1
“ต่อไปนี้ จะไม่มีความเมตตาอะไรอีก ใครขวางทางพวกเรา จะต้องถูกจัดการขั้นเด็ดขาด”
คืนวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 1933 ณ กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมัน แม่บ้านที่อะพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่ง เข้าไปปลุกชายวัย 43 ปี แจ้งว่ามีเหตุการณ์ใหญ่ และให้เขาออกมาดูอะไรบางอย่าง
คนที่โดนปลุกนี้ เกิดที่ออสเตรีย แม้วัยเด็กเขาจะเกลียดการไปโรงเรียน แต่สถานศึกษาก็ได้มอบแนวคิดชาตินิยมที่เชื่อว่า คนผิวขาวดีที่สุดในโลก และคนยิวคือชนชาติที่น่ารังเกียจ กินเวลาต่อมา เขาสละสัญชาติออสเตรีย ไปเป็นทหารเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่ 1 ยศสิบโท และเกือบตายในสมรภูมินั้น เส้นทางต่อจากนั้น เขาก็โชติช่วงชัชวาลขึ้นเรื่อยๆ ตามลำดับ
พลันที่ชายคนนี้ตื่นจากเสียงปลุก ก็ได้เดินไปที่ระเบียง แล้วเปล่งเสียงกับแม่บ้านว่า “นี่คือสัญญาณจากสวรรค์”
กินเวลาไม่นาน ผู้บัญชาการตำรวจเข้ามาที่ห้อง เพื่อแจ้งความคืบหน้าว่าจับคนร้ายได้แล้ว
แต่ชายคนนี้ไม่สนใจลูกน้องแม้แต่น้อย
เพราะสิ่งที่ปรากฏตรงระเบียงน่าสนใจกว่ามาก มันเป็นภาพเปลวเพลิงขนาดมหึมา สีแดงฉาน พวยพุ่งเต็มท้องฟ้า สิ่งนี้กำลังทำลายสั่นคลอนกัดกินรัฐสภาแห่งเยอรมัน
เหตุการณ์นี้จะเป็นที่รู้จักกันในประวัติศาสตร์ว่า เพลิงไหม้ไรชส์ทาค หรือเหตุไฟไหม้รัฐสภาเยอรมัน
ชายคนนี้จ้องมองภาพประวัติศาสตร์นานอยู่พอสมควร ก่อนจะเปรยออกมาว่า “นี่คือการลุกฮือของพวกคอมมิวนิสต์ พวกมันเริ่มก่อการปฏิวัติแล้ว เราจะประวิงเวลาไม่ได้”
พอกล่าวประโยคนี้จบ เขาจึงหันมาหาลูกน้องด้วยสีหน้าแดงสุกปลั่ง ไม่มีใครรู้ว่าเป็นเพราะโกรธหรือตื่นเต้นกันแน่
หลังจากนั้น เสียงดังฉะฉานสุดสะพรึงก็ถูกเปล่งออกมา หากใครไม่คุ้นจะต้องผวา แต่สำหรับผู้ใต้บังคับบัญชาพวกเขาชินแล้ว
“ต่อไปนี้ จะไม่มีความเมตตาอะไรอีก ใครขวางทางพวกเรา จะต้องถูกจัดการขั้นเด็ดขาด เราจะแขวนคอพวกคอมมิวนิสต์ทุกตัว หรือไม่ก็ยิงทิ้งพวกมัน สังคมเยอรมันจะไม่อ่อนข้อกับเรื่องนี้อีก”
ข้อความข้างต้น คือถ้อยคำของสมุหนายกของเยอรมัน ผู้มีนามว่า อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler) หัวหน้าพรรคนาซี ที่จะสร้างความสยองขวัญ จุดชนวนสงครามโลกครั้งที่ 2 สั่งเข่นฆ่าชาวยิวนับล้านคน และสังหารเพื่อนร่วมโลกเป็นจำนวนมาก
