“ดอกไม้บานที่แอนตาร์กติกา”
ฟังดูเหมือนวลีโรแมนติกที่ชวนให้ขบคิดจินตนาการ ทว่าเบื้องหลังความสวยงามทางวรรณศิลป์ซุกซ่อนความจริงอันแสนเจ็บปวดเอาไว้ หญ้าขนแอนตาร์กติก (Antarctic Hair Grass) และแอนตาร์กติกเพิร์ลเวิร์ต (Antarctic Pearlwort) พืชเพียงไม่กี่ชนิดที่ขึ้นบางๆ ประดับแหลมแอนตาร์กติก ณ เวลานี้งามสะพรั่งด้วยอัตราการเจริญเติบโตที่เพิ่มขึ้นจากเดิม 5-10 เท่า
ขณะที่พื้นที่หนาวจัดถูกปกคลุมไปด้วยความเขียวขจี น้ำทะเลก็อุ่นขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เมื่อพายุลูกเล็กตามธรรมชาติดูดซับพลังงานความร้อนจากท้องมหาสมุทร ความสามารถในการกักเก็บไอน้ำในอากาศที่เพิ่มขึ้น ทำให้มันก่อร่างสร้างตัวจนกลายเป็นไต้ฝุ่นและเฮอร์ริเคนอยู่บ่อยครั้ง ส่งผลให้หน้ามรสุมรุนแรงและยาวนาน นำมาซึ่งเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ ในทางกลับกันบางพื้นที่ก็เผชิญกับภัยแล้งอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
หากยังรู้สึกไกลตัวให้มองสิ่งที่ใกล้กว่า แม้ภัยจะคืบคลานมาถึงแล้ว ‘น้ำท่วมภาคใต้’ ตลอดจนภาคเหนือและภาคกลางตอนบนของไทย น่าจะทำให้เข้าใจได้มากยิ่งขึ้น มรสุมยาวนาน พายุที่โหมกระหน่ำ ลักษณะฝนอันผิดเพี้ยน และปริมาณน้ำมหาศาล ล้วนเกิดจากความแปรปรวนทางสภาพภูมิอากาศ
คำถามคือ เราจะสร้างโลกแบบไหนไว้ให้ลูกหลานอยู่อาศัย ในเมื่อท้องทะเลเต็มไปด้วยความร้อนและไมโครพลาสติก ผืนแผ่นดินถ้าไม่เต็มไปด้วยน้ำ ก็แล้งจนไม่อาจจะปลูกอะไรขึ้น ไม่เว้นแม้แต่อากาศหายใจที่เต็มไปด้วยฝุ่นควันและพิษร้าย สงครามอาจมีวันจบสิ้น แต่ภัยพิบัติทางธรรมชาติไม่รู้จะไปจบที่ตรงไหน ความสูญเสียบางอย่างอาจฟื้นคืนได้ในหลักสิบปี พันปี หรือหมื่นปี แต่บางอย่างไม่สามารถย้อนกลับได้อีกเลย
ด้วยเหตุนี้ความผันแปรของธรรมชาติสร้างความกังวลใจให้ ‘มนุษยชาติรุ่นถัดไป’ เป็นอย่างมาก จึงไม่แปลกที่เทรนด์การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่คนยุคก่อนมองว่า ไกลตัวและจืดชืด จะได้รับความสนใจจากคนรุ่นใหม่มากขึ้น ไม่ใช่แค่ความหวาดกลัวธรรมดา แต่เป็นความวิตกกังวลทางใจที่สามารถพิสูจน์ได้ หรือที่เรียกว่า ‘Eco-anxiety’ ภาวะความวิตกกังวลจากวิกฤตสิ่งแวดล้อม
Eco-anxiety คือ
Eco-anxiety หรือ Climate anxiety คือภาวะความเครียดหรือวิตกกังวล จากการคิดถึงผลกระทบด้านวิกฤตสิ่งแวดล้อม ผ่านการเห็นภัยพิบัติ ความเปลี่ยนแปลง และการสูญเสีย ที่เชื่อมโยงกับความแปรปรวนทางธรรมชาติ รวมถึงความรู้สึกผิดที่ตัวเองไม่สามารถทำอะไรได้ และความรู้สึกเครียดที่คนอื่นไม่ใส่ใจไยดีต่อปัญหาที่เกิดขึ้น
ซึ่งความวิตกกังวลในลักษณะนี้ มักเกิดขึ้นกับเด็กและวัยรุ่นมากกว่าผู้ใหญ่ เนื่องจากเด็กมีอำนาจในการจัดการปัญหาระดับนี้น้อยกว่าและต้องอยู่กับผลที่ตามมานานกว่า
ในงานวิจัย Climate anxiety in children and young people and their beliefs about government responses to climate change: a global survey ในปี 2021 ที่ทำการสำรวจความคิดเห็นของเยาวชนอายุระหว่าง 16-25 ปี จำนวน 1 หมื่นคน จาก 10 ประเทศ เกี่ยวกับความวิตกกังวลด้านสิ่งแวดล้อมและความรู้สึกต่อการจัดการปัญหาของรัฐบาล ผลปรากฏว่า
