เป็นเวลาเกือบเดือนแล้วที่ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับญี่ปุ่นยกระดับความตึงเครียดอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ ซานาเอะ ทาคาอิจิ (Sanae Takaichi) นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นสายอนุรักษนิยม กล่าวในที่ประชุมรัฐสภาเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายนที่ผ่านมาว่า 

“หากจีนเริ่มต้นใช้กองกำลังทหารโจมตีไต้หวัน นี่ถือเป็น ‘สถานการณ์คุกคาม’ ต่อความอยู่รอดของชาติ” ซึ่งนั่นหมายความว่า ญี่ปุ่นจะสามารถเรียกใช้กองกำลังป้องกันตัวเอง เพื่อรับมือกับภัยคุกคามที่เกิดขึ้นได้

ในเวลาต่อมา ทางการจีนได้ออกมาตอบโต้กับคำพูดของทาคาอิจิทันที ซึ่งจีนมองว่า ญี่ปุ่นกำลังล้ำเส้นและแทรกแซงกิจการภายในของประเทศ โดยเบื้องต้นรัฐบาลได้เรียกเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศจีนเข้าพบ เพื่อประท้วงเรียกร้องให้ทาคาอิจิถอนคำพูด

มาตรการตอบโต้อื่นๆ เริ่มตามมา ทั้งการออกประกาศเตือนไม่ให้พลเมืองจีนเดินทางเข้าญี่ปุ่น การระงับการนำเข้าอาหารทะเลญี่ปุ่น การเลื่อนฉายภาพยนตร์หรือการ์ตูนญี่ปุ่นในจีน หรืออย่างล่าสุดกรณีที่ศิลปินญี่ปุ่นไม่สามารถขึ้นทำการแสดงได้ รวมไปถึงคอนเสิร์ตของศิลปินญี่ปุ่นอื่นๆ ที่ต้องถูกยกเลิกก่อนวันทำการแสดงจริงเพียงแค่ไม่กี่วัน

เมื่อความตึงเครียดทางการเมืองเริ่มลามมาถึงอุตสาหกรรมบันเทิง สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ ชวนให้นึกย้อนไปถึงสถานการณ์รอยร้าวทางการทูตระหว่างจีนและเกาหลีใต้เมื่อปี 2016 จนกระทั่งนำมาสู่สิ่งที่เรียกว่า ‘การแบนวัฒนธรรมเกาหลีใต้’ หรือ ‘Hallyu ban’ ที่ส่งผลให้อุตสากรรมบันเทิงของเกาหลีใต้ในตอนนั้นได้รับความเสียหายอย่างหนัก และยังเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญต่อทิศทางของวงการ K-pop ด้วยเช่นกัน

The Momentum พาย้อนดูมาตรการคว่ำบาตรของจีนต่อประเทศอื่นผ่านเครื่องมือทางเศรษฐกิจไปจนถึงวัฒนธรรม และทิศทางของจีนกับญี่ปุ่นในอนาคต

THAAD กับจุดถดถอยของกระแสเกาหลีใต้ในจีน

ย้อนกลับเมื่อปี 2016 รัฐบาลเกาหลีใต้ได้อนุมัติให้กองกำลังของสหรัฐฯ เข้ามาติดตั้งระบบป้องกันขีปนาวุธระดับสูง (Terminal High Altitude Area Defense: THAAD) ในเมืองซอนจู ทางตอนกลางของเกาหลีใต้ ซึ่งสามารถสกัดและทำลายขีปนาวุธที่ยิงมาจากเกาหลีเหนือได้ โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความมั่นคงให้กับเกาหลีใต้

จุดเริ่มต้นตรงนี้เองที่ทำให้สถานการณ์บริเวณคาบสมุทรเกาหลีเกิดความตึงเครียด และทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและเกาหลีใต้เริ่มเปราะบางมากขึ้น 

