ในเมืองหลวงอย่างกรุงเทพฯ ที่เต็มไปด้วยสีสันของกิจกรรมที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ ไม่ว่าจะเป็นอีเวนต์รวมของกลุ่มคนรักการวิ่ง หรือกิจกรรมสำหรับคนโสด แล้วทำไมในต่างจังหวัดถึงไม่มีสิ่งเหล่านี้บ้าง

จากคำถามนั้นกลายเป็นแรงบันดาลใจให้ นุกนิก-อารีญา ศรีชาติ และ ปั๊กเป้า-สุธานิจ ทัพซ้าย คนรุ่นใหม่ที่มีใจรักบ้านเกิด ร่วมกันก่อตั้งเพจ ‘ม่วนจอย’ ขึ้นในจังหวัดขอนแก่น ด้วยความตั้งใจที่จะขับเคลื่อนเมืองผ่านกิจกรรมสร้างสรรค์ที่เปิดพื้นที่ให้ผู้คนออกจากโลกออนไลน์มาพบปะกันในโลกจริง

ม่วนจอย คือคอมมูนิตี้ที่เชื่อว่าการเจอกันตัวเป็นๆ ยังมีพลังเสมอ พวกเขาจึงจัดกิจกรรมอย่าง Run Club ที่ชวนคนมาออกวิ่งด้วยกัน หรือแม้แต่ Speed Dating ที่สร้างโอกาสให้คนแปลกหน้าได้มาทำความรู้จักกัน

นุกนิกและปั๊กเป้าเป็นคนขอนแก่น และเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ทำเพจม่วนจอย ที่อยากเห็นขอนแก่นกลายเป็นเมืองที่มีชีวิต มีสีสัน และมีพื้นที่ให้ทุกคนได้ ‘ม่วน’ ไปด้วยกันในทุกวัน 

หากจะบอกว่าทั้งนุกนิกและปั๊กเป้าเป็นสายออกกำลังกายหรือชอบวิ่งจนต้องลุกขึ้นมาเปิดเพจก็อาจพูดได้ไม่เต็มปาก แต่หากกล่าวว่าทั้ง 2 คนชอบเข้าสังคม พบเจอผู้คน บวกกับความอินเรื่องการสร้างคอมมูนิตี้ในขอนแก่นที่ติดตัวมาตั้งแต่วัยรุ่น นั่นอาจเป็นแรงจูงใจในการทำเพจได้ เพราะมากกว่าการวางตัวเป็นสื่อออนไลน์ เพจของทั้งคู่ยังอยากเป็นแรงผลักดันไปถึงการพัฒนาเมือง ที่ผู้ได้ประโยชน์ไม่ใช่คนทำเพจ แต่คือคนขอนแก่นทุกคน

“ขอนแก่นเป็นเมืองที่คนมีสไตล์ มีความเป็น Urban อยู่แล้ว”

“จุดเริ่มต้นของม่วนจอย เริ่มจากความรู้สึกง่ายๆ ว่า ขอนแก่นก็เป็นเมืองที่คนมีสไตล์ มีความเป็น Urban อยู่แล้วเราไม่ได้คิดว่าเมืองเราล้าหลัง เราแค่สงสัยว่า ‘ทำไมกิจกรรมหรือพื้นที่ที่สะท้อนชีวิตแบบนี้ถึงมีน้อย’ พอไม่มีใครทำ เราก็ทำเอง” ปั๊กเป้าเล่า

“ม่วนจอยเริ่มต้นในเดือนตุลาคม 2024 เพราะเราเชื่อว่าที่ขอนแก่นก็มีคนที่อยากใช้ชีวิตสนุกๆ เราทำเพจนี้มายังไม่ถึงปีด้วยซ้ำ แต่เราได้ทำอะไรไปเยอะมาก ทั้งกิจกรรมที่ต้องชวนคนอื่นๆ มาร่วม การรีวิว และการจัดอีเวนต์อย่าง Run Club ที่เราอยากสร้างคอมมูนิตึ้ให้คนที่มีความชอบเหมือนกันได้มาเจอกัน หรือการจัด Speed Dating ที่จัดไปแล้ว 3 ครั้ง” นุกนิกกล่าว

ปั๊กเป้าเสริมว่า “ด้วยความที่ขอนแก่นมีแค่ไม่กี่ห้าง จึงไม่มีอะไรให้ทำ ด้วยความที่เราชอบเข้ากรุงเทพฯ เลยได้เห็นอีเวนต์ต่างๆ เลยคิดว่าอยากให้ขอนแก่นมีบ้าง แล้วก็รู้สึกว่าอีเวนต์เหล่านี้จะช่วยให้ผู้คนมีอะไรทำ และไม่ใช่แค่เดินห้างวันหยุดอย่างเดียว ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีใครทำ เราเลยทำเอง”