– 59% ของผู้ตอบแบบสอบถามมีความกังวลต่อการเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศมากถึงมากที่สุด ขณะที่อีก 89% รู้สึกกังวลปานกลางถึงเล็กน้อย
– 50% ของผู้ตอบแบบสอบถามรู้สึกเศร้า วิตกกังวล โกรธ ไร้หนทาง และรู้สึกผิด
– 45% รู้สึกว่าการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน
– 75% รู้สึกว่าอนาคตน่ากลัว
– 83% คิดว่าผู้คนไม่สามารถดูแลโลกได้
นอกจากนี้พวกเขายังให้คะแนนในเชิงลบต่อวิธีการจัดการปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมของรัฐบาล และรายงานว่า พวกเขารู้สึกเหมือนตัวเองถูกทรยศมากกว่าถูกทำให้เกิดความมั่นใจ โดย 64% เชื่อว่ารัฐบาลล้มเหลวในการดำเนินการด้านสิ่งแวดล้อมและสภาพอากาศ
แต่ถึงอย่างนั้น Eco-anxiety ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะแค่กับเด็กหรือคนรุ่นใหม่เท่านั้น แต่ยังสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนที่รู้สึกได้รับผลกระทบไม่ทางใดก็ทางหนึ่งจากปัญหาสิ่งแวดล้อม จากการสำรวจสำมะโนประชากรในปี 2021 รายงานว่า ผู้ใหญ่ในประเทศอังกฤษกว่า 75% รู้สึกกังวลถึงผลกระทบจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวน นั่นเท่ากับว่าความรู้สึกหดหู่หัวใจกับการต้องเห็นโลกล่มสลายลงไปทุกวัน ไม่ใช่ปัญหาของใครคนใดคนหนึ่ง
แล้วเราจะอยู่บนโลกที่ล้มป่วย ไปพร้อมๆ กับหัวใจที่บอบช้ำได้อย่างไร
คาโรไลน์ ฮิกแมน (Caroline Hickman) นักจิตวิทยาและนักวิจัยด้านสภาพอากาศ ให้คำแนะนำไว้ได้อย่างน่าสนใจว่า อันดับแรกความรู้สึกหวงแหนและอยากปกป้องธรรมชาตินั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่ควรปล่อยวางและลืมเรื่องแก้ไขมันไปก่อน เพราะปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมไม่สามารถแก้ได้ด้วยคนเพียงไม่กี่คนหรือในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปี สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดคือ เรียนรู้ที่จะอยู่กับมันอย่างเข้าใจและมองโลกอย่างมีหวัง (Radical Hope) เสมอ ถึงแม้เราไม่อาจหนีหายจากวิกฤตที่เกิดขึ้น ทว่าเราจะไม่สิ้นหวังที่จะวาดฝันถึงวันที่ดีกว่า
แม้ความเจ็บปวดคือการที่รู้ว่าเราไม่มีวันไถ่บาปได้อย่างหมดสิ้น แต่อย่างน้อยการเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับปัญหา โดยไม่สานต่อกิจกรรมใดก็ตามที่มีส่วนทำลายสมดุลทางธรรมชาติ อาจเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เพื่อลดทอนความรู้สึกผิดในใจ และเพิ่มพูนความรู้สึกในการมีส่วนร่วมช่วยลดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม
“อย่าปล่อยให้ดอกไม้บานที่แอนตาร์กติกา”
ที่มา:
– https://www.greenpeace.org/thailand/story/27998/climate-emergency-eco-anxiety/
https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/34895496/
Tags: climate change, Knowledge, Wisdom, anxiety, Stress, วิกฤตสิ่งแวดล้อม, Environment, สิ่งแวดล้อม




