การประกาศปิดตัวของ Bangkok Screening Room โรงหนังอิสระเพียงไม่กี่แห่งในไทย คงสร้างความใจหายไม่น้อยให้แก่คอหนังนอกกระแส แต่ทันทีที่ทราบว่า ‘Documentary Club’ หรือ Doc Club จะเข้ามารับไม้ต่อ พร้อมเสริมเติมแต่งให้เป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนทางความคิด ศิลปะ และวัฒนธรรมที่ไม่จำกัดเฉพาะเรื่องหนัง ภายใต้ชื่อ ‘Doc Club & Pub.’ ทุกคนต่างก็ใจจดใจจ่อรอให้สถานการณ์โควิด-19 ดีขึ้น เพื่อจะได้ยลโฉมบ้านใหม่ของ Doc Club ในเร็ววัน
เมื่อทางการประกาศคลายมาตรการล็อกดาวน์บางส่วน ทาง Doc Club & Pub. ที่ตระเตรียมพื้นที่ไว้พร้อม จึงไม่รีรอเปิดบริเวณส่วนคาเฟ่และบาร์ให้บริการ คล้ายเปิดบ้านให้ชิมลางว่า อีกไม่ช้าหากภาพยนตร์กลับมาฉาย เราจะสามารถอิ่มเอมกับการดูหนัง พร้อมเพลิดเพลินกับการมีบาร์ไว้นั่งคุยกันหลังดูหนังจบได้
เพียงแค่ก้าวเท้าเดินเข้าปากซอยศาลาแดง 2 ที่เชื่อมกับซอยศาลาแดง 1 ป้าย Doc Club & Pub. ตัวอักษรสีแดงก็โดดเด้งมาแต่ไกล ด้วยฝีมือของ Routine Studio ที่เคยฝากผลงานไว้มากมายตั้งแต่โปสเตอร์หนัง ปกหนังสือ งานออกแบบผลิตภัณฑ์ จนถึงงานวาดภาพประกอบในสื่อต่างๆ เข้ามาดูแลการออกแบบ Visual identity ทั้งหมดของทางแบรนด์ ภายใต้แนวคิดว่าต้องมีความเป็นกลาง พร้อมรับกับคอนเทนต์ต่างๆ ที่เข้ามา จริงจังแต่เข้าใจง่าย และสามารถไปใช้ต่อได้ยาวๆ งานออกแบบโดยรวมจึงเน้นการใช้ตัวอักษรเป็นหลัก
พื้นที่ด้านในของ Doc Club & Pub. นั้น ตั้งอยู่บนชั้น 2 ของอาคาร Woof Pack การออกแบบส่วนใหญ่ยังคงยึดเค้าโครงเดิมของ Bangkok Screening Room เอาไว้ แต่แต่งเติมบางส่วนเข้าไปให้ตอบโจทย์กับสิ่งที่ทาง Doc Club ต้องการ โดยได้ทาง allzone เข้ามารับหน้าที่รีโนเวตให้พื้นที่เล็กๆ แห่งนี้ สามารถนั่งทำงานได้ชิลๆ ในเวลากลางวัน เมื่อตกค่ำก็เปลี่ยนมู้ดเป็นบาร์ที่เชิญชวนผู้คนให้มาสังสรรค์ ขณะเดียวกันพระเอกอย่างโรงหนังก็ต้องโดดเด่นแบบกลมกลืนไปกับพื้นที่อื่นๆ ซึ่งนับว่าเป็นโจทย์ที่ยาก แต่ก็ไม่เกินฝีมือของสถาปนิก และเราก็สัมผัสได้ถึงความต่างของมู้ดที่เปลี่ยนอย่างฉับพลันทันทีเมื่อพระอาทิตย์คล้อยลงต่ำ ให้อารมณ์เหมือนอยู่คนละสถานที่ แม้จะเป็นสถานที่เดียวกันก็ตาม