ว่ากันว่าทุกความเลวร้ายอันเป็นจุดกำเนิดของจอมมารและผองปิศาจ เกิดขึ้นในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 1933 วันเดียวกับเหตุไฟไหม้ไรชส์ทาค
สิ่งนี้เกิดขึ้นจากปลายไม้ขีดไฟของชายหนุ่มวัย 24 ปี นามว่า มารีนัส ฟาน เดอร์ ลูบเบอ (Marinus van der Lubbe) ผู้ตกเป็นแพะให้พวกนาซีฉวยใช้เป็นข้ออ้างยึดอำนาจแบบเบ็ดเสร็จและปกครองเยอรมันเยี่ยงเผด็จการ
ชะตาชีวิตของเยอรมันจบสิ้นไปในเสี้ยววินาทีที่ฟาน เดอร์ ลูบเบอเผาสภา และส่งต่อชะตาชีวิตให้ฮิตเลอร์และนาซีให้รุ่งเรืองบนคราบเลือด ความตาย และความทุกข์ จนกลายเป็นหายนะของโลกใบนี้ในเวลาต่อมา
บางทีมันอาจเป็นพรหมลิขิตจากอสูร ที่ทำให้ทุกอย่างเดินไปสู่ความเลวร้ายนี้
2
ฟาน เดอร์ ลูบเบอเป็นชาวดัตช์ เกิดในครอบครัวยากจน พ่อเป็นขี้เมาที่ทิ้งครอบครัวไปตั้งแต่เขาเกิด ชายหนุ่มโตมาโดยไม่รู้จักว่าพ่อคือใครกันแน่ พออายุได้ 12 ปี แม่ก็ตายจาก ทำให้เขาที่ยังเป็นเด็กต้องออกไปทำงานหาเลี้ยงชีพเป็นช่างก่อสร้าง และได้รู้จักกับขบวนการแรงงาน เข้าร่วมกับกลุ่มเยาวชนคอมมิวนิสต์
อย่างไรก็ดี ฟาน เดอร์ ลูบเบอไม่ชอบระเบียบวินัยในพรรค และโครงสร้างที่เหมือนสายการบังคับบัญชาแบบเข้มงวด ทำให้เขาทิ้งพรรคไปในปี 1931
ฟาน เดอร์ ลูบเบอมีปัญหาทางสายตา จากอุบัติเหตุตอนทำงานก่อสร้าง ความพิการนี้ทำให้เขาหางานทำยาก ต้องไปนอนตามโรงนาหรือโรงแรมจิ้งหรีดบ้าง
เดิมที หนุ่มก่อสร้างคนนี้อยากเดินทางไปสหภาพโซเวียต แต่ไปถึงแค่โปแลนด์ ก็วกเข้ามาเยอรมัน ก่อนพบว่าประเทศนี้เจอวิกฤตเศรษฐกิจขั้นรุนแรง คนตกงานนับล้าน
ระหว่างนั้น จิตสำนึกแห่งชนชั้นกรรมาชีพก็ก่อตัว เขาอยากเรียกร้องสิทธิให้กับแรงงานที่มีชีวิตลำเค็ญ ต้องการให้สังคมชนชั้นกลางของเยอรมัน หันมาสนใจความเดือดร้อนของคนยากจน จึงวางแผนวางเพลิงสถานที่สำคัญ เพื่อให้คนรับรู้ความลำบากนี้
ตอนอยู่เนเธอร์แลนด์ เขาเคยก่อเหตุวางเพลิงทรัพย์สินราชการมาแล้ว แต่ไม่ได้โดนลงโทษหนัก พอมาเยอรมัน ก็จุดไฟเผาสถานที่ดูแลสวัสดิภาพของประชาชน และตึกราชการถึง 3 ครั้งด้วยกัน แต่ไม่สำเร็จ
