หากพูดถึง ‘สงครามเย็น’ คุณจะนึกถึงอะไร?

แน่นอนว่า สำหรับคนไทยแล้ว ภาพจำของสงครามเย็นมักยึดโยงกับสหรัฐอเมริกา ทหาร GI ที่เหมือนหลุดออกมาจากหนังฝรั่งเก่าๆ จนถึงคำตอบสุดสร้างสรรค์อย่าง ‘ข้าวผัดอเมริกัน’ ที่ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับอเมริกัน? และเพลงจดหมายรักจากเมียเช่า ของ มานี มณีวรรณ ก็ถือว่าไม่ผิดแปลกแต่อย่างใด

เช่นเดียวกันกับสิ่งต่างๆ ใน ‘อีสาน’ หรือภาคตะวันออกเฉียงเหนือในปัจจุบัน ก็ก่อกำเนิดจากความขัดแย้งดังกล่าว หลังสหรัฐอเมริกาและรัฐไทย (ในยุคอำนาจนิยม) เข้ามาแปรเปลี่ยนพื้นที่ชายขอบนอกสายตา ให้กลายเป็นพื้นที่สำคัญผ่านเลนส์ความมั่นคง ทั้งนี้เพื่อหล่อหลอมให้ภูมิภาคมีความเป็น ‘ไทย’ มากขึ้น ขณะที่ยังเป็นสนามต่อสู้กับลัทธิคอมมิวนิสม์ ทั้งในรั้วและนอกบ้านในทศวรรษ 1950-1960  

เพราะทุกภาพมีเรื่องเล่าและทุกประวัติศาสตร์มีที่มา The Momentum พาทุกคนออกสำรวจตามรอยมรดกสงครามเย็นในอีสานทั้ง 4 จังหวัด ได้แก่ นครราชสีมา อุดรธานี ขอนแก่น และหนองคาย ที่ไม่ได้มีแค่ร่องรอยความเป็นสมัยใหม่ (Modernization) จากการเข้ามาของมหาอำนาจและส่วนกลาง

  แต่ยังเต็มไปด้วยบาดแผลและร่องรอยที่เราไม่เคยได้สัมผัสกันมาก่อน

1. ถนนมิตรภาพ

หากพูดถึงมรดกสงครามเย็นในอีสาน ชื่อของถนนมิตรภาพต้องขึ้นมาเป็นอันดับต้นๆ โดยถนนสายนี้มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า ทางหลวงหมายเลข 2 สายสระบุรี-สะพานมิตรภาพ จังหวัดหนองคาย มีความยาวราว 509 กิโลเมตร เริ่มสร้างตั้งแต่ปี 2498 จนเปิดให้รถเดินอย่างเป็นทางการในปี 2500

ถนนมิตรภาพถือเป็นประตูที่ทลายความเป็นอื่นระหว่างรัฐไทยกับอีสาน ทำให้การเดินทางไปมาหาสู่ง่ายขึ้น โดยโครงการดังกล่าวได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลสหรัฐฯ ในการก่อสร้าง ภายใต้นโยบายพัฒนา ซึ่งเป็นนโยบายเรือธงต่อประเทศโลกที่ 3 ในช่วงสงครามเย็น

วิภาวี ศรีฟ้า อาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ผู้ทำวิจัยเรื่องหญิงอีสานในช่วงสงครามเย็น อธิบายเบื้องหลังการสร้างถนนมิตรภาพไว้ว่า เป็นมุมมองการพัฒนาแนวทางเศรษฐกิจทุนนิยมโลกเสรีในแบบสหรัฐฯ โดยเชื่อว่า เมื่ออีสานเจริญขึ้นก็จะไม่หันไปฝักใฝ่ลัทธิคอมมิวนิสม์

2. มหาวิทยาลัยขอนแก่น 

‘น้ำไหล ไฟสว่าง ทางดี’

คือนโยบายของ จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ อดีตผู้นำเผด็จการในช่วงยุค 2500 ที่นำไปสู่การสร้างมหาวิทยาลัยขอนแก่นในปี 2507 ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับที่ 1 โดยมีสหรัฐฯ สนับสนุนเพื่อพัฒนาอีสาน ให้กินดีอยู่ดี ฟื้นตัวจากภาวะแห้งแล้งและยากจน อีกทั้งยังเป็นนโยบายหวังผลเพื่อปราบปรามและป้องกันกลุ่มคอมมิวนิสต์