รัฐบาลจีนได้มีการเรียกร้องให้เกาหลีใต้ถอนการติดตั้งระบบป้องกันขีปนาวุธออก โดยให้เหตุผลว่า สิ่งนี้อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของจีน นอกจากนี้สหรัฐฯ ยังต้องการที่จะสอดแนมกิจการภายในของจีนด้วยอย่างไรก็ตาม รัฐบาลเกาหลีใต้ปฏิเสธข้อเรียกร้องดังกล่าว และยังคงยืนยันที่จะติดตั้ง THAAD ไว้ในประเทศต่อไป

ในเวลาต่อมา รัฐบาลจีนประกาศห้ามไม่ให้พลเมืองเดินทางเข้าประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศเกาหลีใต้ (The Korea Tourism Organization: KTO) ระบุว่า ในปี 2016 สัดส่วนนักท่องเที่ยวจีนในเกาหลีใต้คิดเป็นร้อยละ 46.8 ซึ่งยอดนักท่องเที่ยวชาวจีนลดลงมากถึงร้อยละ 27 ในปี 2017

นอกจากนี้ประชาชนชาวจีนยังได้คว่ำบาตรธุรกิจ จากกลุ่มบริษัทสัญชาติเกาหลีใต้อย่าง ‘Lotte’ ส่งผลให้ธุรกิจเครือบริษัท Lotte ต้องประกาศปิดตัวและลดจำนวนลงตามเมืองต่างๆ ของประเทศจีน 

การแบนกระแสเกาหลีใต้ยังเป็นอีกมาตรการคว่ำบาตรจากจีนที่ร้ายแรงและส่งผลกระทบมากที่สุด

ภาพ: smtown.com

แม้ว่าจะไม่มีเอกสารรายงานถึงการแบนกระแสเกาหลีใต้ออกมาจากรัฐบาลจีนอย่างเป็นทางการ ในช่วงเวลานั้นนักแสดงและศิลปินจากเกาหลีใต้ ไม่สามารถเดินทางเข้ามาทำการแสดงภายในประเทศจีนได้

ดังเช่น การประกาศยกเลิกคอนเสิร์ตวง EXO บอยแบนด์ชื่อดังของเกาหลีใต้ในเมืองหนานจิงและเฉิงตู แม้จะไม่ทราบมูลค่าความเสียหายจากการประกาศยกเลิกจัดคอนเสิร์ตในครั้งนั้น แต่ก่อนหน้าที่จะเกิดความตึงเครียดระหว่างทั้ง 2 ชาติ วง EXO ได้เคยจัดคอนเสิร์ตในเมืองหางโจว ซึ่งสามารถสร้างรายได้มากถึง 1.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 48 ล้านบาท)

นอกจากนี้รายการบันเทิง ละคร ภาพยนตร์ของเกาหลีใต้ก็ถูกสั่งห้ามฉายในประเทศจีนเช่นกัน “พวกเราจะไม่ฉายรายการที่เป็นของเกาหลีใต้ ทั้งหมดอยู่ภายใต้แนวปฏิบัติที่มาจากรัฐบาล” เจ้าหน้าที่ของ ENT Group บริษัทสื่อชื่อดังของจีนกล่าว

สิ่งที่เกิดขึ้นได้สร้างความเสียหายให้กับวงการบันเทิงและเศรษฐกิจโดยรวมของเกาหลีใต้อย่างหนัก เนื่องจากตลาดจีนถือเป็นแหล่งรายได้หลักของอุตสาหกรรมบันเทิงของเกาหลีใต้ในขณะนั้น ซึ่งมีมูลค่ามากถึง 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 3.2 หมื่นล้านบาท) อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากสถาบันวิจัยธนาคารพัฒนาเกาหลี (Korea Development Bank: KDB) ระบุว่า ความเสียหายทางเศรษฐกิจของเกาหลีใต้ จากการแบนของจีน มีมูลค่าสูงถึง 15.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 4.8 แสนล้านบาท) ในปี 2017