“ความม่วนจอยต้องมาก่อน ต้องทำให้จริงและไม่ประดิษฐ์”

ถ้าจะให้อธิบายสั้นๆ การจัดกรรมต่างๆ ของม่วนจอยเน้นที่ความสนุกและไม่ประดิษฐ์ ปั๊กเป้าและนุกนิกยืนยันตรงกันว่า ทุกอีเวนต์ที่ทำม่วนจอยต้องมาก่อน เหมือนชื่อเพจที่ ‘ม่วน’ ภาษาอีสานหมายถึงความสนุก ส่วนจอย เป็นคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษ ‘Joy’ ที่แปลว่าความสุข และความสนุกแบบจัดเต็ม ดังนั้นกุญแจสำคัญจึงอยู่ที่การสร้างบรรยากาศ “เราอยากให้คนมางานแล้วรู้สึกเป็นตัวเอง ชิลๆ ไม่ต้องฝืนยิ้ม แล้วออกไปพร้อมกับความรู้สึกว่า ‘ครั้งหน้าเดี๋ยวมาอีก’” 

ปั๊กเป้าเล่าถึงแนวคิดในการจัดอีเวนต์ว่า “เราไม่อยากให้ดูเป็นทางการหรือจัดฉากจนเกินไป อย่างการจัด Run Club เน้นความเรียลและไม่จริงจัง ไม่มีแม้กระทั่งการลงทะเบียนล่วงหน้า สิ่งที่ดึงดูดผู้คนคือการเปลี่ยนบรรยากาศและเส้นทางการวิ่งไปเรื่อยๆ ในแต่ละสัปดาห์ เราจะประกาศเส้นทางวิ่งประมาณวันศุกร์หรือวันเสาร์ ทุกคนจะคอยลุ้นว่าเราจะพาไปวิ่งที่ไหน”

แม้ทั้งคู่จะบอกว่า ‘ไม่ชอบวิ่ง’ แต่กลับชอบบรรยากาศที่ทุกคนได้มาวิ่งด้วยกันและแบ่งปันความเหนื่อยล้า กิจกรรมวิ่งแต่ละครั้งเป็นระยะทางสั้นๆ มีผู้เข้าร่วมประมาณ 70-100 คน นอกจากนี้ทุกเดือนยังมีการจัด Coffee Party หลังการวิ่ง ซึ่งครั้งล่าสุดมีผู้เข้าร่วมถึง 170 คน จัดขึ้นที่รูฟท็อปของโรงแรม โดยมีดีเจและของรางวัลแจก นุกนิกเสริมว่า “มันคือกิจกรรมใหม่ๆ ที่ทุกคนอยากเข้าร่วม”

“อยากสร้างพื้นที่ปลอดภัยเพื่อชาวขอนแก่น”

เมื่อถามถึงสิ่งที่ชาวขอนแก่นจะได้รับจากการเข้าร่วมอีเวนต์ของม่วนจอย นุกนิกอธิบายว่า “สิ่งที่เราตั้งใจตั้งแต่แรกคือ การสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้คนขอนแก่น นอกจากความสนุกสนานแล้ว กิจกรรมอย่าง Speed Dating ก็ถูกออกแบบมา เพื่อส่งเสริมการพูดคุยอย่างเคารพความเป็นส่วนตัว ไม่ให้มีคำถามที่รุกล้ำ เพื่อให้ทุกคนรู้สึกปลอดภัย”

นอกจากประโยชน์ที่ผู้เข้าร่วมจะได้รับแล้ว นุกนิกยังมองว่า การจัดกิจกรรมของม่วนจอย ยังช่วยให้ตัวเมืองขอนแก่นได้ประโยชน์ด้วย “เราอยากให้เมืองมีภาพจำใหม่ เมื่อก่อนเวลาคนมาเที่ยวขอนแก่น มักจะแนะนำได้แค่ห้างสรรพสินค้าหรือร้านอาหาร แต่เราต้องการให้ขอนแก่นมีกิจกรรมและอีเวนต์อื่นๆ ที่น่าสนใจเพื่อเป็นทางเลือกใหม่”

สำหรับแผนในอนาคต ม่วนจอยมีแนวคิดที่จะจัดอีเวนต์หลากหลายรูปแบบมากขึ้น เช่น สวิงแจ๊ซ หรืองานที่เป็นการรวมตัวของร้านอาหารกับตลาดของมือสอง เพื่อสร้างกิจกรรมที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของชาวขอนแก่นที่ชอบออกมาใช้ชีวิตนอกบ้าน

“อยากให้ทุกคนลุกขึ้นมาทำจริงๆ”

เมื่อพูดถึงการทำงานในบ้านเกิดอย่างขอนแก่น ปั๊กเป้ามองว่าจังหวัดไม่ได้ขาดศักยภาพ แต่สิ่งที่ขาดคือ คนที่จะลุกขึ้นมาทำงานจริงๆ เหมือนที่พวกเขาทำอยู่