หลังจากนั้น ฟาน เดอร์ ลูบเบอรู้ดีว่าจะก่อการใหญ่ต้องวางแผน และต้องเลือกสถานที่อันเป็นสัญลักษณ์ของชนชั้นกลางเยอรมัน และเขาเลือกรัฐสภา ที่ซึ่งมี ส.ส.ทำงานผ่านการเลือกตั้งโดยประชาชน
หนุ่มดัตช์กำเงินก้อนสุดท้ายซื้อไม้ขีดไฟ ซุ่มรอจนถึงเวลา 3 ทุ่ม จึงรุดเข้าไปภายในรัฐสภา ทีแรกเขาจุดไฟเผาห้องอาหาร ปรากฏว่าเพลิงกลับไม่ลุก จึงไปห้องประชุมและจุดไฟตรงผ้าม่าน คราวนี้ไฟลุกลามอย่างรวดเร็ว
ฟาน เดอร์ ลูบเบอพยายามวางเพลิงหลายจุดในสภา แต่เพราะสายตามองอะไรไม่ค่อยเห็น และเจ้าหน้าที่ตำรวจสภาเห็นเขาก่อน จึงรวบตัวไว้ได้
พลันที่เอาตัวไปสอบสวน หนุ่มดัตช์อยู่ในสภาพเปลือย เหงื่อแตก มีท่าทางดีใจที่ทำงานสำเร็จ นักสืบเจอใบปลิวแถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์ที่ชายคนนี้เขียน ซึ่งก็เหมือนแถลงการณ์ทั่วไป ไม่มีอะไรพิเศษ ที่สำคัญหลังจากนั่งคุยไปแล้ว ฟังคำรับสารภาพ เจ้าหน้าที่ก็กุมขมับ และฟันธงเปรี้ยงไปทันทีว่า
“ไอ้นี่แม่งเพี้ยน”
อย่างไรก็ดี ฮิตเลอร์และนาซีไม่เชื่อแบบนั้น พวกเขาชี้นิ้วใส่มือวางเพลิงคนนี้ว่า เป็นส่วนหนึ่งในแผนการปฏิวัติของพรรคคอมมิวนิสต์ที่จะโค่นล้มรัฐบาล และเปลี่ยนประเทศนี้เป็นสหภาพโซเวียตเยอรมัน
ผู้บัญชาการตำรวจที่สอบฟาน เดอ ลูบเบอ และเดินทางไปพบผู้นำนาซีตอนไฟไหม้ ได้จดบันทึกไว้ว่า
“ผมสอบเด็กคนนี้แล้ว มันก็แค่คนบ้า แต่ฮิตเลอร์ ไม่ใช่คนที่เราจะพูดอะไรตรงๆ ได้ ผมเลยกระตุ้นให้คนในพรรคนาซีบอกข้อมูลนี้ รู้ไหม ไม่มีใครพูดอะไร ทุกคนเงียบและทำตามคำสั่งของฮิตเลอร์กันหมด”
โดยช่วงเวลานั้น สังคมเยอรมันหวาดผวาภัยแดง รวมถึงชนชั้นนำที่เกลียดชังระบอบประชาธิปไตยอยู่แล้ว พวกเขายอมให้อำนาจฮิตเลอร์ตั้งตนเป็นใหญ่ ให้พรรคนาซีส่งคนเข้าควบคุมหน่วยงานรัฐ และสั่งการกวาดล้างพวกคอมมิวนิสต์ รวมถึงสหภาพแรงงาน พรรคสังคมนิยมประชาธิปไตย ที่มีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนาน และมีสมาชิกพรรคนับล้านคน
แถมคนเยอรมันยังคิดว่า เดี๋ยวรัฐบาลนาซีก็ต้องไป มีอายุไม่นานเหมือนอย่างรัฐบาลที่แล้วมา ชนชั้นนำก็เชื่อว่า จะสามารถคุมบุรุษหนวดจิ๋มคนนี้ได้
แต่ทุกคนคาดผิด ฮิตเลอร์ใช้อำนาจอย่างบ้าคลั่งผ่านการใช้กลไกทางกฎหมายแบบบิดเบี้ยว แต่เพราะเชื่อว่าจะเอานาซีอยู่ รวมถึงกองทัพก็หวังว่าฮิตเลอร์จะฉีกสนธิสัญญาแวร์ซายส์ ที่ทำกันในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ห้ามเยอรมันสร้างกองทัพใหญ่โต
