอจะใช้เวลาได้โดยไม่ต้องเด้งตัวจากที่นอน สวาปามใดๆ ก็ได้ใส่ในปาก เพื่อจะรีบรุดเดินทางไปทำงาน ดังนั้น หากอาหารเช้าบนเตียงจะเกิดขึ้น จึงมักต้องเป็นวาระพิเศษ กระทั่งวันหยุดทั่วไปเช่นเสาร์อาทิตย์ ร้อยทั้งร้อยก็ไม่มีใครกินอาหารเช้าบนเตียง เว้นเสียแต่คุณจะอยู่ในวัฒนธรรมตะวันตก และวันนั้นเป็นวันพิเศษจริงๆ เช่น วันพ่อหรือวันแม่ ที่ลูกๆ นัดแนะกันตื่นแต่เช้าไปทอดแพนเค้กมาให้พ่อแม่กินถึงเตียงนอน

แต่ก็อีกนั่นแหละ – อาหารเช้าบนเตียงประเภทที่ลูกๆ ทำให้พ่อแม่ ก็มักจะเป็นอาหารเช้าประเภทแพนเค้กไหม้ ไข่ออมเล็ตไม่สุก หรืออะไรก็ตามที่ดูน่าหวาดหวั่นเกินจะกิน

อาหารเช้าบนเตียงจึงไม่ใช่เรื่องที่แพร่หลายปฏิบัติกันไปทั่ว แต่ต้องเป็นวาระพิเศษจริงๆ เท่านั้น เหมือนที่บริกรในเช้าวันนั้นเอ่ยถามผมกับน้องสาวว่า – มาฮันนีมูนกันเหรอครับ, ด้วยเข้าใจว่าเราเป็นคู่รักที่เพิ่งแต่งงาน จึงต้องการใช้เวลาอยู่กับที่นอนมากกว่าลุกไปที่อื่น ซึ่งก็ยิ่งเพิ่มความกระอักกระอ่วนใจเข้าไปใหญ่

หลายคนคิดว่า อาหารเช้าบนเตียงคือเรื่องที่คู่รักข้าวใหม่ปลามันปฏิบัติต่อกัน เช่น ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งลุกขึ้นมาแต่เช้าเพื่อทำอาหารเช้าใส่ถาดมาประเคนให้ถึงเตียงนอน ภาพจึงไม่ได้แค่หรูหราเท่านั้น แต่ยังโรแมนติกอีกด้วย

แต่ในหนังสือเก่าแก่ที่ไม่รู้ชื่อผู้เขียน เป็นหนังสือจากปี 1846 ชื่อ The Greatest Plague of Life, Or, The Adventures of a Lady in Search of a Good Servant ผู้เขียนเขียนถึงอาหารเช้าบนเตียงเอาไว้ว่า

สิ่งที่แย่ที่สุดของอาหารเช้าบนเตียง ถ้าหากอยากจะกินอาหารเช้าบนเตียงน่ะนะ! ก็คือเศษขนมปังที่จะเกลื่อนผ้าปูที่นอนไปหมด แล้วถ้าขนมปังนั่นปิ้งมาแห้งๆ เศษขนมปังก็จะแข็งมาก มันจะร่วงลงไปเสียดสีกับร่างกาย จนรู้สึกว่าการนอนอยู่บนเตียงเพื่อกินอาหารเช้าบนเตียงนั้นเหมือนนอนอยู่บนกระดาษทราย แล้วไม่ว่าจะปัดอย่างไร ก็ไม่มีวันที่เศษขนมปังพวกนั้นจะถูกกำจัดไปได้ จนกระทั่งคุณต้องลุกออกจากเตียง แล้วก็เอาผ้าปูที่นอนออกมาเขย่า

