“การทำงาน การใช้ชีวิต ความรัก ทุกอย่างล้วนเป็นเรื่องเดียวกัน”
ทันทีที่ Amazon Prime ปล่อยภาพแรกของซีรีส์เรื่องใหม่ที่หลายคนคุ้นชื่อกันดีอย่าง Mr. & Mrs. Smith ออกมา เป็นภาพ 2 นักแสดงนำอย่าง โดนัลด์ โกลเวอร์ (Donald Glover) ดาราผิวดำฝีไม้ลายมือดีจากซีรีส์ Atlanta และนักแสดงเชื้อสายเอเชีย มายา เอิร์สคิน (Maya Erskine) จากซีรีส์ตลกขบขัน PEN15 มารับบทนายและนางคู่พิฆาต จอห์นและเจน สมิธ โลกโซเชียลฯ ก็ส่งเสียงวิจารณ์ด้านลบทันทีว่า ‘ไม่น่าดูอย่างรุนแรง’
หากนี่เป็นซีรีส์ที่ประกาศสร้างขึ้นใหม่ ไม่ได้ดัดแปลงหรือต่อยอดความสำเร็จมาจากเรื่องไหน ก็คงไม่มีใครว่าอะไร แต่เพราะเรื่องนี้ถูกสร้างมาแล้วหลายครั้ง โดยเฉพาะเวอร์ชันภาพยนตร์ในปี 2005 ที่สองนักแสดงนำหล่อสวยอย่าง แบรด พิตต์ (Brad Pitt) กับแองเจลิน่า โจลี (Angelina Jolie) มารับบทนำ แถมทั้งคู่ยังตกหลุมรักกันในกองถ่ายจนเกิดดราม่าใหญ่โต เพราะ ณ ขณะนั้น พิตต์แต่งงานแล้วกับนักแสดงสาว เจนนิเฟอร์ อนิสตัน (Jennifer Aniston) กลายเป็นข่าวที่ยิ่งเรียกคนให้มาดูหนังจนทำเงินทั่วโลกมากกว่า 487 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ดังนั้น การที่อยู่ๆ คนดำและคนเอเชียที่อาจไม่ได้หน้าตาดีตาม Beauty Standard มารับช่วงต่อ จึงสร้างความช็อกให้กับสาธารณชน ทำให้หลายคนอดคิดไม่ได้ว่าผู้สร้างพยายามจะ ‘Woke’ แบบไม่ดูสี่ดูแปด เช่นเดียวกับที่ Disney พยายามทำกับ Little Mermaid เวอร์ชันคนแสดง จนหลายคนประกาศจะไม่ดูซีรีส์เรื่องนี้แน่นอน ต่อให้เนื้อในของมันจะดีแค่ไหนก็ตาม
แต่สำนวนว่า ‘อย่าตัดสินหนังสือจากปก’ และ ‘อย่าตัดสินใครจากภายนอก’ ยังคงใช้งานได้เสมอ หากใครปัดซ้ายทันทีที่เห็นโฉมแรกของ Mr. & Mrs. Smith ก็ถือว่าน่าเสียดาย เพราะผู้สร้างซีรีส์สายลับเรื่องนี้ที่นำโดยโกลเวอร์ เตรียมคำตอบไว้ให้คนดูตั้งแต่แรกแล้วว่า ทำไมต้องเลือกนักแสดงต่างเชื้อชาติมารับบทคู่รักสายลับ
ใน Mr. & Mrs. Smith เวอร์ชันก่อน แม้ตัวละครเอกของเรื่องจะเป็นสายลับ แต่พวกเขาไม่มีใครรู้ตัวตนของกันและกัน แต่ครั้งนี้สองตัวเอกต่างมีอาชีพเป็นยอดนักฆ่าที่ถูกองค์กรลึกลับสุ่มจับมาทำงานด้วยกันในภารกิจต่างๆ ภายใต้บทบาทสมมติเป็นคู่สามีภรรยาที่มีนามแฝงว่าจอห์นและเจน สมิธ
ขอเพียงแค่พวกเขาสามารถทำงานที่ได้รับมอบหมายครบถ้วนตามเช็กลิสต์ ถ้าคำสั่งบอกว่า ‘งานนี้ห้ามมีใครตาย’ แล้วพวกเขาสามารถปิดงานได้ตามเป้า ทุกอย่างก็จะผ่านไปด้วยดี
แต่หากมีเหตุขัดข้องจนปิดจ็อบไม่ได้ครบ 3 ครั้ง นอกจากพวกเขาจะเสียหน้าที่การงาน อาจต้องเสียอะไรที่มากกว่านั้นด้วย
ความจริงแล้ว หลายงานที่สองสามีภรรยาจำเป็นได้รับไม่ใช่งานยากเลย บางครั้งพวกเขามีหน้าที่แค่ส่งของ บางครั้งต้องบันทึกเสียงสนทนาของเป้าหมายให้ได้ แต่ด้วยสไตล์การทำงานที่แตกต่างกันคนละขั้ว จอห์นชอบด้นสด ขณะที่เจนชอบความเป๊ะ ถ้าเธอวางแผนอะไรที่รอบคอบดีแล้ว เธอจะไม่อยากให้มีปัจจัยแทรกซ้อน นำมาสู่การกระทบกระทั่งกันเสมอ
ไม่เพียงแค่มีปัญหาตอนทำงาน แต่เวลาอยู่ในบ้านหลังเดียวกันก็มีเรื่องให้ปวดหัว เมื่อทั้งคู่ต่างเห็นข้อบกพร่องของกันและกันจนมีปากเสียงกัน เช่น คนหนึ่งอยากมีลูกแต่อีกคนไม่มี ‘แนวคิดผู้ชาย VS ผู้หญิง’ คนหนึ่งหึงหวงอีกฝ่ายมากไปจนแทบจะกินเลือดกินเนื้อ จนอาจลืมไปว่าความจริงแล้วทั้งคู่ไม่ใช่สามีภรรยากันด้วยซ้ำ
