เมื่อการเดินทางเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ไม่ว่าจะมีฐานะไหน ในหลายประเทศจึงกำหนดให้ ‘ขนส่งสาธารณะ’ เป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน นำไปสู่การเกิดขึ้นของตัวเลือกในการเดินทางหลากหลายรูปแบบ โดยกำหนดราคาให้ประชาชนเข้าถึงได้ ครอบคลุมการเดินทางและคนทุกกลุ่ม
ที่สำคัญ การขนส่งสาธารณะได้กลายมาเป็นนโยบายเรียกคะแนนเสียงของหลายพรรคการเมือง ทั้งในการเลือกตั้งระดับประเทศและระดับท้องถิ่น
แต่ในขณะที่หลายจังหวัดเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบขนส่งสาธารณะให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ในจังหวัดเล็กๆ ทางภาคเหนืออย่าง ‘ลำพูน’ ประชาชนยังคงเน้นการ ‘พึ่งพาตนเอง’ เนื่องจากระบบขนส่งสาธารณะที่ล้าหลัง ความไม่มีมาตรฐานด้านราคาและเวลา ตลอดจนความไม่ครอบคลุมของเส้นทางกับคนทุกกลุ่ม ได้กลายมาเป็นอุปสรรคต่อผู้คน และผลักให้ชาวลำพูนเอาตัวรอดด้วยการมีรถส่วนตัว
ในช่วงเวลาที่ขนส่งสาธารณะเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในหลายเมือง แต่สิ่งที่แปลกประหลาดคือ ประชาชนในจังหวัดลำพูน จังหวัดที่เล็กที่สุดในภาคเหนือ ต้องใช้ชีวิตอย่างไรในเมืองที่ขนส่งสาธารณะกำลังถดถอยลง
เมืองที่ไร้สถานีขนส่ง
ในประเทศไทย การเดินทางข้ามจังหวัดด้วยรถโดยสารสาธารณะข้ามจังหวัด โดยปกติมักเริ่มต้นขึ้น ณ สถานีขนส่งของจังหวัดต้นทางไปยังสถานีขนส่งของจังหวัดปลายทาง แต่สำหรับผู้โดยสารที่มีจังหวัดลำพูนเป็นปลายทาง รถทัวร์ส่วนใหญ่จะส่งผู้โดยสารลงบริเวณริมถนนซุปเปอร์ไฮเวย์เชียงใหม่-ลำปาง ซึ่งชาวลำพูนเรียกขานบริเวณนี้ว่า ‘ดอยติ’ ตั้งตามชื่อของวัดบริเวณใกล้เคียง
แม้ไร้สิ่งอำนวยความสะดวกและอาคารพักคอยสำหรับผู้โดยสาร ทั้งยังอยู่ห่างจากตัวเมืองลำพูนกว่า 7.5 กิโลเมตร แต่ดอยติได้กลายเป็นสถานีกลายๆ สำหรับส่งผู้โดยสารที่มีลำพูนเป็นจุดหมายปลายทาง นับตั้งแต่สถานีขนส่งประจำจังหวัดปิดตัวลงเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2567 กระทบผู้โดยสารต้องเสียค่าใช้บริการวินมอเตอร์ไซค์หรือเหมารถสองแถวเข้าเมือง ราคา 100-300 บาท ในกรณีที่ไม่มีญาติมารับ
ประภัสร์ ภู่เจริญ นายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองลำพูน ซึ่งรับช่วงต่อการบริหารสถานีขนส่งประจำจังหวัดต่อจากบิดา เคยให้สัมภาษณ์กับบีบีซีไทยว่า การลงทุนด้านการขนส่งของจังหวัดคึกคักในช่วง 10 ปีแรก ทว่าช่วงหลังผู้โดยสารมาใช้บริการสถานีน้อย บริษัททัวร์จึงเลือกจอดรับ-ส่งผู้โดยสารที่ดอยติแทน ประกอบกับเจ้าของสถานีอย่างประภัสร์ไม่มีเวลามาบริหาร ทั้งยังไม่มีทายาทคนใดรับช่วงต่อ เพราะมองว่าทำต่อไปก็ ‘ไม่รอด’ จึงตัดสินใจไม่ต่อสัญญากับกรมการขนส่งทางบก ปิดตำนานสถานีขนส่งลำพูนหลังให้บริการมานานกว่า 40 ปี