คนเหล่านี้จึงพร้อมใจกันยอมให้ฮิตเลอร์ขึ้นเป็นจอมเผด็จการ
ส่วนชะตากรรมของฟาน เดอร์ ลูบเบอ เขากลายเป็นต้นตอของการออกกฎหมายปราบปรามศัตรูทางการเมือง หรือรัฐกฤษฎีกาไรชส์ทาค ที่ลิดรอนเสรีภาพคนเยอรมัน ให้อำนาจแก่ตำรวจและนาซี
ฟาน เดอร์ ลูบเบอถูกคุมขัง และเขารู้ดีว่าจะไม่มีวันได้ออกจากคุกในสภาพมีชีวิตอยู่ ความห้าวหาญของเขาในวันนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของจุดจบแห่งประชาธิปไตยเยอรมัน ซึ่งถูกบ่อนทำลายจากชนชั้นนำ และฝ่ายขวามาอย่างยาวนาน
เพลิงไหม้ครั้งนั้น คือตะปูตอกฝาโลงเสรีภาพของประเทศนี้ในบัดดล
3
อย่างไรก็ดี สิ่งหนึ่งที่ต้องเข้าใจ คือโทษวางเพลิงของฟาน เดอร์ ลูบเบอนั้น ไม่ได้มีความผิดรุนแรงถึงขั้นประหารชีวิต แต่ฮิตเลอร์และนาซี ซึ่งค่อยๆ กระชับอำนาจมาเรื่อยๆ ให้คณะรัฐมนตรีออกกฎหมายย้อนหลัง ชี้ว่าการวางเพลิงสถานที่ราชการ มีโทษถึงตาย
นี่คือการออกกฎหมายย้อนหลังไปเล่นงาน ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องในวงการนิติศาสตร์อย่างมาก แต่พวกนาซีหาได้แคร์ไม่
พวกเขาใช้การก่อเหตุของหนุ่มดัตช์ ในการกวาดจับศัตรูทางการเมืองอย่างรุนแรง เอาขังคุก ให้อัยการและผู้พิพากษาสั่งจำคุก เพียงเพราะพวกเขาไม่ได้มีแนวคิดเหมือนกับพวกฮิตเลอร์
เรือนจำกลายเป็นสถานที่เลวร้าย ที่เอาไว้ใช้ขังอาชญากรทางการเมือง ที่ซึ่งมีการซ้อมนักโทษจนตายและมีความเป็นอยู่ย่ำแย่
กินเวลาไม่นาน ฮิตเลอร์ก็ยกระดับความบิดเบี้ยวของกระบวนการยุติธรรมไปอีกขั้น เขาไม่พอใจที่หลายครั้งผู้พิพากษาและอัยการในศาลปกติ ตัดสินลงโทษศัตรูทางการเมืองเบาไป จึงสร้างศาลประชาชน ซึ่งไม่มีประชาชนอยู่ในสมการนี้ เพราะมันถูกใช้กวาดล้างศัตรูทางการเมืองอย่างรุนแรงโหดเหี้ยม
กระบวนการยุติธรรมถูกทำลายแบบย่อยยับ กลุ่มทหารติดอาวุธของนาซี หรือพวกเอสเอส ยังมีอำนาจจับตัวนักโทษการเมืองที่ได้รับการปล่อยตัวจากคุก ไปขังในค่ายกักกันได้อีกด้วย บางคนถูกนำตัวไปขณะยังอยู่ในเรือนจำด้วยซ้ำ
รัฐบาลนาซีสร้างค่ายกักกันไว้ขังนักโทษการเมืองทั่วเยอรมัน มีผู้คุมเอสเอสที่เป็นคนชนชั้นล่าง ไร้การศึกษา ยากจน ที่หวังว่าจะมีชีวิตดีขึ้น จึงมาสมัครเพราะจะได้มีเงินเดือน พวกเขาเหล่านี้ถูกเจ้าหน้าที่เอสเอสระดับสูงด่าโขกสับ ลงโทษอย่างรุนแรง ทำให้อับอาย