ซึ่งก็แปลว่า – คุณไม่ได้กินอาหารเช้าบนเตียงอีกต่อไป

หนังสือเก่าแก่เล่มที่ว่า คือหนังสือที่ว่าด้วยการเป็น ‘เลดี้’ ซึ่งไม่ใช่แค่เป็นสุภาพสตรีเท่านั้น แต่หมายถึงการเป็นผู้หญิงที่มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ เป็นนายหญิงของบ้าน เหมือนเลดี้ซานซาเป็นราชินีแห่งวินเทอร์เฟลอะไรทำนองนั้น นั่นแปลว่า อาหารเช้าจะเกิดขึ้นได้ก็เฉพาะกับผู้หญิงในระดับ Upper Class  เท่านั้นที่จะสามารถ ‘เอนจอย’ กับเอกสิทธิ์เหล่านี้ได้ มันคือวัตรปฏิบัติของคนร่ำรวยยุคเก่าแก่ ที่จะต้องมีคนรับใช้มาคอยทำอาหารเช้าและประคองถาดอาหารเช้ามาส่งให้ถึงเตียง แต่ย่อมไม่ใช่วัตรปฏิบัติของคนในศตวรรษที่ 21 แน่

อย่างไรก็ตาม สมมติว่าคุณเกิดมาเป็นเจ้าหญิง หรือเป็นลูกสาวของท่านเอิร์ลท่านลอร์ดอะไรสักอย่าง มีชีวิตอยู่ในปราสาทเหมือนในซีรีส์ดาวน์ตันแอบบี้ (Downton Abbey) ก็ไม่ได้แปลว่าคุณจะให้คนรับใช้เข้ามาเสิร์ฟอาหารเช้าบนเตียงได้นะครับ

นั่นเพราะตามธรรมเนียมปฏิบัติแล้ว ผู้หญิงที่จะนอนกินอาหารเช้าบนเตียงโดยมีคนรับใช้มาปรนนิบัติได้นั้น ต้องเป็นผู้หญิงที่แต่งงานแล้วเท่านั้น

นี่คือธรรมเนียมปฏิบัติในปลายศตวรรษที่ 19 ต่อต้นศตวรรษที่ 20 และหากไปสังเกตดูในซีรีส์อย่างดาวน์ตันแอบบี้ เราก็จะเห็นวิธีปฏิบัตินี้ชัดเจนมาก

คำถามคือ – ทำไม?

เอาเข้าจริง คำตอบต่อเรื่องนี้ยังเป็นเรื่องลึกลับอยู่ มีคนอธิบายว่า ถ้าย้อนกลับไปในยุควิกตอเรีย คือปลายศตวรรษที่ 19 ต่อต้นศตวรรษที่ 20 นั้น แม้จะมีหนังสือทำนอง ‘สมบัติผู้ดี’ ออกมาสอนกิริยามารยาทมากมาย แต่ส่วนใหญ่แล้วมีเป้าหมายในการสอนไปที่ ‘คนช้้ันกลาง’ มากกว่า ดังนั้น คำอธิบายถึงวัตรปฏิบัติต่างๆ ที่ไม่ได้ ‘ร่ำรวยหรูหรา’ มากนัก จึงมีอยู่เต็มไปหมด แต่พอเป็นเรื่อง ‘อาหารเช้าบนเตียง’ ซึ่งเป็นเรื่องที่ปฏิบัติกันเฉพาะในหมู่คนชั้นสูง กลับไม่ค่อยมีการเขียนเป็นเรื่องเป็นราวเท่าไร

แต่กระนั้น ฮีทเธอร์ อาร์นดต์ แอนเดอร์สัน (Heather Arndt Anderson) ผู้เขียนหนังสือ Breakfast: A History ก็ยืนยันว่านี่คือธรรมเนียมปฏิบัติ ส่วนใหญ่แล้ว มีแต่ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วเท่านั้น ที่ได้รับอนุญาตให้กินอาหารเช้าบนเตียงได้ ส่วนผู้หญิงที่ยังไม่แต่งงานทำอย่างนั้นไม่ได้ ความหรูหราในห้องนอนคือสิ่งที่สงวนเอาไว้สำหรับคนที่แต่งงานแล้วเท่านั้น

