บางครั้งโชคชะตาก็เล่นกลกับชีวิตให้คนเราพบเจอสิ่งที่รักเร็วช้าต่างกันไป หากเรื่องราวหลังจากนั้นล้วนต้องอาศัยความพยายาม อดทน เอาใจใส่ เช่นที่ โป๊ง-ดุลยสิทธิ์ สระบัว ผู้รู้ว่าตัวเองรักดนตรีตั้งแต่เด็ก และได้ทุ่มเทกายใจ ประคับประคอง ‘Adhere the 13th’ หรือที่ใครเรียกติดปากว่า ‘บลูส์บาร์’ มานานถึง 17 ปี ท่ามกลางการเกิดดับของธุรกิจประเภทเดียวกัน และอยู่กับบางกฎเกณฑ์ในสังคมที่เขามองว่า โหดร้ายเกินไปสำหรับคนทำงานกลางคืน

ร้านของโป๊งเป็นเพียงห้องแถวขนาดเล็กหนึ่งคูหา แต่มากด้วยแรงดึงดูดอย่างดนตรีสด เมนูกับแกล้ม เบียร์ ไวน์ และค็อกเทล ในราคาเป็นกันเอง อบอวลกลิ่นวินเทจ โต๊ะ เก้าอี้ไม้กลมกระทัดรัดที่ปูผ้าคลุมและไหมพรมถักลายดอก แสงจากเทียนหอมอ่อนๆ และข้าวของจัดวางดูดื้อดิบ ล้วนเป็นรายละเอียดชักชวนให้หลายต่อหลายคนเลือกมาผ่อนคลาย รื่นรมย์ สนทนาชีวิตกันหลังตะวันตกดิน

อาจเพราะวันนัดคุยกับโป๊งที่ ‘Adhere the 13th’ เป็นต้นสัปดาห์ของการทำงาน และฝนตั้งเค้าตั้งแต่ฟ้ายังไม่มืด เราจึงสามารถจับจองที่นั่งในร้านได้ตามใจชอบ เพราะโดยปกติ ถ้ามาที่นี่หลังสามทุ่ม ยิ่งคืนวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ แน่นอนว่าต้องยืนชนแก้วกับเพื่อนเก่าเพื่อนใหม่ ล้อมวงคุยสารพัดประเด็น รับลม ตากน้ำค้าง อยู่หน้าร้าน

โป๊งมาเจอเราหลังซ้อมดนตรีเพื่อเตรียมอัลบัมเดี่ยวครั้งแรก เขาตั้งใจวางขายก่อนสิ้นปีนี้ด้วยตัวเอง และบอกพลางอมยิ้มนิ่งๆ ว่า ถึงเวลาก็อยากมีผลงาน อยากเล่าเรื่อง เน้นสไตล์ที่ถนัด โป๊งบอกว่าเคยทำวงกับเพื่อน ชื่อวง ‘บางลำพูแบนด์’ ก่อนจะเริ่มย้อนวันวานในฐานะเจ้าของร้านและมือกีต้าร์วัย 44 ทรงเสน่ห์ให้เราฟัง

“ผมโตมากับพ่อซึ่งเป็นนักจัดรายการวิทยุที่สกลนคร ตอนเด็กก็ตามพ่อไปทำงานในห้องอัด พอถึงเวลากระจายเสียง ผมต้องเงียบที่สุดเท่าที่จะทำได้ เลยไปนั่งรื้อแกะแผ่นเสียงออกมาดูเล่น ทั้งเพลงไทย สากล หมอลำ ลูกทุ่งมีหมดเต็มกำแพงสามด้านรอบห้องอัด ก็นั่งคิดในใจว่า ถ้ามีรูป มีชื่อตัวเองบนปกอัลบั้มนี่คงเท่มาก ทำให้อยากเป็นนักดนตรีมาตั้งแต่ตอนนั้น”

ถ้าใครมีโอกาสได้รู้ว่าตัวเองชอบอะไร แล้วได้เรียนรู้สิ่งนั้นเป็นลำดับต้นๆ นับตั้งแต่ลืมตาดูโลก เชื่อว่าสิ่งนั้นย่อมส่งผลต่อชีวิตบ้าง ไม่มากก็น้อย

สำหรับโป๊งแล้ว เขาคุ้นเคยกับดนตรีจากคนใกล้ตัว พอยิ่งโต ยิ่งชอบ มีเวลาว่าง ก็ไปขอให้น้าอานักดนตรีละแวกบ้านช่วยสอน

10 ขวบ โป๊งมีกีตาร์โปร่งตัวแรก ตามด้วยกีตาร์ไฟฟ้า เขาเปิดเพลงร็อกฟัง อัดใส่หูจนตอนนี้ซ้อมดนตรีนานไม่ได้ เพราะหูข้างหนึ่งเริ่มล้าไวกว่าปกติ

วัยหนุ่ม เขาเข้ากรุงเทพฯ มาเจอกับเจ้าของร้านขายเทป ที่สวนจตุจักร แนะนำให้รู้จักดนตรีบลูส์ จนเพลงของ Buddy Guy, Luther Allison, Freddie King และ The Mississippi Delta Blues Band ฯลฯ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ยังลุ่มหลงอยู่ทุกวันนี้

