สัมผัสแรกเมื่อเดินทางมาถึง Le Petit Café ในช่วงบ่าย คือความสงบและร่มรื่น เพราะด้วยการตกแต่งที่แวดล้อมไปด้วยสีเขียวจากพันธุ์ไม้ต่างๆ ผนังเลือกใช้ไม้จากต้นตะเคียน และติดกระจกบานใหญ่คอยรับแสงจากธรรมชาติ ช่วยให้ร้านแห่งนี้มีความเป็นกันเอง เหมาะสำหรับการนั่งหย่อนกาย คลายใจ ตลอดทั้งช่วงบ่ายที่อากาศร้อนชื้นกว่าปกติ 

แม้เราต่างรู้กันดีว่า อีกไม่กี่ชั่วโมงต่อจากนี้ อาคารหลังนี้จะครึกครื้นไปด้วยเสียงผู้คนและดนตรีแจ๊ซ แต่หากย้อนกลับไปก่อนหน้านี้เมื่อหลายปีก่อน เราจะได้มาเยี่ยมเยือนสถานที่แห่งนี้ในฐานะร้านกาแฟ ซึ่งเป็นความตั้งใจแรกในการเปิดคาเฟ่ของพวกเขา

“ย้อนกลับไปวันแรกของร้าน จริงๆ ผมก็มีงานของตัวเองอยู่แล้ว ไม่ได้มีเป้าหมายว่าจะเปิดร้านกาแฟเลย แต่วันหนึ่งมีคนบอกว่า มีพื้นที่ตรงนี้อยากให้เช่าสนใจไหม ตอนนั้นก็คุยกับแฟนว่าจะเอาอย่างไรดี คุยกันอยู่ไม่นาน สุดท้ายก็ตัดสินใจเปิดเป็นร้านกาแฟของพวกเรา” แจ๊คเล่าให้ฟัง

ส่วนเหตุผลที่ต้องเป็นร้านกาแฟ แจ๊คเล่าว่า ถ้าย้อนกลับไป 20 กว่าปีก่อนหน้า ร้านกาแฟในเชียงรายมีน้อยมา กระแสของคาเฟ่ยังไม่ได้เป็นที่นิยมแบบในปัจจุบัน

“ที่สำคัญร้านกาแฟสมัยนั้น เขาไม่นิยมติดเครื่องปรับอากาศด้วย บ้างก็บอกว่าอากาศที่เชียงรายก็เย็นสบายอยู่แล้ว จะติดไปทำไม

“แต่ผมว่าการมีเครื่องปรับอากาศมันก็ดีไม่แพ้กัน ผมเห็นร้านกาแฟอื่นๆ การที่คนติดเครื่องปรับอากาศ ไม่ต้องเปิดประตูหรือหน้าต่างให้อากาศมันถ่ายเทจนเกินไป ก็ช่วยเก็บกลิ่นกาแฟให้อบอวลอยู่ภายในร้านดี 

“แล้วยิ่งจังหวะคุณเปิดประตูเข้า-ออกร้าน กลิ่นมันจะโชยออกไปนอกร้าน ไปเตะจมูก เชื้อเชิญคนเข้ามาร้านเราได้ดีเลย

“แต่ถามว่าข้างนอกร้าน บนถนนจะมีคนไหม นั่นก็อีกเรื่องหนึ่งนะ (หัวเราะ)”

“ถึงจะมีกาแฟขาย แต่ผมก็ไม่ได้บอกว่าตัวเองเป็นคาเฟ่กาแฟ” แจ๊คอธิบายถึงนิยามของร้านที่สร้างขึ้นมากับมือ

เขาเล่าว่า ทั้งเรื่องเครื่องทำกาแฟหรือเมล็ดกาแฟ เขาไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญขนาดนั้น คือขอแค่มีเครื่องกาแฟ มีนอยทำขนมภายในร้าน แค่นี้เพียงพอสำหรับร้าน Le Petit Café แล้ว

“เพราะเราให้ความสำคัญกับอย่างอื่นมากกว่า เช่น ของกิน ผู้คน บรรยากาศในร้าน ก็ช่วยกันทำไป 2 คน แฟนทำเค้ก ผมคอยช่วยตัดเค้ก ดีบ้าง เบี้ยวบ้าง ช่วงแรกก็ฝึกกันไป” แจ๊คเล่า