ขณะที่ในการเสวนาลำพูนซิตี้แลป ในเดือนกุมภาพันธ์ 2567 เรืองศักดิ์ ภูมิสันติ หัวหน้ากลุ่มวิชาการขนส่ง สำนักงานขนส่งจังหวัดลำพูน ชี้ว่า เป็นผลจากอุปสงค์-อุปทานที่ไม่สอดคล้องกับผู้ให้บริการและผู้ใช้บริการ คนในเขตเมืองเก่าไม่ได้ใช้รถสาธารณะมากนัก ส่วนมากเป็นผู้โดยสารที่ใช้เส้นทางระหว่างจังหวัด รวมไปถึงการเกิดขึ้นของถนนซุปเปอร์ไฮเวย์เชียงใหม่-ลำปาง ทำให้เส้นทางระหว่างจังหวัดที่เข้าตัวเมืองลำพูนถูกลดบทบาทลง
แม้การรับ-ส่งผู้โดยสารนอกสถานีขนส่งของรถทัวร์จะมีเหตุผลมาจากความไม่คุ้มค่าเพราะผู้โดยสารใช้บริการในสถานีขนส่งน้อย แต่ในพระราชบัญญัติขนส่งทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 103 วงเล็บ 5 กำหนดว่า ผู้ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ขับรถ ต้องหยุดรถหรือจอดรถ ณ สถานีขนส่ง
“สถานีขนส่ง ทำแล้วจะต้องมีรถเข้า เป็นหน้าที่ของกรมการขนส่งทางบกที่จะต้องจัดรถเข้า เพื่อให้บริการพี่น้องประชาชน” แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้น “คุณกลับให้ประชาชนไปโบกรถทัวร์แบบรถเมล์ข้างถนน… นี่รัฐบาลเอาเปรียบพี่น้องประชาชน เอาเปรียบผู้ลงทุน” ประภัสร์ให้สัมภาษณ์กับบีบีซีไทย
ผ่านมา 1 ปี หลังสถานีหยุดให้บริการ ปัจจุบันมีสภาพทรุดโทรม เฟอร์นิเจอร์ชำรุด ห้องจำหน่ายตั๋วเคลือบฝุ่นหนา ส่วนอาคารใหญ่ที่เคยเป็นจุดรวมตัวของผู้โดยสารที่ต้องการเดินทางไปยังจังหวัดต่างๆ กลายเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ ทั้งหมดตั้งอยู่ภายในรั้วหนาม พร้อมป้าย ‘ห้ามเข้า’ ที่ติดอยู่รอบบริเวณของสถานี
ขนส่งต่างอำเภอ-ไม่ครอบคลุม และไร้มาตรฐาน
ในจังหวัดลำพูนมีการขนส่งสาธารณะเพียง 1 เส้นทางเท่านั้นที่สามารถเดินทางข้ามอำเภอได้ นั่นคือรถสองแถวสีขาวหรือ ‘รถลี้’ ซึ่งเดินทางจากอำเภอเมืองลำพูน ผ่านอำเภอป่าซาง อำเภอบ้านโฮ่ง โดยมีปลายทางอยู่ที่อำเภอลี้ห่างจากอำเภอเมืองไปราว 100 กว่ากิโลเมตร ระยะทางที่ยาวไกล แต่รถมีจำนวนน้อย เป็นปัญหาสำหรับ อดิศร แก้วเล็ก กรรมการบริหารเครือข่าย SEED THAILAND เครือข่ายเด็กและเยาวชน ชาวลำพูนในอำเภอป่าซาง ที่อดีตต้องเดินทางเข้าอำเภอเมืองด้วยรถสองแถวข้ามอำเภอ เพื่อไปเรียนหนังสือในโรงเรียนประจำจังหวัด เนื่องจากพื้นที่ชนบทของจังหวัด ‘มีโรงเรียนตั้งอยู่น้อย’
“เที่ยวรถแต่ละรอบรอนานมากๆ อาจจะต้องรอนานถึง 1 ชั่วโมง แต่มีคนรอขึ้นรถเยอะมาก โดยเฉพาะช่วงเช้าที่เด็กจะไปโรงเรียนกับช่วงหลังโรงเรียนเลิกจะมีผู้โดยสารเยอะตลอด บางครั้งที่นั่งในรถไม่พอ เด็กนักเรียนจะต้องโหนรถกลับบ้าน เพราะเที่ยวรถมันไม่เพียงพอกับคนที่รอใช้” เขากล่าว
