วันที่ 6 ตุลาคม 2519 เป็นวันที่จารึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่า เกิดเหตุการณ์นองเลือดครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ไทย เมื่อนักศึกษาและประชาชนจำนวนมากออกมาชุมนุม เพื่อเรียกร้องสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ ต่อต้านเผด็จการ และแสดงความไม่เห็นด้วยกับจุดยืนของรัฐบาลไทยในเวลานั้น แต่เสียงเรียกร้องกลับถูกตอบโต้ด้วยกระสุนและความรุนแรงจากเจ้าหน้าที่รัฐและกลุ่มฝ่ายขวาหลายกลุ่มที่ร่วมมือกัน สุดท้ายมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 41 ราย บาดเจ็บ 145 ราย และถูกจับกุมมากถึง 3,094 ราย เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นที่รับรู้ไปทั่วโลกว่า ประเทศไทยเกิดการเข่นฆ่าประชาชนกลางเมืองอย่างเปิดเผย
ภาพจำที่ลอยขึ้นในหัวของผู้คนมักเป็นภาพนักศึกษาถูกแขวนคอ และชายคนหนึ่งใช้เก้าอี้ตีซ้ำลงบนร่างไร้ชีวิต ขณะที่ฝูงชนรอบข้างส่งเสียงเชียร์ด้วยความสะใจ ภาพเหล่านี้กลายเป็นสัญลักษณ์ของความโหดร้ายในนามของ ‘ความรักชาติ’ ทว่าเบื้องหลังภาพที่เผยแพร่ยังมีร่างของนักศึกษาหญิงหลายคนที่ถูกล่วงละเมิด บางคนเป็นนักศึกษาที่เข้าร่วมชุมนุมอย่างกล้าหาญ บางคนเป็นเพียงผู้สัญจรผ่านพื้นที่ หรือเสียชีวิตโดยไม่มีชื่อเสียงปรากฏ ไม่มีใครกล้าพูดถึงความรุนแรงทางเพศที่เกิดขึ้นกับร่างของพวกเธอ ไม่ว่าจะเป็นการคุกคาม การบังคับถอดเสื้อ หรือแม้แต่การจัดฉากศพเพื่อประจานและลดทอนความเป็นมนุษย์
หญิงสาวผู้ถูกละเมิดในเช้าวันที่ 6 ตุลา 2519
วันที่ 6 ตุลาคม 2519 คือหนึ่งในวันที่มืดมิดที่สุดของประวัติศาสตร์ไทย วันที่เสียงปืนและความเกลียดชังกลืนกินชีวิตของนักศึกษาและประชาชนผู้เรียกร้องประชาธิปไตยที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ แต่ภายใต้ความโหดร้ายที่ปรากฏผ่านตัวเลขผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ ยังมีเรื่องราวที่สะเทือนใจยิ่งกว่า เพราะมี ‘ผู้หญิง’ ที่ต้องเผชิญความรุนแรงซ้ำซ้อน ทั้งในฐานะศัตรูทางอุดมการณ์และในฐานะเพศหญิง
สิ่งที่เกิดขึ้นในเช้าวันนั้นสะท้อนให้เห็นอย่างเจ็บปวดว่า การใช้ความรุนแรงทางเพศเป็นเครื่องมือกดขี่และลดทอนความเป็นมนุษย์ของผู้หญิง เป็นกลไกที่ดำรงอยู่ในสังคมชายเป็นใหญ่มาอย่างยาวนาน และในเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ ก็ไม่ต่างกัน ผู้หญิงในขบวนการประชาธิปไตยหลายคนถูกคุกคาม ถูกบังคับให้ถอดเสื้อ เหลือเพียงแค่ชุดชั้นใน ถูกบังคับให้นอนคว่ำกับพื้น เพื่อประจานและเหยียบย่ำศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของพวกเธอ
“พี่ทองใบแอบเอาภาพมาให้เราดู เราถึงเห็นความทารุณ มีการเอาลิ่มตอกช่องคลอดผู้หญิง ผู้หญิงถูกบังคับให้ถอดเสื้อ แต่ภาพที่โดนลิ่มตอก พวกคุณเห็นใช่ไหม ภาพคนลากศพไปแขวนที่ต้นไม้ในสนามหลวง ภาพนำศพไปนั่งยาง ภาพนั้นน่ากลัวมาก” มุมมองจาก วิโรจน์ ตั้งวาณิชย์ อดีตนักกิจกรรมชาวไทย กล่าว
“มีแต่คนทั้งนั้น ถอดเสื้อถอดอะไร ผู้หญิงก็ต้องถอดหมดนะเหลือแต่ยกทรง และก็คว่ำอยู่อย่างนี้” สมบูรณ์ เกตุผึ้ง อดีตช่างภาพหนังสือพิมพ์สยามรัฐ กล่าวกับบีบีซีไทย
คำบอกเล่าของพยานในวันนั้นทำให้เห็นว่า ความรุนแรงทางเพศไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความใคร่ แต่เพราะ ‘อำนาจ’ ที่ต้องการแสดงความเหนือกว่า ด้วยการทำให้ผู้หญิง เป็นเพียงวัตถุระบายความเกลียดชังของรัฐและฝ่ายขวาจัด
หนึ่งในหญิงสาวที่ตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงครั้งนั้นคือ วัชรี เพชรสุ่น เธออายุเพียง 20 ปี เป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะวิทยาศาสตร์ สาขาเคมี มหาวิทยาลัยรามคำแหง เด็กสาวจากจังหวัดชัยภูมิ ผู้เคยมีความฝันและชีวิตธรรมดาเหมือนคนวัยเดียวกัน แต่ในเช้าวันนั้น เธอถูกยิงเข้าที่หลังด้วยกระสุน 3 นัด กระสุนทะลุเข้าช่องอกจนเสียชีวิต
วัชรีไม่ได้ถูกข่มขืนขณะมีชีวิตอยู่ ทว่าความรุนแรงทางเพศได้เกิดขึ้นกับร่างของเธอหลังความตาย มีการจับเธอเปลื้องผ้า เหยียบย่ำศพของเธอด้วยการจัดฉากให้ร่างเปลือยเปล่า และวางไว้กลางลาน ราวกับจะบอกให้สังคมเห็นว่านี่คือชะตากรรมของหญิงที่กล้าท้าทายอำนาจ
ทีมงานโครงการ ‘บันทึก 6 ตุลา’ พยายามค้นหาความจริงของหญิงสาวคนนี้จากเอกสารชันสูตรพลิกศพ และพบว่า ใบหน้าและรูปร่างของศพหญิงเปลือยในภาพถ่ายตรงกับวัชรีมาก ทั้งโครงหน้า รูปกราม และดวงตาที่หลับไม่สนิท รายงานชันสูตรระบุว่า เธอเสียชีวิตจากกระสุนปืน 3 นัด ไม่ได้ระบุร่องรอยของการข่มขืน แต่ทีมงานตั้งข้อสันนิษฐานไว้ 2 ทาง คือ 1. เธออาจไม่ได้ถูกกระทำในลักษณะนั้นจริง แต่ถูก ‘จัดฉาก’ เพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้ดูน่ากลัวและน่ารังเกียจ หรือ 2. เธออาจถูกทำร้ายจริง เพียงแต่แพทย์ไม่ได้บันทึกไว้ในรายงาน ซึ่งในยุคนั้นการชันสูตรพลิกศพโดยเฉพาะของโรงพยาบาลตำรวจ มักบันทึกเพียงสั้นๆ และไม่ละเอียดพอจะเปิดเผยความจริงได้ทั้งหมด
ไม่ว่าจะเป็นกรณีใด สิ่งที่แน่นอนคือ ร่างของวัชรีถูกล่วงละเมิดหลังความตาย ร่างที่ควรได้รับความเคารพกลับถูกนำมาแสดงต่อสาธารณะ ถูกเปลื้องผ้า ถูกจัดท่าอย่างอุจาด เพื่อทำลายศักดิ์ศรีของความเป็นหญิงและปฏิเสธความเป็นมนุษย์ของเธออย่างสิ้นเชิง