หลังจากดำเนินกิจการไปได้ครู่ใหญ่ Le Petit Café ก็โยกย้ายมาที่ถนนสันโค้งน้อย อันเป็นที่ตั้งของร้านในปัจจุบัน

“ตอนแรกก็มีลังเลนะหรือว่าจะพักเลยดี แต่สุดท้ายก็ได้ข้อสรุปแล้วว่า ไหนๆ ก็ทำมาระยะหนึ่ง เริ่มมีลูกค้าประจำ ก็เลยเปลี่ยนหน้าบ้านเราเป็นร้านคาเฟ่” 

“ก็ทำร้านขึ้นมาใหม่เลย ไปเอาไม้ตะเคียนมาจากเชียงแสน มาทำเป็นบ้านขึ้นมาใหม่หลังหนึ่ง ซึ่งก็อยู่แบบนี้มา 14 ปีแล้ว” 

เมื่อถามว่าสนุกไหมกับการมาเปิดร้านกาแฟ แจ๊คอธิบายว่า คงสนุก เพราะได้ทำอะไรหลายอย่าง 

“ผมชอบให้ตัวยุ่งเข้าไว้ ต้องมีอะไรให้ทำ ว่างมากไม่ได้ มันจะเฉา แฟนก็ไม่เข้าใจว่า มีเรื่องให้ทำได้ทุกวันแบบนี้ได้อย่างไร (หัวเราะ) เลยเป็นเหตุผลที่เริ่มอยากทำร้านในช่วงกลางคืนหลังร้านกาแฟปิดด้วย ก็เลยวางแผนกับนอยว่า หรือจะเปิดร้านไวน์กันดี ซึ่งนอยเขาก็ไม่ขัดอะไร พร้อมคอยช่วยเหลืออยู่เสมอ”

ทำไมต้องเป็นร้านไวน์ แจ๊คเล่าว่า ก็มาจากส่วนหนึ่งในตัวเขาเหมือนกัน ที่มีความชอบ ความสนใจในเรื่องนี้ 

“ปกติพวกผมก็สังสรรค์อยู่แล้ว ดึกๆ ก็เปิดไวน์ เล่นเปียโน ร้องเพลง ครึกครื้นกันเองอยู่ในบ้าน เลยคิดว่า อยากจะเอาบรรยากาศแบบนี้มาใส่ไว้ในร้านเหมือนกัน

“ส่วนที่ต้องเป็นไวน์ ผมว่ามันก็ดีนะ ไม่ยุ่งยาก เหล้ามันต้องชง ต้องเติมน้ำแข็ง อีกอย่างพอเรามีไวน์ แล้วมีดนตรีดีๆ หน่อย มันไปด้วยกันได้ มันกลมกล่อมกว่า 

“แล้วในตอนนั้นที่เชียงรายก็ยังไม่มีใครทำนะ เลยตัดสินใจลองดู ทำแค่ 2 วัน (วันศุกร์-เสาร์) ถ้าไม่สำเร็จก็ไม่เป็นอะไร อย่างน้อยก็เหมือนได้ลงทุนเรียนบริหารธุรกิจ (MBA) คอร์สหนึ่ง ผมคิดแบบนั้น”

แต่หากถามถึงความรู้เรื่องไวน์แล้ว แจ๊คออกตัวอย่างชัดเจนว่า เขาไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนี้แต่อย่างใด

“ก็เหมือนร้านกาแฟ ไม่ได้รู้ลึก รู้จริงขนาดนั้น เอาเท่าที่เราชอบ เอาจากประสบการณ์ของเรา” เขาอธิบาย 

คือผมเป็นคนสไตล์นี้ เอาแบบที่พอใจ ไม่อยากทำให้มันต้องยากขนาดนั้น มีเครื่องกาแฟสักตัวยัดเข้าไปในร้าน มีไวน์ที่เราชอบดื่มให้ลูกค้าได้ลองบ้าง เอาแค่เท่านี้ก็เปิดร้านของผมได้แล้ว ลาเต้อาร์ต (Latte Art) ที่เขาว่าต้องมีกันทุกร้าน ผมยังไม่เคยคิดอยากจะเรียนเลย

“พอทำแบบนี้ มันก็ทำให้บรรยากาศในร้านมันแตกต่างไปนะ กลางวันก็บรรยากาศหนึ่ง สงบๆ ผ่อนคลายหน่อย ส่วนกลางคืนก็ครึกครื้น เร้าใจ ไปจนถึงดึกดื่น”