ในเวลาเร่งด่วนของลำพูนมักเกิดปัญหาจำนวนรถ ‘ไม่เพียงพอ’ กับจำนวนของผู้โดยสาร ทว่าในช่วงเวลาปกติ อดิศรกลับต้องเผื่อเวลาเดินทาง “เพราะช่วงเวลาปกติจะมีคนขึ้นรถน้อย ด้วยเหตุนี้คนขับจะรอให้คนเต็มคันรถก่อน แล้วจึงค่อยๆ ขับไปเพราะต้องคอยมองหาผู้โดยสารที่ดักรอขึ้นรถอยู่ริมทาง เวลาที่รถออกในตารางกับเวลาที่รถออกจากจุดรับ-ส่งจริงมันเลยไม่ตรงกัน” อดิศรเล่าถึงพฤติการณ์ของคนขับรถสองแถว ที่ทำให้การเดินทางของเขาแต่ละครั้ง ‘ต้องเผื่อเวลามากเป็นชั่วโมง’
อย่างไรก็ดีเขากล่าวว่า การแก้ปัญหาด้วยการ ‘เหมารถสองแถว’ เดินทางเข้าอำเภอเมืองอาจไม่คุ้มค่า เพราะมีราคาแพงมากกว่าปกติ
แม้เวลาในการเดินทางโดยรถสองแถวข้ามอำเภอในจังหวัดลำพูน แปรผันตามจำนวนของผู้โดยสาร แต่เวลาในการหยุดให้บริการกลับตรงกันคือ 18.00 น. ชาวลำพูนที่เดินทางจากต่างอำเภอมาทำธุระในอำเภอเมืองต้องทำธุระอย่างรีบเร่ง เพื่อให้ทันเที่ยวรถรอบสุดท้าย ส่วนผู้โดยสารที่ทำธุระไม่เสร็จทันเที่ยวรถรอบสุดท้าย ไม่มีทางเลือกใดนอกจากการพึ่งพาตัวเองหรืออาศัยนอนในเมืองสักคืน ก่อนจะออกเดินทางกลับต่างอำเภอในเช้าวันใหม่
“อย่างเด็กนักเรียนที่ทำกิจกรรมในโรงเรียนจนถึงเย็น รถตู้รับ-ส่งนักเรียนเขามักไม่รอเพราะไม่มีที่จอดรถ เขาก็จะไปขึ้นรถข้ามอำเภอกลับบ้าน แต่รอบรถมีถึงแค่ 18.00 น. ถ้ากิจกรรมเลิกตอนนั้นเป๊ะๆ ไหนจะใช้เวลาให้เพื่อนขับมอเตอร์ไซค์ไปส่งอีก เพราะไม่มีรถไปส่งที่จุดขึ้นรถสองแถวก็ใช้เวลาไปอีก 30 นาทีไปถึงรถเที่ยวสุดท้ายก็คงออกไปแล้ว เราเคยเห็นเด็กร้องไห้เพราะมาไม่ทันรถ น่าสงสารมากๆ นะ” อดิศรกล่าว
ทั้งนี้ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ทำให้การขึ้นรถสองแถวของชาวลำพูนนั้นมีปัญหา เช่นการมีจุดจอดรับ-ส่งผู้โดยสารหลักเพียงไม่กี่แห่ง เฉพาะอำเภอต้นทางและอำเภอปลายทาง ในขณะที่จุดจอดระหว่างทางขึ้นอยู่กับผู้โดยสารกำหนดให้จอด เนื่องจากไม่มีการกำหนดป้ายหยุดรถอย่างเป็นกิจจะลักษณะ
และด้วยการใช้งานผ่านมาเป็นเวลานาน สภาพของรถสองแถวในจังหวัดลำพูนบางคัน จึงไม่ต่างอะไรกับเศษเหล็กที่ใกล้พัง อย่างไรก็ดีสิ่งนี้เป็นหลักฐานที่สะท้อนถึงการมองข้ามสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนชาวลำพูน อย่างการขนส่งสาธารณะอย่างไม่อาจปฏิเสธได้
ขนส่งในเมือง-เส้นเลือดฝอยที่ลำพูนไม่มี
“ในเขตตัวเมืองลำพูน ขนส่งสาธารณะมันจำเป็นต้องมีบ้าง” เสียงของ ชัชพงษ์ โท่นขัด วัย 24 ปี ชาวลำพูนในพื้นที่อำเภอบ้านโฮ่ง เมื่อเราถามถึงความจำเป็นของขนส่งสาธารณะภายในลำพูน ในวันนี้ที่ลำพูนมีรถสาธารณะเดินทางข้ามจังหวัดและอำเภอ แต่ยังไม่มีรถสาธารณะเชื่อมต่อสถานที่ต่างภายในเมือง