I am small. I was always small. But only physically. (ฉันตัวเล็ก ฉันตัวเล็กเสมอ แต่เพียงทางกายเท่านั้น)
ประโยคของ อาเญส วาร์ดา (Agnes Varda) ช่างภาพและผู้กำกับหญิงชาวเบลเยียมถูกติดอยู่บริเวณด้านบนของเคาน์เตอร์บาร์ เธอมีส่วนสำคัญต่อกลุ่มภาพยนตร์ ‘French New Wave’ อันทรงอิทธิพลอย่างมากช่วงทศวรรษ 50s จนถึง 60s
ขณะเดียวกันประโยคนี้ ก็อาจจะบ่งบอกความเป็น Doc Club &Pub. ที่แม้จะเป็นพื้นที่เล็กๆ แต่ก็เพียงภายนอกเท่านั้น พิสูจน์ด้วยการดำรงอยู่ของ Doc Club ที่เราค่อยๆ เห็นการเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ควบคู่ไปพร้อมกับการขยายตัวของฐานคนดูหนังนอกกระแส
ชั้นหนังสือสีม่วงพาสเทลสูงจรดเพดาน ชวนให้เรานึกถึงประตูห้องโมนิกาและเรเชลจากซิตคอมเรื่อง Friend นอกจากจะเป็นคลังแห่งปัญญาที่อัดแน่นไปด้วยหนังสือหลายร้อยเล่ม หลากประเภท ที่ได้มาจากแบ่งปันของสำนักพิมพ์ต่างๆ มันยังเป็นประตูทางเข้าไปที่นำเราไปสู่พื้นที่ด้านในโรงหนังด้วย
พื้นที่ด้านในโรงหนังมีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย ด้วยการนำเสาตกแต่งออกไป ลดจำนวนที่นั่งลง แล้วเพิ่มโต๊ะกลมเล็ก สำหรับการวางอาหารหรือเครื่องดื่มเข้ามา พร้อมเปลี่ยนเครื่องฉายจากเดิมระบบ 2K ให้เป็น 4K รวมทั้งเพิ่มเครื่องเสียงเข้าไป
“ในตอนแรก เรามาดูพื้นที่ก่อนว่าเราอยากได้อะไร เราอยากได้ที่ที่มานั่งทำงานกันได้ และควรจะสว่างหน่อย เราอยากได้ที่ที่มีหนังสือ ขณะเดียวกันตอนเย็นเราอยากให้เป็นที่ที่คนมาแฮงเอาต์ หรือดูหนังเสร็จในรอบค่ำแล้วคุยกันต่อได้อีก พอกลางวันเราอยากให้บรรยากาศเปลี่ยนไปอีกแบบหนึ่ง และเสียงข้างใน และข้างนอกโรงหนังต้องไม่รบกวนกัน ซึ่งทางสถาปนิกเข้าก็มาช่วยสานต่อ”
‘หมู’ – สุภาพ หริมเทพาธิป เป็นคนหนึ่งที่โลดแล่นอยู่ในวงการหนังมายาวนานในฐานะสื่อ โดยเฉพาะผลงานการผู้ร่วมปลุกปั้นนิตยสารหนังอย่าง BIOSCOPE ร่วมกับ ธิดา ผลิตผลการพิมพ์ ก่อนทั้งสองคนจะผันตัวออกมาก่อตั้ง Documentary Club จนถึงวันนี้ที่มี Doc Club & Pub. เขาก็เข้ามารับหน้าที่ดูแลเป็นหลัก
