ปัจจุบันสัดส่วนคนที่ไม่นับถือศาสนานั้นอยู่อันดับที่สามของโลก เป็นรองเพียงศาสนาคริสต์และอิสลามเท่านั้น ซึ่งจำนวนผู้ไม่นับถือศาสนาก็ยังเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะผู้คนเริ่มตั้งคำถามมากขึ้น โลกที่เปิดกว้างทำให้พวกเขาสงสัยใคร่รู้มากกว่าอดีตอันไกลโพ้นที่ครั้งหนึ่งมนุษย์เคยกลัวฟ้าผ่า หวั่นเกรงธรรมชาติ และบูชาบางสิ่งด้วยความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องนัก แต่ปัจจุบันเราเรียนรู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร วิทยาศาสตร์สามารถให้คำตอบแก่เราได้ แม้อาจจะยังไม่ใช่ทั้งหมด
ผู้คนเลิกนับถือศาสนาจากหลายสาเหตุ ตั้งแต่ความงมงายเกินควรของคนรอบข้าง ความผิดหวังจากบุคคลของศาสนา และความชอกช้ำที่ชีวิตได้กระทำต่อตัวเอง เมื่อศาสนาไม่สามารถเป็นที่พึ่งได้ไม่ว่าทางใด ผู้คนจึงปล่อยวางแล้วเลิกเชื่อมั่นในสิ่งนั้น เพราะสิ่งยึดเหนี่ยวทางจิตใจสามารถเป็นสิ่งใดก็ได้ แม้กระทั่งตัวเราเอง
Spring, Summer, Fall, Winter… and Spring (2003)
คิมคีด็อค อีกหนึ่งผู้กำกับชาวเกาหลีที่มีผลงานโดดเด่นและเอกลักษณ์เฉพาะตัว ผลงานของเขาส่วนใหญ่มักเผยให้เห็นด้านมืดในจิตใจ รวมถึงความหมิ่นเหม่ทางศีลธรรมของมนุษย์
ฤดูกาลที่ผันผ่านไม่นานก็วนมาใหม่นั้นไม่ต่างอะไรกับวัฏจักรชีวิต กล่าวโดยง่าย ผลงานชิ้นนี้ของคิมคีด็อคนั้นพูดถึงการเกิดแก่เจ็บตาย โดยมีเขาเองร่วมแสดงด้วยในช่วงท้าย
เรื่องราวแบ่งออกเป็น 5 องก์ตามชื่อภาพยนตร์ ซึ่งเราจะได้เห็นช่วงชีวิตของคนสองคน ได้แก่ สามเณรน้อยและหลวงพ่อ โดยเริ่มต้นที่ฤดูใบไม้ผลิ สามเณรน้อยเข้าป่าไปเก็บสมุนไพร แต่ระหว่างนั้นตนก็เล่นอะไรไปตามประสาโดยไม่คิด สามเณรกลั่นแกล้งสัตว์ต่างๆ ที่พบเจอ เมื่อหลวงพ่อมาเห็นเข้า เขาจึงทำแบบเดียวกันนั้นกับสามเณร เพื่อเป็นการสอนสั่ง ถัดมาเป็นฤดูร้อน สามเณรน้อยเติบโตจนก้าวเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น และเขาก็ได้พบกับเด็กสาวในรุ่นราวคราวเดียวกัน ทั้งคู่ตกหลุมรักกัน เป็นเหตุให้สามเณรหนีจากสถานที่แห่งนี้ไป จวบจนฤดูใบไม้ร่วงมาถึง หลายชีวิตเป็นไป มีสุขมีทุกข์ และหลวงพ่อพบว่าลูกศิษย์ของตนได้พลาดพลั้งจนกลายเป็นฆาตกร เขากลับมาพร้อมความโกรธแค้นชีวิต และถูกจับกุมในเวลาต่อมา อีกหลายปีผ่านไป ฤดูหนาวกำลังทำหน้าที่ ชายหนุ่มกลับมายังสถานที่แห่งเดิม พร้อมความตั้งใจที่จะฝึกฝนตนเอง เขาลงมือทำสิ่งเหล่านั้นเพียงลำพังอย่างไม่ย่อท้อ ท้ายที่สุดฤดูใบไม้ผลิก็มาถึงอีกครั้ง สามเณรน้อยวันนั้นกลับกลายเป็นพระอาจารย์ เขามีลูกศิษย์ตัวกระเปี๊ยกที่ไม่ประสากับโลก ซึ่งไม่ต่างอะไรจากเขาในวันวานเลย…