ชัชพงษ์ที่ใช้ชีวิตช่วงหนึ่งในอำเภอเมืองลำพูนชี้ว่า การขนส่งสาธารณะในจังหวัดลำพูนมีลักษณะเป็นการขนส่งแบบ ‘เส้นทางเดียว’ กล่าวคือ การเดินทางไป-กลับใน 1 เส้นทาง เช่นรถสองแถวสีฟ้าหรือ ‘รถฟ้า’ ที่วิ่งเฉพาะเส้นทางเชียงใหม่-ลำพูน และรถขาวหรือที่ชาวลำพูนเรียกว่า ‘รถลี้’ ที่เดินทางเฉพาะเส้นทางอำเภอเมือง-อำเภอลี้ ไม่ได้กระจายตัวไปยังจุดต่างๆ ครอบคลุมเมืองลำพูนแบบ ‘เส้นเลือดฝอย’ ทำให้การเดินทางของลำพูนกระจุกตัวอยู่บนถนนเส้นเดียว ไม่ครอบคลุมสถานที่สำคัญๆ ซึ่งตั้งอยู่นอกถนนเส้นหลัก เช่น ศูนย์ราชการ โรงพยาบาล และจุดขึ้นรถทัวร์ที่บัดนี้ย้ายจากสถานีขนส่งจังหวัดลำพูนไปยังบริเวณอื่น
“เวลาที่รถสองแถวรับชาวบ้านจากต่างอำเภอไปทำธุระในตัวเมือง ควรมีรถสาธารณะในเมืองบริการเป็นเส้นทางหลักๆ เช่น บริการรับส่งไปโรงพยาบาลประจำจังหวัด หรือเดินทางไปยังศูนย์ราชการ”
ตัวเลือกในการเดินทางในตัวเมืองสำหรับผู้โดยสารที่เดินทางมาจากต่างอำเภอ มีอยู่ 2 รูปแบบ คือวินมอเตอร์ไซค์ และ ‘รถสามล้อถีบ’ ซึ่งมีผู้ให้บริการน้อย โดยเฉพาะตัวเลือกอย่างหลังที่ปัจจุบันเหลือผู้ให้บริการไม่ถึง 100 คัน
กระนั้นการใช้รถสามล้อถีบในมุมมองของอดิศร อาจไม่ตอบโจทย์มากนักหากเป็นกรณีของเหตุด่วนร้ายแรง เช่น ปัญหาด้านสุขภาพที่ต้องเข้ารับการรักษาอย่างเร่งด่วน เนื่องจากจุดรับ-ส่งผู้โดยสารที่เดินทางมาด้วยรถสองแถว อยู่ห่างจากโรงพยาบาลประจำจังหวัดราว 3 กิโลเมตร การจะใช้รถสามล้อถีบไปส่ง อาจจะต้องเผื่อเวลาในการเดินตามหาผู้ให้บริการ ซึ่งอดิศรกล่าวว่า “คุณจะต้องเดินเข้าไปในเมืองลำพูนอีก 1 กิโลเมตรถึงจะเจอ”
ไม่เพียงแต่ชัชพงษ์และอดิศรเผชิญกับความไร้รอยต่อ และไร้ระบบของขนส่งสาธารณะในจังหวัดบ้านเกิดของตัวเอง แต่ชาวลำพูนอีกนับแสนต่างตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน และการแก้ปัญหาที่ง่ายที่สุดสำหรับพวกเขาคือ การ ‘พึ่งพาตนเอง’ ด้วยการซื้อรถส่วนตัว เพื่อเดินทางภายในจังหวัด
สำนักงานขนส่งจังหวัดลำพูน ได้เผยแพร่ สถิติจำนวนรถจดทะเบียนในจังหวัดลำพูนตามกฎหมายว่าด้วยรถ ซึ่งชี้ว่า ปี 2562-2566 ชาวลำพูนจดทะเบียนรถจักรยานยนต์ปีละ 136,226-177,041 คัน ในปี 2566 ลำพูนมีรถจักรยานยนต์รวม 174,211 คัน จากจำนวนรถยนต์ส่วนบุคคลทั้งหมด 103,945 คัน ชาวลำพูนมีรถส่วนตัวคิดเป็นร้อยละ 70 ของจำนวนประชากรที่มีอยู่ 398,532 ในปี 2566
ตัวเลขนี้ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกสำหรับอดิศรและชัชพงษ์ที่ต่างก็ระบุว่า ขนส่งสาธารณะในจังหวัดลำพูนที่ไม่ครอบคลุม เป็นเหตุผลให้ตัดสินใจซื้อรถส่วนตัว เพื่อการเดินทางที่สะดวกมากยิ่งขึ้น
“เราขี้เกียจรอรถสองแถว เลยเป็นเหตุผลให้ตัดสินใจซื้อรถ” ชัชพงษ์กล่าว “มันช่วยประหยัดเวลาการเดินทาง ไม่ต้องมานั่งวางแผนว่า เราควรจะออกบ้านช่วงไหน อยากจะไปตอนนี้ก็ขับมอเตอร์ไซค์ไป”