สำหรับสิ่งที่ขอนแก่นยังพัฒนาได้คือ ระบบขนส่งสาธารณะ “มันเป็นเรื่องที่เราคุยกันมานานมาก แต่ก็ยังไม่เกิดขึ้น” ปั๊กเป้ากล่าวถึงประเด็นนี้ซึ่งเป็นประโยชน์ทั้งกับนักท่องเที่ยวและคนท้องถิ่น เธอยังเล่าถึงเพื่อนสนิทที่พยายามอย่างเต็มที่ในการพัฒนารถเมล์สาธารณะ แต่ขาดการสนับสนุนด้านเงินทุน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความร่วมมือของคนในกลุ่มที่พยายามพัฒนาขอนแก่น

สิ่งที่ทำให้เธอยังเชื่อมั่นในจังหวัดนี้คือ ‘คน’ โดยเฉพาะความเป็นคนขอนแก่น ‘เป็นคนเฮ็ดขึ้น สร้างขึ้น’ หมายถึงการเริ่มต้นจากศูนย์และสร้างทุกอย่างขึ้นมาด้วยตัวเอง มีความช่วยเหลือเกื้อกูลกันในชุมชน คนขอนแก่นรู้จักกันและพร้อมจะช่วยเหลือกันและกัน

แม้ในเมืองอาจยังไม่มีแลนด์มาร์กหรือแหล่งท่องเที่ยวที่โดดเด่นมากนัก แต่นั่นก็คือพื้นที่เปิดที่ยังรอให้ใครสักคนลุกขึ้นมาสร้าง และทั้งคู่ก็คือหนึ่งในกลุ่มคนเหล่านั้น

“คนรุ่นใหม่กลับมาพัฒนาบ้านเกิดเยอะขึ้น เพราะเขามองเห็นโอกาสการเติบโต”

“ถ้าพูดถึงคนรุ่นเดียวกับเราที่กลับมาพัฒนาบ้านเกิดในขอนแก่น มีเยอะเลยค่ะ” ปั๊กเป้าตอบทันที พร้อมเล่าย้อนว่า ช่วงหลังโควิด-19 คือจุดเปลี่ยนสำคัญ หลายคนที่เคยทำงานประจำในกรุงเทพฯ เริ่มกลับมาอยู่บ้าน และเริ่มเห็นว่าจริงๆ แล้วบ้านก็มีศักยภาพพอๆ กับเมืองใหญ่

“บางคนกลับมาเพราะรู้สึกหมดไฟกับกรุงเทพฯ แล้วพอกลับมาอยู่บ้านก็พบว่ามันดีเหมือนกัน มันอยู่ได้ ทำมาหากินได้ ไม่เห็นต้องกลับไปกรุงเทพฯ เลย ขณะเดียวกันการกลับมาไม่ได้แปลว่าจะง่ายขึ้น กลับกัน หลายคนต้องขยันและเหนื่อยกว่าเดิม เพราะต้องทำหลายอาชีพเพื่อให้อยู่รอดในพื้นที่ที่การแข่งขันยังไม่ชัดเจนเท่าเมืองหลวง”

“อยากให้ขอนแก่นมีความ Urban กว่านี้”

ถามว่าเสน่ห์ของขอนแก่นคืออะไร นุกนิกตอบทันทีแบบไม่ต้องคิดนานว่า “สถานที่ต่างๆ ใกล้กันหมดเลยนะ แบบจุดต่อจุดไม่ห่างกันมาก ขับรถวนหนึ่งวันก็เที่ยวได้หลายที่” แม้เธอจะยังไม่มั่นใจว่าแบบนี้เรียกว่าเสน่ห์ได้ไหม แต่ก็เห็นภาพชัดเจนว่าเมืองนี้ไม่ได้ไกลเกินไป ไม่ว่าจะอยากแวะคาเฟ่ ขับรถไปดูงานคราฟต์ หรือปั่นจักรยานชมวิวตอนเย็น

แต่ถ้าถามว่า ขอนแก่นมีดีแค่สถานที่หรือเปล่า ทั้ง 2 คนตอบพร้อมกันเลยว่า “เปล่าเลย คนขอนแก่นนี่แหละคือเสน่ห์ที่แท้จริง เพราะเมืองนี้เป็นเมืองมหาวิทยาลัย ทำให้มีประชากรวัยรุ่นและนักศึกษาเยอะ บรรยากาศเมืองเลยคึกคักอยู่ตลอด คนขอนแก่นม่วนจอยนะ เป็นคนสนุก ชอบทำกิจกรรม แล้วก็เหมือนเป็นอีเวนต์เลิฟเวอร์ พอมีอะไรจัดขึ้นมาก็ออกจากบ้านไปจอยกันหมด” ไม่แปลกเลยที่คาเฟ่จะแน่นเสมอในวันหยุด และกิจกรรมเล็กๆ ตามสวนสาธารณะก็คึกคักทุกสัปดาห์