และมาลงโทษแก้แค้นกับพวกนักโทษการเมืองนี่เอง
ต่อมาฮิตเลอร์และพลพรรค ยกระดับกวาดจับคนไปทั่ว คราวนี้พวกเขาเน้นไปที่คนเร่ร่อน คนยากจนที่มีประวัติการก่ออาชญากรรมเพราะวิกฤตเศรษฐกิจ บางคนแค่ลักขโมย มีโทษจริงไม่กี่ปี แต่กลับถูกกฎหมายย้อนหลังเล่นงานให้ติดคุกนานขึ้น
ท้องถนนเยอรมันปลอดภัย แต่เสรีภาพห่างหาย คนในประเทศนี้ไม่รู้ว่าใครเป็นมิตร หรือใครเป็นสายของรัฐบาล หากวิจารณ์ฮิตเลอร์ ก็อาจต้องโทษประหารชีวิตได้ หากล้อเลียนพรรคนาซี ก็อาจติดคุกยาวนานได้ นี่คือความเลวร้ายที่รัฐบาลเผด็จการขับขานความลำพองฉ้อฉลในอำนาจ
เมื่อฮิตเลอร์คิดว่าตัวเองมั่นคงแล้ว ก็ถึงคราวคนยิวที่โดนจับ ลดสิทธิความเป็นพลเมือง ยึดทรัพย์ จัดให้ไปอยู่ในชุมชนแออัด ส่งไปค่ายกักกัน พร้อมกับการก่อสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อขยายแสนยานุภาพของประเทศ และนั่นจึงนำไปสู่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์คนยิว คนพิการ คนยากจน กลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ เกือบ 10 ล้านคน
นี่คือความรุนแรงที่ขยายใหญ่โตขึ้น เพราะแพะที่ชื่อว่า ฟาน เดอ ลูบเบอ ชายที่ถูกความอยุติธรรมเล่นงาน และการเป็นรอยด่างพร้อยในประวัติศาสตร์ ร่วมกับฮิตเลอร์และพรรคนาซี
4
เรารู้ดีว่าสุดท้าย เยอรมันก็พ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ฮิตเลอร์ยิงตัวตาย สมาชิกพรรคนาซีโดนจับขึ้นศาลอาชญากรสงครามระหว่างประเทศ บางคนถูกแขวนคอ หลายคนที่มีส่วนร่วมในระบบเหี้ยมนี้ถูกดำเนินคดีจนถึงปัจจุบัน ไม่ว่าจะแก่งั่กแค่ไหน หากหลักฐานไปถึงก็จะต้องถูกแจ้งข้อหา ส่งขึ้นศาล และติดคุกตอนใกล้ตายด้วย
สำหรับฟาน เดอ ลูบเบอนั้น เขาถูกนำตัวขึ้นสู่แดนประหาร เมื่อวันที่ 10 มกราคม 1934 เวลานั้นยังไม่มีใครรู้จุดจบของนาซีและฮิตเลอร์
หนุ่มยากจนคนดัตช์ ปฏิเสธที่จะขออะไรเป็นพิเศษ เขาไม่เขียนจดหมายอะไรทิ้งไว้ แตกต่างจากตอนติดคุกที่เขาเขียนข้อความถึงเพื่อนอยู่เป็นประจำ
สีหน้าเจ้าตัวเรียบเฉย ไม่ขอพบบาทหลวง เดินเข้าสู่ตะแลงแกงอย่างนิ่งสงบ กิโยตินสับลงมาตอน 07.30 น. ปิดฉากชีวิตไปอย่างเงียบๆ
