การเกิด Disruption ขึ้นในแวดวงธุรกิจสร้างความน่าหวาดหวั่นไปทั่ว แต่ไม่ใช่กับภาพรวมของแอมเวย์ประเทศไทยที่มั่นใจว่าสิ้นปี 2561 ยอดขายจะเติบโตทะลุ 19,000 ล้านบาท หรือเติบโตประมาณ 4 เปอร์เซ็นต์
ตอบโจทย์เรื่องเทรนด์ ความต้องการ และพฤติกรรมของผู้บริโภค
กิจธวัช ฤทธีราวี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด เล่าถึงเบื้องหลังความสำเร็จด้านยอดขายของปีนี้ เกิดขึ้นเพราะบริษัทได้ปรับกลยุทธ์ทางการตลาดมาก่อนหน้าราว 2 – 3 ปี โดยมุ่งเน้นไปที่การตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคด้วยผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงาม ถือว่าแอมเวย์ตีโจทย์แตกในเรื่องของเทรนด์ ความต้องการ และพฤติกรรมของผู้บริโภค
“ผู้บริโภคจะยินดีซื้อสินค้าที่มีเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ดีกว่าเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ซึ่งแอมเวย์มีผลิตภัณฑ์สุขภาพและความงามที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างแท้จริง”
บทพิสูจน์คือความสำเร็จ ด้วยการเป็นผู้นำตลาดสุขภาพและความงาม นิวทริไลท์ (Nutrilite) ครองแชมป์แบรนด์ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารยอดขายอันดับหนึ่งของโลก ในกลุ่มวิตามินและผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร [1] และอาร์ทิสทรี (Artistry) เป็นแบรนด์เครื่องสำอางพรีเมียมที่มียอดขายอันดับหนึ่งของประเทศไทย [2]
ตลอดทั้งปีที่ผ่านมา แอมเวย์เดินหน้าทำการตลาดในกลุ่มผลิตภัณฑ์สุขภาพและความงาม เช่น กลุ่มผลิตภัณฑ์ควบคุมน้ำหนัก “บอดี้คีย์ บาย นิวทริไลท์” (BodyKey by Nutrilite) ที่มียอดขายเติบโตแบบก้าวกระโดดกว่า 5,200 ล้านบาท ภายในเวลาเพียงสามปี รวมถึงการนำเสนอผลิตภัณฑ์ความงามที่มีนวัตกรรมล้ำหน้า สอดรับเทรนด์เพอร์เซอนัลไลซ์ โดยมีผลิตภัณฑ์เรือธง ‘อาร์ทิสทรี ซิกเนเจอร์ ซีเล็กต์ เพอร์เซอนัลไลซ์ ซีรัม’ (Artistry Signature Select Personalized Serum) ซีรัมประสิทธิภาพสูง ที่ให้ผู้ใช้สามารถออกแบบสูตรเฉพาะของตนเอง สำหรับทุกความต้องการของผิวที่แตกต่าง ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้บริโภค ทำให้ยอดขายรวมของบริษัทตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ทางเลือกสำหรับคนรุ่นใหม่
นอกเหนือจากการรุกตลาดด้วยผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์แล้ว แอมเวย์ยังก้าวสู่ยุคดิจิทัล ด้วยการพัฒนา Digital Platform ทุกรูปแบบให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค ที่พร้อมขับเคลื่อนธุรกิจแอมเวย์ให้เติบโตและเดินหน้าต่อไปอย่างแข็งแกร่ง
และไม่เพียงแค่นั้น ช่วงครึ่งปีหลังแอมเวย์ยังเจาะตลาดกลุ่มคนรุ่นใหม่ด้วย ‘เอ็กซ์เอส ซีโร่’ (XS Zero) เอเนอร์จี ดริงค์ ปราศจากน้ำตาลแบรนด์แรกที่จำหน่ายทั่วโลกในรูปแบบเอกสิทธิ์เฉพาะ [3] และเพิ่งเปิดตลาดในเมืองไทยไปเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา มีการเสริมกลยุทธ์การตลาดที่เข้าถึงไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ผ่าน Online Community ภายใต้แนวคิด ‘XSperience More ท้าให้คุณทำได้มากกว่าที่คิด’
ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ความงามเองก็แตกไลน์ ฉีกลุคของอาร์ทิสทรีให้ดูสดใส มีชีวิตชีวาตามแบบฉบับของคนรุ่นใหม่ ผ่านแบรนด์เครื่องสำอางน้องใหม่ ‘อาร์ทิสทรี สตูดิโอ’ (Artistry Studio) ผลิตภัณฑ์กลุ่มคัลเลอร์ที่ได้แรงบันดาลใจจากเมืองใหญ่สุดฮอตทั่วโลก โดยเปิดตัวไปแล้วเมื่อเดือนตุลาคม ที่ได้ดึงเอาแรงบันดาลใจ สีสัน ความสนุกสนาน จากมหานครนิวยอร์กมาสร้างสรรค์ ก่อนจะหยิบเรื่องราวของกรุงปารีส และกรุงเทพมหานครมาเป็นแรงบันดาลใจในคอลเลกชันต่อไป
นั่นเพราะแอมเวย์มองเห็นความเปลี่ยนแปลงมาสักพักใหญ่แล้วว่า คนรุ่นใหม่จะเป็นกลุ่มคนที่มีอิทธิพลต่อสังคมหรือโลกอนาคต ดังนั้น การที่แอมเวย์มุ่งเน้นให้ธุรกิจแอมเวย์เป็นทางเลือกให้กับคนรุ่นใหม่ที่ต้องการเป็นเจ้าของธุรกิจจึงเป็นเรื่องจำเป็น และพร้อมที่จะให้การสนับสนุนนักธุรกิจแอมเวย์ด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกด้านธุรกิจ เพื่อนำเสนอโซลูชั่นให้ผู้นำนักธุรกิจแอมเวย์สามารถดำเนินธุรกิจขององค์กรให้เติบโตและเข้มแข็งอย่างยั่งยืน
กลยุทธ์เจาะตลาดกลุ่มคนรุ่นใหม่
ปี 2019 แอมเวย์ยังเดินหน้ากลยุทธ์รุกตลาดกลุ่มคนรุ่นใหม่ โฟกัสใน 3 ประเด็นคือ สินค้าที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่แตกต่าง สร้างคอมมูนิตี้ Online และสร้าง Environment ที่เอื้อกับการทำธุรกิจ หมายความว่า ในปีหน้านอกจากสินค้าคุณภาพที่ตรงใจไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคที่แอมเวย์เตรียมนำเสนอแล้ว แอมเวย์ยังนำเครื่องมือดิจิทัลมาสร้างคอมมูนิตี้ Online ให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ายุคโซเซียล จากเดิมที่ใช้โซเซียลมีเดียอย่าง Facebook และเว็บไซต์ของแอมเวย์เป็นช่องทางในการสื่อสารและซื้อขายสินค้า ปัจจุบันแอมเวย์ได้พัฒนาสื่อออนไลน์เพิ่มมากขึ้นสำหรับสื่อสารกับกลุ่มคนรุ่นใหม่ อย่างผลิตภัณฑ์ XS Zero เรามี Instagram: xs_Thailand หรือ Artistry ก็มี Instagram: ArtistryThailandOfficial เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ให้มากขึ้น
นอกจากนี้บรรยากาศการทำธุรกิจก็สำคัญ จากเดิมภาพการทำธุรกิจที่นักธุรกิจแอมเวย์ส่วนใหญ่มักจะผูกเนคไทใส่สูทเข้าร่วมงานประชุม เราก็ทำให้บรรยากาศการทำธุรกิจดูสบายมากขึ้น เราจะเห็นภาพลักษณ์ของนักธุรกิจที่เป็นผลิตผลของผลิตภัณฑ์ ที่ดูดีจากภายในสู่ภายนอกทั้งรูปร่างและผิวพรรณ การเแต่งกายดูสบายตาและลุคที่ทันสมัยมากขึ้น ทั้งหมดนี้ล้วนส่งผลให้บรรยากาศในการทำธุรกิจดีขึ้นด้วยเช่นกัน
“ทุกวันนี้เรามียอดคนทำธุรกิจร่วมกับแอมเวย์อยู่ราว 3.3 แสนคน และเป็นสมาชิกที่ซื้อสินค้าใช้อยู่ราว 7.2 แสนคน เป็นกลยุทธ์ของเราที่ไม่มุ่งเน้นจำนวนคนมากๆ ที่เข้ามา แต่เราเน้นคนที่เข้ามาแล้วอยู่ต่อ สิ่งหนึ่งที่เราเห็นได้จากสามปีที่ผ่านมา ธุรกิจเราสามารถโตได้โดยมีจำนวนคนเท่าเดิม หมายความว่ายอดธุรกิจต่อคนโตขึ้นครับ นั่นแปลว่าทุกคนมีรายได้สูงขึ้น” กิจธวัช ฤทธีราวี กล่าวเสริมในตอนท้าย “และที่น่ายินดีก็คือ นักธุรกิจรุ่นใหม่ของเราประสบความสำเร็จในระดับ High Pin ก็มีแล้ว จึงตอบโจทย์ธุรกิจแอมเวย์ที่เป็นทางเลือกสำหรับคนรุ่นใหม่”
ที่มา:
[1] จากการสำรวจกลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ตามเปอร์เซ็นต์ยอดขายปลีกของแบรนด์ทั่วโลก ปี 2558 โดย Euromonitor International Limited รายงานประจำปี 2559
[2] Euromonitor International Limited. www.euromonitor.com/amway-claims
[3] ยูโรมอนิเตอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ลิมิเต็ด
Tags: amway, artistry, digital transformation, แอมเวย์, Business, digital disruption