ด้านปั๊กเป้าเสริมเรื่องอาหารขึ้นมาว่า “ขอนแก่นเรามี ‘ข้าวโจ้โรยงา’ นะ เป็นอาหารที่เทศบาลเขาโหวตให้เป็นเมนูประจำจังหวัด” เพราะถึงแม้ข้าวโจ้โรยงาจะถูกเสนอให้เป็นอาหารประจำถิ่นอย่างเป็นทางการ แต่คนในพื้นที่กลับไม่ค่อยอินเท่าไร “เอาจริงๆ นะ ถ้าให้คนขอนแก่นเลือกเอง เมนูประจำจังหวัดต้องเป็นหมูย่าง ส้มตำ แล้วก็ก้อยเสือคั่วจากร้านโจ๋น” เมนูเด็ดที่ทั้งสองยืนยันว่านี่แหละของจริง

เมื่อถามถึงภาพอนาคตของขอนแก่นที่อยากเห็น ทั้งคู่ตอบตรงกันว่า อยากให้เมืองมีความ Urban มากขึ้น “เราไม่ได้มองว่าขอนแก่นเป็นบ้านนอกนะ แต่แค่อยากให้มันมีอะไรมากขึ้น มีกิจกรรม มีพื้นที่ให้คนออกมาทำอะไรสนุกๆ ได้ เราอยากเห็นขอนแก่นกลายเป็นเมืองที่คนกรุงเทพฯ ยังต้องร้องว้าวหรือตกใจว่า ขอนแก่นมีแบบนี้ด้วยเหรอ อยากให้ภาพจำของคนขอนแก่นและชาวอีสานดูน่ารัก เท่ และน่าค้นหา ไม่แพ้เมืองใหญ่เมืองไหนในประเทศ”

“ดีใจที่มีงานแบบนี้ในขอนแก่น ไม่งั้นคงไม่ได้เจอเพื่อนใหม่เลย”

ตลอด 1 ปีที่ทำเพจอย่างจริงจัง ปั๊กเป้าเล่าว่า “มีหลายโมเมนต์มากที่ทำให้รู้สึกว่า ทุกอย่างที่เหนื่อยมามันคุ้มแล้ว ช็อตที่จำไม่ลืมคือตอนที่มีคนเดินเข้ามาบอกว่า ‘ดีใจที่มีงานแบบนี้ในขอนแก่น ไม่งั้นคงไม่ได้เจอเพื่อนใหม่เลย’ ประโยคนั้นสั้นๆ แต่ทำให้เรารู้สึกดีมากๆ”

นุกนิกก็เสริมด้วยรอยยิ้มว่า “ช่วงแรกๆ ที่จัดงาน เราจะมี OpenChat ให้ทุกคนคุยกัน แล้วพอจัดเสร็จ คนก็จะเข้ามาพิมพ์ขอบคุณ บอกว่าถ้าไม่มีงานนี้ก็ไม่มีเพื่อนวิ่ง ไม่มีเพื่อนคุย บางคนไม่ใช่คนที่ชอบวิ่งด้วยซ้ำ แต่เขามาเพราะอยากเจอคนใหม่ๆ” ข้อความเหล่านี้กลายเป็นพลังใจสำคัญของทั้ง 2 คน

สำหรับเป้าหมายระยะยาวของ ‘ม่วนจอย’ ทั้งสองอยากให้เพจเติบโตเป็นคอมมูนิตี้ของคนรุ่นใหม่ในขอนแก่น “เราอยากสร้างพื้นที่ที่คนสามารถมาเจอกัน มาแชร์ความสนุก มาเติมพลังกัน” ปั๊กเป้าอธิบายถึงคอนเซปต์ Curating Trend, Creating Joy ที่เป็นเหมือนเข็มทิศในการจัดทุกอีเวนต์ “เราว่าเมืองมันจะ Urban ขึ้นได้ ถ้ามีคนแบบเราลุกขึ้นมาทำอะไรใหม่ๆ และพอเราทำ คนอื่นก็เริ่มทำตาม มันก็ยิ่งดี”

นุกนิกกล่าวทิ้งท้ายว่า บางครั้งความใจฟูไม่ได้มาจากจำนวนคนหรือเสียงชื่นชม แต่มาจากการได้เห็นแรงกระเพื่อมเล็กๆ ที่เริ่มขยับ เมืองจึงเริ่มมีสีสัน และผู้คนเริ่มเห็นคุณค่าในตัวเองมากขึ้นทีละนิด

Tags: , , , , , , , , , ,