ทั้งนี้รายงานจาก The Isaan Record เผยบันทึกของ สรรใจ แสงวิเชียร นายแพทย์ที่เขียนบทความแพทย์เคลื่อนที่ของศิริราช ที่อุดรธานี ซึ่งอธิบายเบื้องหลังการสร้างมหาวิทยาลัยขอนแก่นไว้ว่า ในช่วงเวลาดังกล่าว พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยแข็งแกร่งขึ้น โดยเฉพาะภูมิภาคอีสาน ขณะที่ส่วนกลางเข้าถึงภูมิภาคยาก ทั้งไร้ถนน ไม่มีโรงเรียน และขาดโรงพยาบาล รัฐบาลจึงพยายามแก้ไขปัญหา และเชื่อมต่อกับภูมิภาคด้วยการสร้างขอนแก่นให้เป็นศูนย์กลางของอีสาน ด้วยการวางสาธารณูปโภค และสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น ถนน เขื่อน และมหาวิทยาลัย

3. ค่ายรามสูร-พิพิธภัณฑ์ค่ายรามสูร

ค่ายรามสูรหรือเป็นที่รู้จักในชื่อ ‘สถานีช้าง’ อยู่ใน ตำบลโนนสูง อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี สร้างขึ้นในปี 2507 เป็นสถานีดักฟังการสื่อสารทางวิทยุและระบุพิกัดของศัตรูที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย และเป็นอันดับ 2 ของโลก ณ เวลานั้น โดยมีจุดเด่นคือ เสาวิทยุสูง 20 เมตรราว 48 ต้น และเสาเล็กอีก 96 ต้น

ว่ากันว่า เมื่อครั้งที่กองทัพสหรัฐฯ ยังประจำการอยู่ สภาพในค่ายมีความเจริญราวกับเป็นอีกโลกหนึ่ง หากเทียบกับตัวเมืองอุดรธานี โดยภายในค่ายรามสูร เต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น โรงหนัง โรงโบว์ลิง สระว่ายน้ำ และสวัสดิการ (PX) อีกทั้งยังก่อให้เกิดการจ้างงานกับคนในชุมชน ซึ่งได้ค่าแรงถึง 70 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 2,200 บาท) ต่อเดือนในยุคก่อน

อย่างไรก็ตาม หลังจากสหรัฐฯ ถอนฐานทัพออกจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปี 2518 ค่ายรามสูรอยู่ภายใต้การดูแลของกองบัญชาการทหารสูงสุดไทย และถูกแปรสภาพเป็นค่ายพระยาสุนทรธรรมธาดาของกองพันทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 13 ในปี 2540 ขณะที่พื้นที่เดิมอย่างสถานีวิทยุถูกปรับปรุงให้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ค่ายรามสูรในปี 2561

4. ธุรกิจสถานบันเทิงในอุดรธานี

นอกจากการเข้ามาของทหาร GI ก่อให้เกิดการจ้างงานกับชาวบ้านทั่วไปแล้ว ยังมีอีกอาชีพที่ยืนยาวจนถึงทุกวันนี้คือ ‘ธุรกิจสถานบันเทิง’ อย่างไนต์คลับ อาบอบนวด หรือสถานบริการทางเพศ 

เช่นเดียวกันกับอุดรธานี ภาพถ่ายจากอดีตในปี 2510 จาก แจ็ก แอล. กรีน (Jack L. Green) แสดงให้เห็นว่า ตัวเมืองเต็มไปด้วยร้านอาบอบนวด ไม่ว่าจะเป็นอุดรเตอร์กิสบาธ, ศรีเมืองเตอร์กิชบาธ หรือกิโมโน ขณะที่มีพื้นที่ขายบริการทางเพศจนถูกเรียกขานว่า ‘ซอยโลกีย์’ (ปัจจุบันคือซอยอดุลยเดช)

ปัจจุบัน ธุรกิจสถานบันเทิงเหล่านี้ยังคงอยู่ แต่เปลี่ยนจุดหมายปลายทางเป็นซอยสัมพันธมิตร ราวกับเป็น ‘มินิข้าวสาร’ ในกรุงเทพฯ แม้บรรยากาศจะเงียบงัน แต่บางร้านก็ครึกครื้น เต็มไปด้วยผู้คน และชาวต่างชาติจำนวนหนึ่ง

5. ศูนย์รับผู้อพยพหนองคาย-สถานีพัฒนาที่ดินหนองคาย

ตามข้อมูลจากเว็บไซต์สถานีพัฒนาที่ดินหนองคาย พื้นที่แห่งนี้เคยเป็น ‘ศูนย์รับผู้อพยพชาวลาวและแม้ว’ ในช่วงสงครามเย็นมาก่อน แม้จะไม่มีรายละเอียดเพิ่มเติม แต่ The Momentum พบข้อมูลในเอกสาร ผู้อพยพชาวอินโดจีนในประเทศไทย สำนักงานศูนย์ดำเนินการเกี่ยวกับผู้อพยพกระทรวงมหาดไทย ว่า สถานที่ดังกล่าวตั้งอยู่ ตำบลหาดคำ อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย ติดกับกองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนที่ 4 ถนนสายหนองคาย-บึงกาฬ ซึ่งตรงกับที่ตั้งปัจจุบันของสถานีพัฒนาที่ดิน