หากให้เลือกเพลงและไวน์ที่บ่งบอกความเป็น Le Petit Café จะมีอะไรบ้าง

“ผมจะให้เป็นเพลงแรกในช่วงที่แฟนผมขึ้นโชว์ เพราะจะเป็นการเปิดตัวและแนะนำวงของเรา รวมถึงกำหนดทิศทางของบรรยากาศภายในร้านคืนนั้น ดังนั้นเพลงที่ผมเลือกเลยไม่เฉพาะเจาะจง ขึ้นอยู่กับว่าในวันนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง บรรยากาศเป็นอย่างไร ความคึกคักของมือกลองเป็นแบบไหน ลูกค้าเป็นใคร แต่ส่วนใหญ่แล้ว ก็เป็นเพลงที่ทุกคนรู้จักเช่น Fly Me to the Moon, Killing Me Softly และ Que Sera Sera

“ส่วนไวน์ยากหน่อย ก่อนหน้านี้ผมไม่ค่อยรู้จักไวน์ฝรั่งเศสและไม่กล้าเลือกเท่าไร พักหลังพอได้ศึกษาและลองชิมมากขึ้น ก็พอมีตัวเลือกให้กับลูกค้าอยู่บ้าง 

“เอาเป็นว่ามันจะต้องเป็นไวน์ที่ผมพยายามไปเสาะหา ทำให้มันพิเศษ ให้มันแตกต่างจากร้านขายไวน์อื่นๆ ในพื้นที่ แบบนี้ดูจะเหมาะกับเรามากกว่า

“ตั้งแต่ทำร้านมา ไม่น่าเชื่อนะว่า สิ่งที่เขาพูดอยู่เสมอ ไม่ใช่ไวน์หรือดนตรีของเรา แต่เป็นผู้คนและบรรยากาศของเรามากกว่า” แจ๊คบรรยายถึงสิ่งที่ลูกค้ามักพูดถึงตัวตนของร้านให้เขาฟังอยู่เสมอ

“เรื่องนี้ผมว่าเพราะ Le Petit Café & Wine Club มันมีความเป็นแฟนผมอยู่สูง คือเขาเป็นคนที่รู้จักคนเยอะ เป็นสีสันในวงสนทนา ทำให้ร้านมักครึกครื้น บางคนมาที่ร้านคนเดียว กลับไปได้เพื่อนเพิ่มอีกเพียบก็มี 

“อีกเรื่องที่น่าสนใจคือ มีลูกค้าหลายคนมากเข้ามาขอบคุณพวกเรา บอกว่าร้านของเราทำให้คนเชียงรายมีพื้นที่ได้แต่งตัว ได้มาแสดงตัวตนผ่านเสื้อผ้าในช่วงกลางคืน เพราะเชียงรายไม่เคยมีร้านแบบนี้มาก่อนเลย

สุดท้าย แจ๊คทิ้งท้ายว่า หากใครจะมา เป็นไปได้ก็อยากให้ทักมาคุยและนัดกันล่วงหน้า เพราะจะได้จัดสรรพื้นที่ที่เหมาะสำหรับลูกค้าคนนั้นได้ หรือบางคนที่เป็นลูกค้าประจำ เขาจะได้จองพื้นที่ประจำที่เขามักนั่งอยู่บ่อยๆ ให้ก่อน 

ที่สำคัญคือต้องเตรียมใจให้พร้อมว่า จะมาเจอบรรยากาศแบบ Le Petit Café ที่อาจไม่เหมือนกับคาเฟ่หรือร้านไวน์ทั่วไป มีความเฉพาะตัวและเป็นกันเองสูง แต่เขาก็การันตีว่าตั้งใจทำเต็มที่ เพื่อให้ลูกค้าทุกคนประทับใจในทุกคืนอย่างแน่นอน

Fact Box

Le Petit Café เปิดทุกวันศุกร์ เวลา 17.00-23.30 น. และวันเสาร์ 17.00-23.00 น. สอบถามรายละเอียดและสำรองที่นั่งได้ทางเบอร์โทรศัพท์ 0 5375 6761 หรือ Facebook แฟนเพจ: Le Petit Café & Wine Club

Tags: , , , , , , ,