กว่า 40 ปีผ่านไป ภาพของเธอยังคงปรากฏอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์ ไม่ใช่เพียงเพื่อรำลึกถึงความโหดร้ายของรัฐต่อประชาชน แต่ยังเป็นเครื่องเตือนใจว่า ความรุนแรงทางเพศในฐานะ ‘อาวุธของอำนาจ’ ยังคงดำรงอยู่ในสังคม ไม่ว่าจะในสนามรบหรือในสังคมที่ยังไม่เท่าเทียมระหว่างเพศ
นักศึกษาผู้เรียกร้องสิทธิสตรี กับความรุนแรงบนรถเมล์ใน ‘6 ตุลาฯ’
สุชีลา ตันชัยนันท์ คือหนึ่งในนักศึกษาธรรมศาสตร์ผู้ผ่านเหตุการณ์ ‘6 ตุลาฯ 2519’ ทั้งในฐานะนักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิสตรีและในฐานะ ‘เหยื่อ’ ของความรุนแรงโดยรัฐ เธอถูกจับกุม คุมขัง และต้องเผชิญกับการคุกคามทางเพศบนรถเมล์ที่ใช้ขนย้ายนักศึกษาหลังเหตุการณ์ปราบปราม
สุชีลาเกิดในครอบครัวชนชั้นกลางเชื้อสายจีน เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในปี 2516 ช่วงเวลาที่ขบวนการนักศึกษากำลังเติบโตและกลายเป็นพลังทางสังคมสำคัญ เธอเริ่มต้นจากการร่วมชุมนุมเล็กๆ เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้เพื่อนนักศึกษาที่ถูกไล่ออกจากรามคำแหง ก่อนจะค่อยๆ ขยับเข้ามามีบทบาทในขบวนการนักศึกษาเต็มตัว โดยเฉพาะใน ‘กลุ่มผู้หญิงธรรมศาสตร์’ ซึ่งตั้งขึ้นเพื่อผลักดันประเด็นความเท่าเทียมระหว่างหญิงชาย และทำกิจกรรมเพื่อสังคมอย่างต่อเนื่อง ทั้งการศึกษาปัญหาโสเภณี การรณรงค์ต่อต้านการประกวดนางสาวไทย และการลงพื้นที่ช่วยเหลือชุมชนชนบท
ปี 2519 สุชีลายังคงเป็นแกนนำนักศึกษาคนสำคัญของศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย แต่แล้วทุกอย่างก็พลิกผันในเช้าวันที่ 6 ตุลาคม เมื่อเจ้าหน้าที่รัฐพร้อมอาวุธครบมือบุกเข้าปิดล้อมมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ยิงกราดเข้าใส่นักศึกษาที่มีเพียงมือเปล่า เธอเล่าว่า ภาพที่เห็นในวันนั้นคือ ‘ความป่าเถื่อน’ ที่โหดยิ่งกว่าสงคราม เจ้าหน้าที่บางคนสูบบุหรี่พลางนอนยิงอย่างใจเย็น เหมือนนักล่าสัตว์ที่เลือกเหยื่อได้ตามใจชอบ ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง โดยมีคำอ้างเดียวที่ใช้กลบเกลื่อนความรุนแรงคือ เพื่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์
สุชีลาและเพื่อนพยายามติดต่อขอเจรจายุติการชุมนุม ยืนยันว่าไม่มีอาวุธ แต่เสียงร้องขอเหล่านั้นกลับไร้ค่า เมื่อกระสุนยังคงสาดเข้ามาทุกทิศทาง เหตุการณ์ครั้งนั้นคร่าชีวิตประชาชนกว่า 40 ราย และทำให้หลายพันรายถูกจับกุม
หลังการปราบปรามยุติลง สุชีลาถูกเจ้าหน้าที่ต้อนขึ้นรถเมล์สาย 53 ที่ดัดแปลงเป็นรถขนนักศึกษาผู้รอดชีวิตจากการสังหารหมู่ เธอเล่าว่า รถเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ ท่ามกลางเสียงตะโกนด่าทอและเสียงพานท้ายปืนที่กระแทกหัวผู้โดยสารอย่างต่อเนื่อง จนมาถึงหน้ากระทรวงยุติธรรม กลุ่มชายฉกรรจ์พุ่งขึ้นมาบนรถพร้อมร่องรอยเลือดบนมือจากการเผาผู้คน พวกเขาทุบตีและลวนลามนักศึกษาหญิงอย่างเหี้ยมโหด