โป๊งเรียนจบด้านประติมากรรมจากวิทยาลัยเพาะช่าง และเป็นนักดนตรีกลางคืนอยู่บาร์ย่านพระอาทิตย์ หลังเลิกงานก็เดินมานั่งทานข้าวต้มแถวบางลำพู บังเอิญเห็นห้องแถวฝั่งตรงข้าม (‘Adhere The 13th’ ในตอนนี้) แปะป้ายประกาศให้เช่า จึงรีบโทรบอกคนรักซึ่งอยากเปิดร้านกาแฟเล็กๆ ให้มาดู แล้วตัดสินใจเปิดกิจการที่นี้

“ร้านของเราเหมือนไปไม่รอด เพราะแถวนี้มีร้านกาแฟเยอะ แต่ผมก็เล่นดนตรีในร้านเป็นประจำอยู่แล้ว มีชวนเพื่อนมาเล่นด้วยกันบ้างในวันหยุด ทำให้ลูกค้ากลุ่มหนึ่งชอบ เราจึงคิดเปลี่ยนจากร้านกาแฟมาทำบาร์แทน เป็นดนตรีสดร้านแรกๆ ในย่านนี้

เขาเล่าว่า ช่วงแรกก็เล่นเพลงไทย เพลงสากลทั่วไป จนต่อมาเปลี่ยนแนว หันมาเน้นดนตรีบลูส์อย่างจริงจังตามคำแนะนำของเพื่อนมือกลองชาวสวีเดน

“เขาบอกให้ผมทำในสิ่งที่ชอบ สิ่งที่อยากทำ ช่วงเริ่มเปลี่ยนแนวเพลง ลูกค้าก็หายไปเยอะ แต่เราก็สร้างลูกค้ากลุ่มใหม่ขึ้นมาได้”

โป๊งบอกว่า ในทางธุรกิจแล้ว อยู่ยาก แต่การได้อยู่กับสิ่งที่รัก ได้ลูกค้ามาเป็นเพื่อน ได้เห็นชีวิตผู้คนยามค่ำคืนก็ทำให้มีความสุข และสุขยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อ ‘ฉ่าย สมชัย ขำเลิศกุล’ ‘ชัย บลูส์’ ‘ออโต้บาห์น’ และอีกนักดนตรีมีชื่ออีกหลายคนที่ให้เกียรติมาเล่นที่ร้านเล็กๆ ของเขา

ไม่ใช่แค่นั้น นักดนตรีหลายคนในบาร์แห่งนี้ต่างพูดกับเราคล้ายกันว่า ‘Adhere the 13th’ เป็นเหมือนโรงเรียนของพวกเขา บางคนเริ่มจากเล่นดนตรีไม่เป็น ได้ลองผิดลองถูก จนกลายเป็นนักดนตรีเป็นอาชีพ

“ผมไม่เคยเรียกตัวเองว่าเป็นนักดนตรีอาชีพนะ แค่เป็นนักดนตรีเท่านั้นเอง เพราะมันทำมาหาเลี้ยงอะไรแทบไม่ได้ ถ้าไม่มีใครจ้าง ก็ไม่มีเงินใช้ แต่ผมยังมีร้านเป็นของตนเอง ได้เล่นตามที่อยากเล่น คือชีวิตมันก็ต้องเสี่ยงอยู่แล้วแหละ จึงไม่มีอะไรให้กังวลในสิ่งที่ทำอยู่”

ในฐานะรุ่นพี่มองรุ่นน้อง โป๊งเห็นภาพตัวเองในวัยหนุ่ม ผ่านนักดนตรีรุ่นน้องที่เข้ามาที่ร้าน เขาเองเคยต้องการครูดีๆ ได้รับคำแนะนำ และมีอิสระจากเจ้าของบาร์ด้วยไม่ต่างกัน

โป๊งพูดคุยกับเราสู้เสียงฝนที่กระหน่ำลงมา เขาเห็นว่าการมีร้านเป็นของตัวเองทำให้ได้เล่นดนตรีได้ตามใจ โดยไม่ต้องคาดหวังอะไร เขายินดีถ้าใครอยากฟัง และถ้าใครไม่อยากฟัง ก็คงไม่เป็นไร

“ผมแค่ทำร้านให้มันเหมือนเดิมอยู่ตลอดเท่านั้นเอง อะไรที่เสีย เสื่อมสภาพก็ปรับปรุงให้ดีขึ้น ส่วนใหญ่เน้นคุณภาพเครื่องเสียง เครื่องดนตรีอะไรพวกนี้ เวลาใครไปใครมานั่งฟัง พวกเขาจะได้รู้สึกว่ามันดี แล้วกลับมาฟังอีก”

จากร้านกาแฟถึงบาร์ดนตรีบลูส์ นี่คือสิ่งที่โป๊งให้ความสำคัญมาโดยตลอด เหล่านี้ล้วนทำให้  ‘Adhere the 13th’ น่าสนใจ และอาจเป็นอีกสถานที่หนึ่งสำหรับการมาปล่อยอารมณ์ให้ล่องไหลในบางคืนที่เหน็ดเหนื่อย เข็ดหลาบกับสิ่งที่รัก หรือไม่ ก็ยังตามหามันไม่เจอ

 

ถ่ายภาพโดย ขจรศิริ อุ่ยมานะชัย

Tags: , , , ,