แต่กลับทิ้งเรื่องราวที่คนต่างสงสัยว่า เขาเผาสภาเพราะคำสั่งคอมมิวนิสต์ หรือเป็นนาซีที่ทำงานให้ฮิตเลอร์ ทุกอย่างถกเถียงในประวัติศาสตร์มากมาย บ้างก่นด่าหนุ่มน้อยคนนี้ว่า หากไม่วางเพลิง ฮิตเลอร์ก็คงจะไม่เถลิงอำนาจขนาดนี้
อย่างไรก็ดี นักประวัติศาสตร์ชี้ว่าฟาน เดอ ลูบเบอ คือแพะที่นาซีฉวยโอกาสกล่าวหาและใช้ประโยชน์จากการก่อเหตุอาชญากรรม
เขาเป็นแค่คนตกงานที่โกรธแค้นชนชั้นนำ รัฐบาลที่ไม่ดูแลชนชั้นกรรมาชีพ ผู้ยากจน จึงต้องการแสดงสัญลักษณ์เท่านั้น
ในเวลาต่อมาเยอรมนีซึ่งเป็นประเทศประชาธิปไตยค่อยๆ ชะล้างความผิดชายคนนี้ ในปี 1981 ศาลเยอรมันตะวันตก พลิกกลับศาลประชาชนยุคนาซีที่หาว่าฟาน เดอ ลูบเบอเป็นบ้า
หลังจากนั้นในปี 1998 รัฐสภาเยอรมันออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้กับคนที่ถูกนาซีกล่าวหาในอดีตด้วยข้อหาที่ไม่เป็นธรรม โดยให้ถือว่าโทษนั้นไม่ผิดอีกแล้ว
อย่างไรก็ดี กว่าจะถึงคิวฟาน เดอ ลูบเบอก็ต้องปี 2008 หรือ 75 ปี ของการวางเพลิงไรชส์ทาค อัยการแจ้งว่า แพะในหน้าประวัติศาสตร์เยอรมันคนนี้ ไม่ถือว่าทำผิดแต่อย่างใด
หลังความตายกว่า 74 ปี ในที่สุดฟาน เดอร์ ลูบเบอก็ถือเป็นผู้บริสุทธิ์อีกครั้ง ทางการเยอรมันแจ้งให้กับครอบครัวเขา พร้อมจ่ายเงินชดเชย
แม้ความตายจะพรากหนุ่มคนนี้ไป แต่เวลาของโลก ก็ยังปรานีให้ได้เห็นความยุติธรรมในที่สุด
ทุกวันนี้ ก็ยังมีข้อมูลมากมายที่ชี้ว่า ฟาน เดอร์ ลูบเบออาจรับคำสั่งจากใครอื่นมาเผาสภา แต่นั่นไม่เป็นความจริง ข้อมูลตอนไต่สวนของศาลที่นักข่าวบันทึกมา ยืนยันว่า ชายคนนี้ยังคงยืนหยัดกล้าหาญในดินแดนคนคดเสมอ เขาย้ำต่อหน้ากระบวนการยุติธรรม ครั้งแล้วครั้งเล่า ด้วยประโยคที่แสดงถึงความจริงใจที่สุด นั่นก็คือประโยคที่ว่า
“ผมเผาสภา และทำเพียงคนเดียว ไม่มีใครอยู่ด้วย และไม่มีใครสั่งให้ผมทำครับ”
ข้อมูลอ้างอิง
https://www.theguardian.com/world/2008/jan/12/secondworldwar.germany
https://timesmachine.nytimes.com/timesmachine/1933/11/14/90652876.pdf?pdf_redirect=true&ip=0
https://timesmachine.nytimes.com/timesmachine/1934/01/11/95025286.pdf?pdf_redirect=true&ip=0
หนังสือ The Coming of The Third Reich โดย Richard J.Evans หน้า 328-333
หนังสือ The Third Reich In Power โดย Richard J.Evans หน้า 67-80