“มือของสัตว์ป่าที่เอื้อมเข้ามาขยำหน้าอกของฉัน น้ำตาไหลอาบแก้ม เหมือนเรากลายเป็นเชลยศึกในสงคราม” เธอบันทึกไว้ในความทรงจำอันขมขื่นนั้น
จากรถเมล์สาย 53 สุชีลาถูกนำตัวไปคุมขังที่โรงเรียนตำรวจนครบาลบางเขน ซึ่งกลายเป็นเรือนจำชั่วคราวที่มีผู้ต้องหากว่า 3,000 ราย ต่อมาเธอถูกย้ายไปอยู่ที่ทัณฑสถานหญิงลาดยาว ระหว่างการสอบสวน เจ้าหน้าที่พยายามบังคับให้สุชีลายอมรับว่า นักศึกษาถูกยุยงโดยกลุ่มหัวรุนแรงและเคยผ่านการฝึกใช้อาวุธ แต่เธอปฏิเสธทั้งหมด เพราะรู้ว่าคำกล่าวเหล่านั้นเป็นเพียงข้ออ้าง เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับการฆ่านักศึกษา
สุชีลาถูกคุมขังร่วมกับนักศึกษาอีก 18 ราย เป็นเวลานานเกือบ 2 ปี จนในที่สุดพวกเธอได้รับอิสรภาพจากพระราชกฤษฎีกานิรโทษกรรมในปี 2521
ร่างกายผู้หญิงกับอำนาจรัฐใน 6 ตุลา
เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ไม่ใช่เพียงโศกนาฏกรรมทางการเมือง แต่ยังเผยให้เห็นมิติของความรุนแรงเชิงเพศที่ซ่อนอยู่ในประวัติศาสตร์ ผู้หญิงในขบวนการนักศึกษากลายเป็นเป้าหมายของการคุกคามทั้งทางตรงและทางอ้อม ทั้งขณะมีชีวิตและหลังความตาย ร่างกายและศักดิ์ศรีของพวกเธอถูกลดทอนอย่างโหดร้าย เพื่อสร้างความหวาดกลัวและแสดงอำนาจของรัฐ ความรุนแรงเหล่านี้สะท้อนอคติทางเพศและโครงสร้างชายเป็นใหญ่ที่ฝังลึกในสังคมไทย
แม้กาลเวลาจะผ่านไปกว่า 40 ปี ภาพความทรงจำของผู้เสียชีวิตทั้งชายและหญิงยังคงเตือนใจถึงความโหดร้ายและความอยุติธรรมที่เกิดขึ้น เหตุการณ์นี้เป็นเครื่องเตือนใจให้สังคมตระหนักถึงความสำคัญของสิทธิและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ รวมถึงบทบาทและความกล้าหาญของผู้หญิงที่ยืนหยัดเรียกร้องความเท่าเทียมและประชาธิปไตย แม้ต้องเผชิญกับอำนาจและความรุนแรง
อ้างอิง:
https://www.bbc.com/thai/articles/cj7344n5neno
https://doct6.com/archives/13421
https://doct6.com/archives/13520
https://doct6.com/learn-about/how?fbclid=IwY2xjawNPlQFleHRuA2FlbQIxMABicmlkETE3RUJWT1JyekZnTHdUb3JxAR5ey7-RT6J6WH1NC9-vh3wAK3Kn4gl77kjesekVUNo0RwrwKFa8yofzTUnMDw_aem_tJoMISKupZ19csfmdWwXyg
https://doct6.com/wp-content/uploads/2017/12/B021-น.ส.วัชรี-เพชรสุ่น.pdf
https://mirrorthailand.com/movinon/socialissues/100639
https://www.silpa-mag.com/history/article_56485
Tags: 6 ตุลาคม 2519, การล่วงละเมิดทางเพศ, ผู้หญิง, 6 ตุลา, ความรุนแรงทางเพศ