หนทางสว่างของกระแสเกาหลี

ช่วงเวลานานเกือบทศวรรษ ทางการจีนยังคงมีมาตรการแบนกระแสเกาหลี อุตสาหกรรมบันเทิงของเกาหลีใต้จึงต้องพยายามปรับตัวและหาทางออกจากสถานการณ์เปราะบางตรงนี้

ซึ่งสามารถเห็นภาพได้ชัดที่สุดในวงการเพลง K-pop โดยนับตั้งแต่ K-pop เข้าสู่รุ่นที่ 4 หรือที่แฟนคลับเกาหลีเรียกกันติดปากว่า ‘เจน 4’ 

วงต่างๆ ในเจเนอเรชันนี้ มีความพยายามปรับแนวทางเพลงหรือคอนเซปต์ของวงให้มีความเป็นสากลมากขึ้น เพื่อตีตลาดสู่ตะวันตกและตลาดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากขึ้น 

บทพิสูจน์ความสำเร็จที่แสดงให้เห็นว่า อุตสาหกรรมบันเทิงเกาหลีใต้ไม่ได้อยู่แค่ในตลาดจีนอีกต่อไป เกิดขึ้นเมื่อวงบอยแบนด์ชื่อดังอย่าง BTS ได้รับเชิญให้เข้าร่วมงานประกาศรางวัล ‘American Music Award’ ในปี 2017 และภาพยนตร์เรื่อง ‘Parasite’ สามารถคว้ารางวัล Oscar ได้ ในปี 2019

เมื่อถึงคราวของญี่ปุ่น

อุตสาหกรรมบันเทิงญี่ปุ่นจะซ้ำรอยกับเกาหลีใต้หรือไม่

คำถามที่ผุดขึ้นมา ท่ามกลางสถานการณ์ระหว่างจีนและญี่ปุ่นที่ยังคงตึงเครียดอยู่ในปัจจุบัน และจนถึงขณะนี้พบว่า รายการเพลง คอนเสิร์ต และแฟนมีตติงของญี่ปุ่นได้ถูกยกเลิกทำการแสดงในประเทศจีนไปแล้วมากกว่า 20 รายการ

อุตสาหกรรมบันเทิงของญี่ปุ่นมีจุดร่วมเดียวกับเกาหลีใต้คือ ‘ตลาดจีน’ ยังคงเป็นตลาดหลักที่สามารถสร้างรายได้ให้กับทั้ง 2 ประเทศได้เป็นอย่างดี 

โดยพบว่า อุตสาหกรรมบันเทิงญี่ปุ่นสามารถตีตลาดเมืองสำคัญของประเทศจีนอย่างนครเซี่ยงไฮ้ ให้กลายเป็นศูนย์กลางของการจัดนิทรรศการ ร้านค้า และกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับความบันเทิงของญี่ปุ่นได้

ข้อมูลจาก iiMedia ระบุว่า ในปีที่แล้วตลาดจีนสามารถสร้างรายได้ให้กับอุตสาหกรรมบันเทิงของญี่ปุ่นมากถึง 2.38 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 7.62 แสนล้านบาท) และคาดว่าจะสูงมากถึง 4.23 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 1.35 ล้านล้านบาท) ภายในปี 2029

นอกจากนี้ กระแสความนิยมในวัฒนธรรมและความบันเทิงของญี่ปุ่น ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในกลุ่มคนหนุ่มสาวชาวจีน แม้ว่ารัฐจะปลูกฝังกระแสชาตินิยมทั่วทั้งสังคมก็ตาม

“ถ้ามีการแบนจริง สิ่งที่เกิดขึ้นไม่เพียงแค่ฉันจะสูญเสียในสิ่งที่ฉันรักไป แต่ฉันยังต้องสูญเสียวัยเยาว์ของตัวเองไปด้วยเช่นกัน” หวัง หยูลู (Wang Yulu) นักศึกษาจีนวัย 22 ปีกล่าว