หลายคนอาจคิดว่า Mr. & Mrs. Smith รีเมกมาจากหนังเรื่องเดียวกับเวอร์ชัน ‘แบรดเจลิน่า’ แต่แท้แล้วซีรีส์เรื่องนี้เนื้อหาใกล้เคียงกับซีรีส์เวอร์ชันปี 1996 มากกว่า เนื่องจากผู้สร้างขีดเขียนให้ตัวละครเอกของเรื่องรู้จักกันดีว่าเป็นสายลับเหมือนกันอยู่แล้ว
โกลเวอร์ยังเคยให้สัมภาษณ์ว่า Mr. & Mrs. Smith ปี 2005 แสดงภาพของคู่พระนางที่เหมาะสมกันดั่งกิ่งทองใบหยก ทำให้เขาอยากลองสำรวจดูบ้างว่า ถ้าตัวละครเอกเป็นคนที่แตกต่างกันแทบทุกด้าน ซึ่งดูอย่างไรก็ไม่น่าเข้ากันได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านเชื้อชาติและสีผิว พวกเขาจะรักกันและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ไหม
แต่อย่าลืมว่าในโลกยุคปัจจุบัน หากคนเราจะรักกันจริง ไม่ว่าจะผิวสีอะไร หรือเชื้อชาติอะไรก็ไม่มีทางกีดขวางกันได้ แถมบางทีคนหล่อก็ไม่จำเป็นต้องมีคู่ครองเป็นคนสวยเสมอไปดังที่หนังรักโรแมนติกหลายๆ เรื่องชอบสร้างมายาคติเพื่อหลอกลวงคนดู
(แอบเป็นเรื่องตลกร้ายด้วยตรงที่ สุดท้ายแล้วคู่ที่ดูเหมือนจะเหมาะสมกันดีอย่างพิตต์และโจลี ก็ยังแยกทางกันในที่สุด แถมไม่ได้จากกันด้วยดีเสียอีก)
Mr. & Mrs. Smith ยังพาไปสำรวจด้วยว่า ความสัมพันธ์ของคนรักจะพัฒนาไปอย่างไรเมื่อมีคำว่า ‘หน้าที่การงาน’ เข้ามาเกี่ยวข้อง แม้ภาพการทำงานร่วมกันตลอดทั้งเรื่องของจอห์นและเจนจะดูไม่เหมือนกับชีวิตการทำงานในออฟฟิศตามปกติ แต่การทำภารกิจลับลวงพรางของทั้งคู่ ก็สามารถสะท้อนความจริงออกมาได้อย่างมีนัยสำคัญเหมือนกัน
สถิติของฟอร์บส์ (Forbes) พบว่า มีคู่รักถึง 54% ยอมรับว่า การมีความรักกับคนในที่ทำงานเดียวกันส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานด้านใดด้านหนึ่งเสมอ บางคู่ทำงานร่วมกันอย่างราบรื่นก็ดีไป แต่บางคู่พอมีสถานะเป็นเพื่อนร่วมงาน หรือเป็นเจ้านายลูกน้อง ผลที่ออกมาไม่เพียงทำลายชีวิตของทั้ง 2 ฝ่าย แต่ยังทำลายอาชีพและสิ่งที่สร้างขึ้นมาด้วยกันอย่างน่าเศร้า ดังเช่นที่เกิดขึ้นกับคู่รักนักฆ่าที่กว่าจะเรียนรู้บทเรียนสำคัญของชีวิต ก็แทบจะสายเกินไป
ด้วยไอเดียที่อยากพิสูจน์เขตแดนใหม่ๆ บทที่เขียนอย่างมีชั้นเชิง เพื่อพาตัวละครไปเรียนรู้ใจตัวเอง เรียนรู้ความสัมพันธ์ รวมถึงการวางสถานการณ์การปะทุทางอารมณ์ที่น่าติดตาม คือองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยให้ Mr. & Mrs. Smith ปี 2024 สามารถยืนหยัดได้อย่างมั่นคง และน่าจะเปลี่ยนให้คนที่เคยอคติกับหน้าหนังตั้งแต่แรกเห็นได้ตระหนักว่า พวกเขาเกือบพลาดเพชรในตมไปแล้วที่ด่วนตัดสินตัวละครจากสีผิวเกินไป
จริงอยู่ว่า สุดท้ายแล้วเมื่อดูจบ คนดูอาจไม่จำเป็นต้องชอบหรือหลงรักซีรีส์เรื่องนี้ แต่ก็เหมือนกับที่ตัวละครของ พอล ดาโน (Paul Dano) นามว่า แฮริส ที่เป็นเพื่อนบ้านของนายและนางคู่พิฆาตให้คำปรึกษาจอห์น ที่มาบ่นถึงความแตกต่างกันในหลายด้านของภรรยาให้ฟังว่า แม้กระทั่งเรื่องการอ่านหนังสือที่ตัวเขาเองไม่ชอบ แต่ภรรยา (ปลอมๆ) ของเขากลับชอบอ่าน
“คุณไม่จำเป็นต้องชอบ แต่ขอแค่คุณได้ลองอ่านดู แค่นั้นก็พอ”
คุณไม่จำเป็นต้องชอบนักแสดงนำของ Mr. & Mrs. Smith เวอร์ชันนี้ แต่ขอเพียงลองเปิดใจและทำความเข้าใจเนื้อหาของมัน แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว
Tags: Mr. & Mrs. Smith, Screen and Sound, Amazon Prime