“สิ่งที่เราอยากจะบอกก็คือนี่ไม่ใช่แค่โรงหนัง เพราะทั้งหมดมันคือพื้นที่เดียวกัน เรามีโต๊ะเล็กๆ ไว้ให้ คุณซื้อเบียร์ข้างนอกเข้ามานั่งกินระหว่างดูหนังไปด้วยได้ หรือถ้าคุณอยากจะดูหนังไปด้วยคุยกับเพื่อนไปด้วย คุณก็สามารถหนังดูผ่านจอทีวีข้างนอก นี่เป็นการดูหนังอีกแบบหนึ่ง เราอยากให้บรรยากาศมันสบายๆ เพราะหนังบางเรื่องกำลังดูอยู่แล้วอาจจะมีความรู้สึกอยากระบาย อยากคุย ถ้าเป็นการดูในโรงปกติ พ้นทางออกไปเราก็แยกย้ายกันแล้ว เราอยากได้ที่แบบนี้ เพราะเราโตมากับการดูหนังลักษณะนี้”
หมูเล่าย้อนไปว่าในยุคของเขา มีสถาบันทางวัฒนธรรมต่างๆ มากมายที่เปิดฉายภาพยนตร์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยผลิตคนทำงานหนังออกมามากมาย
“ตอนเราเด็กๆ สมัยทำงานหอภาพยนตร์ วันจันทร์เลิกงาน 4 โมงครึ่ง กระโดดขึ้นรถสาย 15 วิ่งมาลงที่ศาลาแดง เดินทะลุศาลาแดงไปออกสาธร เพื่อไปดูหนังที่สมาคมฝรั่งเศสกับเพื่อน หรือขึ้นรถเมล์มาลงซอยงามดูพลี แล้วก็เดินเข้าไปดูหนังสถานบันเกอเธ่ ถ้าเป็นวันพฤหัสบดีก็ไปดูที่ตึก AUA พอดูเสร็จก็เดินคุยกันกับเพื่อนไปกินบะหมี่ ถึงร้านก็นั่งคุยกันต่อ เรารู้สึกว่าการได้คุยกันมันทำให้เราเติบโตในเรื่องทางความคิดและความรู้เกี่ยวกับหนังที่เราดู
“ถ้าพูดแบบดูหนังเท่าทุนคือคุณดูจนจบ แต่จริงๆ กำไรมันคือสิ่งเหล่านี้ สิ่งที่วนเวียนอยู่ในหัว สิ่งที่ทำให้เราอยากรู้ อยากแสดงความคิดเห็น อยากจะไปหาคำตอบต่ออีก สิ่งเหล่านี้ให้กำไรเราทั้งนั้น กลุ่มเพื่อนที่ดูหนังมาด้วยกันเขาก็ไปเป็นคนทำหนังบ้าง เป็นผู้กำกับบ้าง เป็นโปรดิวเซอร์ ทั้งหมดทั้งมวลล้วนมาจากการมีต้นทุนสะสมมาจากพื้นที่ทางวัฒนธรรมในยุคนั้น ที่ปัจจุบันมันหายไป เราจึงอยากให้ Doc Club & Pub. เป็นพื้นที่แบบนั้น เพราะเรารู้ว่าการเรียนรู้ในระบบมันมีข้อจำกัดเยอะแยะมากมาย”
เป็นที่ทราบกันดีว่าการนำเข้าลิขสิทธิ์หนังเข้ามาฉายมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง นอกจากการมีส่วนคาเฟ่และบาร์เพื่อให้คนรักหนังได้มีพื้นที่สนทนา เราจึงอดสงสัยไม่ได้ นี่เป็นทางอยู่รอดของคนทำธุรกิจโรงหนังยุคนี้ด้วยหรือไหม