ส่วนอดิศรที่เริ่มใช้รถจักรยานยนต์ส่วนตัวในการเดินทางภายในเมือง ตั้งแต่ศึกษาในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ชี้ว่า ชาวลำพูนต่างเริ่มขับรถกันตั้งแต่เรียนอยู่ในระดับชั้นประถมปลาย “ไปโรงเรียนก็เอารถจักรยานยนต์ไป ขับรถเป็นกันแทบทั้งจังหวัด บางคนยังไม่มีใบขับขี่ก็มี แต่ทำไมเด็กกลุ่มนี้จึงต้องขับรถจักรยานยนต์กันตั้งแต่วัยนี้ ก็เพราะระบบขนส่งสาธารณะของเรามันไม่ดีไง เราไม่ได้มีรถไฟฟ้าใต้ดิน ไม่ได้มีรถเมล์ชานต่ำ ไม่มีรถประจำทางเหมือนกรุงเทพฯ มันทั้งรอนาน และไม่มีความแน่นอนในการเดินทาง เด็กก็ต้องพึ่งพาตัวเองด้วยการหัดขับรถ”
ในปี 2567 เศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี ขณะลงพื้นที่จังหวัดลำพูนได้ชื่นชมว่าลำพูนสามารถเป็น ‘เมืองท่องเที่ยวหลัก’ ได้ไม่แพ้จังหวัดเชียงใหม่ แต่สำหรับอดิศรมองว่า หากขนส่งสาธารณะของจังหวัดลำพูน ยังไม่เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปเป็นร่าง การท่องเที่ยวของเมืองอาจเป็นเรื่องขายฝันที่ยากจะทำให้เกิดขึ้นจริง
แต่คำถามคือ จะกลายเป็นเมืองท่องเที่ยวหลักได้อย่างไร หากแม้แต่สถานีขนส่งยังไม่มี และยังต้องจอดบริเวณสามแยกติดถนนหลัก ที่อยู่ห่างเมืองออกไปราว 9 กิโลเมตร
“ลำพูนโปรโมตมาตลอดว่า เราเป็นเมืองการท่องเที่ยว มีสถานที่ท่องเที่ยวเยอะมาก แต่เราจะส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างไร หากการขนส่งสาธารณะของเรายังไม่ตอบโจทย์ ระบบขนส่งสาธารณะในเส้นทางการท่องเที่ยวของเรายังไม่มีเลย” อดิศรตั้งคำถาม
“เราอยากให้ลองนึกภาพชาวลำพูนที่ต้องนั่งสามล้อถีบตอนป่วย เพื่อไปโรงพยาบาลโรงพยาบาล เด็กที่ต้องเดินทางไปโรงเรียนแต่ต้องเดินทางต่ออีกหลายทอดกว่าจะถึง หรือชาวลำพูนที่ต้องนั่งรถสองแถวแล้วหารถเพื่อไปยังจุดรับ-ส่งของรถทัวร์ เพราะไม่มีสถานีขนส่ง
“แค่คุณภาพชีวิตของคนเบื้องต้นของคนลำพูน อย่างระบบการขนส่งพื้นฐานยังไม่ตอบโจทย์เลย” อดิศรกล่าว
ในการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดครั้งล่าสุด ผู้ชนะการเลือกจากพรรคประชาชนตั้งได้มุ่งมั่นนำเสนอนโยบายว่า ลำพูนจะมีระบบการขนส่งที่เดินทางทั่วถึงและพึ่งพาได้
สิ่งนี้จะกลายเป็นเพียงนโยบายที่ทำได้จริง หรือจะเป็นอีกครั้งที่ชาวลำพูนต้องพบกับ ‘คำใหญ่’ ว่า ชีวิตพวกเขาจะดีขึ้น ยังคงเป็นเรื่องที่ต้องพิสูจน์กันต่อไป
อ้างอิง
– https://www.bbc.com/thai/articles/c8vzjgdl54ro
– https://www.lannernews.com/06022567-01/
Tags: ท้องถิ่น, ลำพูน, ระบบการขนส่งสาธารณะ, รถโดยสารประจำทาง, บริษัทขนส่ง, สำนักงานขนส่ง, ระบบเส้นเลือดฝอย, Feature, ความเจริญ, การเดินทาง, ขนส่งมวลชน