ภาพ: NIKKEI ASIA

จึงปฏิเสธไม่ได้เลยว่า การสั่งห้ามกระแสญี่ปุ่น ไม่เพียงแต่จะส่งผลกระทบต่อมูลค่าทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นในตลาดจีน แต่อาจจะสร้างผลกระทบในแง่คุณค่าทางจิตใจให้กับผู้เสพวัฒนธรรมญี่ปุ่นในจีนด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมบันเทิงของญี่ปุ่นมีความแตกต่างจากเกาหลีใต้ในช่วงปี 2016 ในแง่ที่ว่า นอกเหนือจากวงการเพลงและ J-pop แล้ว ความบันเทิงประเภทเกม อนิเมะ หรือการ์ตูนของญี่ปุ่น สามารถตีตลาดได้หลากหลายมากกว่า โดยถูกกระจายออกสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตะวันออกกลาง และสหรัฐฯ ซึ่งสามารถชดเชยให้กับมูลค่าจากตลาดจีนได้

ข้อมูลจากกลุ่มวิจัยและที่ปรึกษาทางการตลาดของสถาบัน Precedence ระบุว่า มูลค่าของตลาดอนิเมะทั่วโลกมีมากถึง 2.2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 7.04 แสนล้านบาท) และอาจสูงมากถึง 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 1.6 ล้านล้านบาท) ภายในปี 2030 

จุดสำคัญที่ทำให้อนิเมะสามารถตีตลาดได้ทั่วโลกคือ การกักตัว (Quarantine) ในช่วงการระบาดของโควิด-19 และการกำเนิดแพลตฟอร์ม ‘Netflix’ ส่งผลให้มียอดผู้รับชมและติดตามอนิเมะมากถึง 200 ล้านคนทั่วโลก ซึ่งนับเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

เป็นไปได้ว่าความหลากหลายของความบันเทิงญี่ปุ่นที่ไม่ได้จำกัดไว้เพียงแค่ภาพยนตร์ ละคร หรือเพลง รวมไปถึงการเกิดขึ้น Netflix เป็นปัจจัยสำคัญที่มีส่วนช่วยให้ญี่ปุ่นไม่จำเป็นต้องพึ่งพาตลาดจีนมากจนเกินไป และมีแนวโน้มที่จะไม่ได้รับผลกระทบหนักเท่ากับอุตสาหกรรมบันเทิงของเกาหลีใต้เมื่อช่วง 2016

มาตรการของจีน ทำไมเดินซ้ำทางเดิม

สิ่งที่น่าสังเกตคือ จีนเลือกใช้การแบนวัฒนธรรมเป็นหนึ่งในเครื่องมือตอบโต้ทางการทูต เมื่อเกิดข้อพิพาทกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างเกาหลีใต้และญี่ปุ่น

คำถามสำคัญคือ แล้วทำไมต้องเป็นทางเลือกนี้

แม้ว่าวัฒนธรรมจะเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ ทว่าในปัจจุบันวัฒนธรรมกลับสร้างเม็ดเงิน กระตุ้นเศรษฐกิจ และสร้างภาพลักษณ์เชิงบวกให้กับประเทศได้จริง และสามารถสร้างอำนาจได้ หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ ‘Soft Power’ ในเชิงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เพื่อให้รัฐสามารถนำมาใช้สร้างผลประโยชน์ได้

ในทางกลับกัน อำนาจละมุนก็ถูกนำมาใช้ให้แข็งขึ้นหรือใช้เป็นอาวุธทางการเมืองได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเลือกคว่ำบาตรทางวัฒนธรรมกับประเทศที่พึ่งพาสิ่งนี้เป็นแหล่งรายได้หลัก