ในอดีต ศูนย์รับผู้อพยพแห่งนี้รับผู้อพยพจากประเทศลาว หลังเกิดฝ่ายซ้ายลาวภายใต้กองทัพเวียดนามเหนือเอาชนะในสงครามกลางเมืองฝ่าย 3 ในปี 2518 ได้สำเร็จ โดยเอกสารระบุว่า การขึ้นมาของกลุ่มคอมมิวนิสต์ในลาว ทำให้ประชาชนเดือดร้อน ต้องสละสมบัติทรัพย์สินส่วนตัว เกิดการแบ่งแยกระบบครอบครัว และจับบุคคลสำคัญไปเป็นทหาร ขณะที่ทหารลาวกับเวียดนามเหนือยังโจมตีชาวเขาและชนพื้นเมือง ทำให้หลายฝ่ายหลบหนีมายังประเทศไทยตามแนวเขตแดนธรรมชาติอย่างแม่น้ำโขง โดยมีผู้อพยพเฉลี่ย 1,800-2,000 คนต่อเดือน ขณะที่ตัวเลขสูงสุดของผู้อพยพในค่ายนี้คือ 2 หมื่นคน

ภายหลังศูนย์รับผู้อพยพหนองคายปิดตัวในปี 2522 ก่อนจะสร้างเป็นสถานีพัฒนาที่ดินแทน ขณะที่ผู้อพยพบางส่วนต้องย้ายไปอาศัยที่ศูนย์รับผู้อพยพบ้านวินัย อำเภอปากชม จังหวัดเลย ซึ่งมีผู้อาศัยสูงสุดถึง 4 หมื่นคน และปัจจุบันเป็นหมู่บ้านวินัย

6. ศาลาแก้วกู่

อีกไฮไลต์สำคัญของแลนด์มาร์กท่องเที่ยวของหนองคายคือ ศาลาแก้วกู่ ศาสนสถานที่รวบรวมความเชื่อทุกศาสนา ตั้งแต่พุทธ พราหมณ์ คริสต์ และความเชื่อพื้นบ้านเข้าไว้ด้วยกัน ภายใต้ความเชื่อว่า ทุกศาสนาสามารถอยู่รวมกันได้

ผู้สร้างก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นผู้หนีตายสงครามในลาว พิษจากสงครามเย็นคือ ปู่บุญเหลือ สุรีรัตน์ ชายที่ถูกขนานนามว่า เป็นทั้งคนไทย ลาว และอีสานในเวลาเดียวกัน แม้ท่านจะเกิดในหนองคาย แต่เคยไปเดินทางไปลาวเพื่อสร้างสวนเชียงควนในปี 2518 ซึ่งตรงกับปีแห่งการเปลี่ยนแปลงการปกครองในลาว ทำให้ปู่บุญเหลือกลายเป็นผู้ลี้ภัยข้ามฝั่งกลับมายังหนองคายในปี 2521 พร้อมกับสร้างศาลาแก้วกู่ขึ้นในปีเดียวกัน

ความน่าสนใจของพื้นที่แห่งนี้ นอกจากความอัศจรรย์ของปู่บุญเหลือในการสร้างรูปปั้นถึง 229 ปางอย่างสวยสดงดงามแล้ว บ้างมีขนาดใหญ่โต แต่ใช้เวลาแค่ 5 เดือน บางพื้นที่ยังมีประดิษฐกรรมเกี่ยวกับรัฐไทยอย่าง ‘รัฐธรรมนูญ’ อยู่อีกด้วย

อ้างอิง:

https://www.amarintv.com/news/social/506962

https://cad.kku.ac.th/?p=8735

https://www.lannernews.com/15022567-02/

https://uac.kku.ac.th/PDF/kkuplan68_71.pdf

https://theisaanrecord.co/2021/03/10/sarits-monument-in-khon-kaen/

http://r05.ldd.go.th/website_webstation/nki/storie.html

https://dl.parliament.go.th/handle/20.500.13072/338269

https://www.silpa-mag.com/history/article_25179

https://thai.tourismthailand.org/Attraction/ศาลาแก้วกู่-วัดแขก

https://udon2laos.com/ศาลาแก้วกู่-ปู่เหลือ

Tags: , , , , , , , , , , , , , , , , , , , , ,