“ใช่เลย เพราะถ้าเป็นหนังเราเอง เราก็ไม่ได้ตั้งราคาค่าตั๋วสูง ราคาเริ่มต้น 150 ซึ่งน่าจะถูกที่สุดในกรุงเทพฯ ฉะนั้นเมื่อได้เงินมา พอต้องหักค่าใช้จ่ายต่างๆ ออกไป มันแทบจะไม่เหลือกำไรเลย บางทีเข้าเนื้อด้วยซ้ำไป เราจึงต้องมีแหล่งรายได้ทางอื่นที่ทำให้การดำเนินทางธุรกิจไปต่อได้ อย่างแรกคือขอไม่เจ็บตัวก่อน ส่วนจะรุ่งเรืองเฟื่องฟูไหมนั้น ในใจเราอยากให้มี Doc Club & … อยู่ในหลายๆ พื้นที่ จะเป็นแอนด์อะไรไม่รู้ อาจเป็นแกลเลอรีที่ไปอยู่จังหวัดอื่นๆ นี่คือสิ่งที่เราฝัน เพราะ หนึ่ง เป็นโอกาสที่หนังจะกระจายตัวออกไป สอง เป็นโอกาสที่จะทำให้พื้นที่ต่างๆ เป็นพื้นที่ในลักษณะเดียวกัน และพื้นที่ทางวัฒนธรรม พื้นที่ของการสร้างสรรค์ ก็จะเกิดขึ้นหลายๆ ที่”
หากสถานการณ์ระบาดของโควิด-19 คลี่คลายลง ทาง Doc Club & Pub. ตั้งใจให้ทุกวันเสาร์มีกิจกรรมต่างๆ หมุนเวียนสลับกันมาจัดบริเวณคาเฟ่
“เบื้องต้นที่คุยไว้คือกับกลุ่ม DemAll สมาพันธ์สื่อไทยเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งก็มาดูกันหลายรอบตั้งแต่ยังรีโนเวตไม่เสร็จ รวมไปถึงเรื่อง Home School ที่อาจเชิญเด็กๆ เข้ามา และกำลังคุยกับสำนักพิมพ์ต่างๆ หากเขาอยากมาเปิดตัวหรือขายหนังสือ ส่วนพวกบรรดาที่เกี่ยวกับหนังก็อยากจะให้มีต่อเนื่อง อาจจะอยู่ในรูปทอล์กหรือเวิร์กช็อป เพราะโดยพื้นที่มันคงทำอะไรใหญ่กว่านั้นไม่ได้”
ปัจจุบัน Doc Club & Pub. กำลังอยู่ระหว่างการจัดเทศกาล 7th INTERNATIONAL FESTIVAL SIGNES DE NUIT IN BANGKOK ที่รวบรวมหนังทดลอง หนังสารคดี หนังสั้น และหนังเล่าเรื่องมาฉายบนจอทีวี LG-C1 77 ให้รับชมฟรีในโซนคาเฟ่
ถัดจากนั้นจะเป็นคิวนิทรรศการภาพถ่ายของ ‘Napin Mandhachitara’ ที่จะเริ่มจัดแสดง 20 กันยายนเป็นต้นไป
แต่เนื่องจากยังเป็นช่วง soft opening จึงเปิดให้บริการวันละ 3 รอบ ได้แก่ 12.00 น. / 14.30 น. / 17,30 น. จำกัดรอบละ 12 ท่าน สามารถจองล่วงหน้าหรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทางเพจเฟซบุ๊ก Doc Club & Pub.
Fact Box
- Documentary Club เป็นคลับของคนรักหนังนอกกระแส ที่ถือกำเนิดขึ้นเมื่อ 7 ปีก่อน จากความชื่นชอบสารคดีเป็นทุนเดิม ของ ‘หมู’ - สุภาพ หริมเทพาธิป และ ธิดา ผลิตผลการพิมพ์ ประกอบกับอยากให้คนไทยได้สัมผัสความหลากหลายของภาพยนตร์
- Doc Club & Pub. ตั้งอยู่ชั้น 2 ของ Woof Pack ซอยศาลาแดง 1 แขวงสีลม เขตบางรัก กทม. 10500
- เปิดให้บริการเวลา 12.00 - 19.30 น. แบบจำกัดรอบ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทางเพจเฟซบุ๊ก Doc Club & Pub.