อย่างการที่จีนในฐานะประเทศมหาอำนาจและตลาดใหญ่ เลือกใช้ Soft Power ของญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ให้มาเป็น ‘Hard Power’ ของตนเอง เพื่อสร้างแรงกดดันให้กับทั้ง 2 ประเทศ เนื่องจากการกระทำในลักษณะนี้ ทำได้ง่าย รวดเร็ว และเสียงบประมาณน้อยกว่าการเลือกใช้เครื่องมือทางการทหาร ทั้งยังช่วยรักษาภาพลักษณ์ผู้รักสันติภาพให้กับประเทศของตนเองได้ด้วย ขณะเดียวกันก็สามารถส่งสัญญาณเตือนให้กับประเทศคู่พิพาทว่า ตนเองมีอำนาจต่อรองที่ยังคงเหนือกว่าอยู่ดี

จีน-ญี่ปุ่นจะเป็นอย่างไรต่อไป

ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับญี่ปุ่นอยู่ในภาวะที่ ‘ทั้งรักทั้งชัง’ ตามห้วงเวลาประวัติศาสตร์มานานแล้ว ด้วยความคล้ายคลึงกันทางวัฒนธรรม ภาษา และประวัติศาสตร์ แต่ก็มีบาดแผลทางประวัติศาสตร์ต่อกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2

ทั้ง 2 ประเทศมีความระแวงต่อกันในด้านความมั่นคง การทหาร และความแตกต่างทางอุดมการณ์ทางการเมือง แต่ยังจำเป็นต้องพึ่งพากันทางด้านเศรษฐกิจในบางมิติอยู่ดี 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันการพึ่งพากันในด้านอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ (Semiconductor) ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาชิปซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในปัจจุบัน

เมื่อสะท้อนกลับมามองสถานการณ์ในปัจจุบันแล้ว แม้จะชังกันมากเพียงใด อย่างไรก็ตามจีนและญี่ปุ่นก็ยังคงต้องพึ่งพากันต่อไป เพราะถูกคล้องด้วยสิ่งที่เรียกว่า ‘ห่วงโซ่อุปทาน’ (Supply Chain) ทางเศรษฐกิจ ตามบริบทของสถานการณ์โลกในปัจจุบัน ซึ่งยากที่จะแยกออกจากกันให้ขาดได้

สิ่งเหล่านี้คงจะมีน้ำหนักพอให้รัฐบาลของทั้ง 2 ประเทศไม่กระทำการห้ำหั่นหรือแสดงท่าทีที่รุนแรงต่อกันไปมากกว่านี้

สุดท้ายแล้ว การใช้มาตรการอย่าง ‘การแบนวัฒนธรรม’ ก็ดูจะเป็นทางเลือกที่สมเหตุสมผลและควบคุมได้ดี ในขณะเดียวกันก็สามารถแสดงออกถึงความไม่พอใจและส่งสัญญาณเตือนได้ชัดมากที่สุด โดยไม่จำเป็นต้องยกระดับความรุนแรงให้บานปลายไปมากกว่านี้

ที่มา: 

https://www.scmp.com/news/china/policies-politics/article/2048551/korean-entertainment-industry-falls-victim-korea-china?module=perpetual_scroll_0&pgtype=article

https://keia.org/the-peninsula/turning-out-the-lights-the-impact-of-thaad-on-hallyu-exports-to-china/

https://www.allkpop.com/article/2025/02/china-is-finally-lifting-the-korean-content-ban-after-thaad 

https://www.koreatimes.co.kr/entertainment/shows-dramas/20170202/chinas-ban-shifting-hallyu-to-southeast-asia 

https://www.koreatimes.co.kr/entertainment/others/20251128/chinese-fans-brace-for-curbs-on-japanese-culture-echoing-hallyu-ban

https://edition.cnn.com/2025/12/02/china/china-japan-diplomatic-row-culture-intl-hnk-dst

https://www.channelnewsasia.com/world/anime-fever-grips-united-states-fuelling-growing-multi-billion-dollar-industry-japanese-animation-manga-cosplay-3491556

https://www.thinkchina.sg/politics/china-japan-dispute-japanese-entertainers-caught-political-fallout

Tags: , , , , , , , , , , , ,