บางคนอธิบายว่า การกินอาหารเช้าในห้องนอนอาจจะเกี่ยวข้องกับการมีลูก การให้นมลูก และการเลี้ยงดูลูกหรือเปล่า เพราะลูกย่อมต้องนอนอยู่ในห้องเดียวกับแม่ ทำให้การ ‘แยกส่วน’ ระหว่างกิจกรรมที่เป็น ‘การกิน’ กับ ‘การนอน’ ซึ่งเคยทำกันอย่างแข็งขันในบ้านหรูหรานั้นพร่าเลือนลง การที่ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วได้รับอนุญาตให้กินอาหารบนเตียงได้ อาจเป็นเพราะพวกเธอคือกลุ่มคนที่มีลูก และดังนั้น หน้าที่สำคัญคือการดูแลหรือ ‘กก’ ลูก ทำให้จำเป็นต้องกินอาหารบนเตียง

อย่างไรก็ตาม ถ้าย้อนกลับไปดูวัตรปฏิบัติของคนร่ำรวยในสมัยโน้น เราจะพบว่าบ้านใหญ่ๆ จำนวนมากมี ‘ห้องอาหารเช้า’ โดยเฉพาะ นั่นแปลว่ากิจกรรมอาหารเช้าน่าจะเป็นสิ่งที่ ‘เป็นเรื่องเป็นราว’ ไม่น้อย มีหลักฐานจากหนังสือมารยาทของอังกฤษในปี 1885 บอกว่า เวลามีแขกมาเยี่ยมบ้าน (สมัยนั้นการมีแขกมาเยี่ยมบ้านไม่ได้มากันประเดี๋ยวประด๋าว แต่อาจมาอยู่ด้วยเป็นเดือนๆ หรือเป็นปีๆ ด้วยซ้ำ) เจ้าของบ้านทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิงจะต้องมานั่งกินอาหารเช้ากับแขก ซึ่งอาจเป็นการบ่งบอกเป็นนัยว่าปกติแล้วเจ้าของบ้านอาจไม่ได้กินอาหารเช้าด้วยกันหรือเปล่า

ในอเมริกายุคต้นศตวรรษที่ 21 ก็มีหลักฐานบอกว่า ครอบครัวที่ร่ำรวยมักจะไม่ได้กินอาหารเช้าร่วมกัน แต่ต่างคนต่างกินในห้องนอนส่วนตัว โดยมีคนรับใช้ยกถาดอาหารขึ้นไปให้ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าต้องกิน ‘บนเตียง’ เสมอไปนะครับ เพราะห้องนอนนั้นใหญ่ และอาจมีโต๊ะอาหารเช้าอยู่ในห้องนอนเลย

จะอย่างไรก็ตาม อาหารเช้าบนเตียงเป็นเรื่องที่หลายคนรู้สึกว่าเป็นเรื่องน่าหลงใหล เราจึงเห็นภาพอาหารเช้าบนเตียงในภาพยนตร์ ในซีรีส์ หรือในภาพถ่ายที่มีการ ‘สร้างภาพ’ อยู่บ่อยๆ

นั่นทำให้การกินอาหารเช้าบนเตียง อาจไม่ใช่การกิน ‘อาหาร’ มากเท่ากับการกิน ‘สัญญะ’ ของมัน โดยมีที่มาจากรากประวัติศาสตร์อันคลุมเครือ เหลือแต่ความหมายที่ว่า – นี่คือมื้ออาหารสุดพิเศษที่สร้างสรรค์ขึ้นเพื่อวาระพิเศษโดยเฉพาะ

แม้อาหารเช้าบนเตียงจะเป็นแพนเค้กไหม้ๆ ฝีมือลูกๆ

แต่ก็ยังพิเศษอยู่นั่นเอง

Tags: , , , , ,