ภาพยนตร์มีบทพูดน้อยมาก โดยส่วนใหญ่จะเล่าด้วยภาพและการกระทำของตัวละคร สิ่งต่างๆ ที่ถ่ายทอดออกมาล้วนมีความหมาย อาทิ ประตู เราจะพบว่าประตูริมทะเลสาบและประตูในวัดลอยน้ำเป็นแค่สัญลักษณ์ เพราะมันไม่มีกำแพง แต่ประตูนี่เองที่เป็นตัวแทนของคุณธรรมและวินัย, หิน หินก็ไม่ต่างอะไรจากสิ่งที่เราต้องแบกไว้ เมื่อเราวางได้ก็ย่อมสบายต่อตัวเราเอง และการแกะสลักบนพื้นไม้ นั่นคือหนึ่งในพระสูตรที่สำคัญที่สุดของพุทธศาสนา ก็คล้ายกับการทบทวนและสลักคำสอนนั้นลงไปในใจเรา ภาพยนตร์จะทำให้เรามองเห็นสัจธรรมในชีวิตมากขึ้น
Secret Sunshine (2007)
อีชางดง ผู้กำกับสัญชาติเกาหลี จบการศึกษาปริญญาตรีสาขาวรรณกรรมเกาหลี เขาประสบความสำเร็จกับการเป็นนักเขียน ก่อนจะผันตัวมาสู่การเป็นผู้กำกับ ซึ่งประสบความสำเร็จไม่แพ้กัน
Secret Sunshine ดัดแปลงมาจากนวนิยายขนาดสั้น The Story of a Bug ของยี ชองจุน (Yi Chong-jun) มันเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่เขาได้กำกับหลังลงจากตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรมและท่องเที่ยว อีชางดงกล่าวว่าเขาต้องการสร้าง ‘ภาพยนตร์ที่ธรรมดาๆ’ ที่ต่างไปจากผลงานเรื่องก่อนๆ
ชินเอ หญิงหม้ายที่พาลูกชายตัวน้อยย้ายถิ่นฐานจากเมืองหลวงมาสู่มิรยาง บ้านเกิดของสามีที่เพิ่งเสียชีวิตไป เธอตัดสินใจที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่นี่ ในสถานที่ที่ไม่มีใครรู้จักเธอ ชินเอค่อยๆ จัดการทุกอย่างให้เข้าที่เข้าทาง เธอพาลูกไปสมัครโรงเรียน เปิดร้านสอนเปียโนเล็กๆ และเริ่มทำความรู้จักกับเมืองใหม่
โชคร้ายที่การเริ่มต้นใหม่ของเธอไม่สวยงามนัก เมื่อเธอทำทีว่าจะซื้อที่ผืนใหญ่ คนที่ได้ยินต่างเข้าใจว่าเธอคงมีเงินเป็นกอบเป็นกำ ลูกชายของชินเอจึงถูกลักพาตัวไป เธอต้องนำเงินที่มีทั้งหมดไปไถ่ตัวลูก แต่ที่ได้กลับมามีเพียงร่างไร้วิญญาณ หลังจากนั้นเรื่องราวก็ยิ่งด่ำดิ่งลงไปในก้นบึ้ง ชินเอจมปลักอยู่กับความโกรธและความรู้สึกผิด เธอไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร จนกระทั่งตัดสินใจเข้าโบสถ์ แล้วชินเอก็เปลี่ยนเป็นคนละคน เธอกลายเป็นศาสนิกชนที่ดี มีความศรัทธา และกอบกู้ความสูญเสียคืนมาได้ เธอพร้อมจะให้อภัยฆาตกร แต่เมื่อไปพบหน้าฆาตกรอีกครั้ง ทุกอย่างที่ทำมาก็ทลายลงอีกหน เธอมีคำถามต่อพระเจ้าว่าท่านเป็นใคร มีสิทธิอะไรมาให้อภัยคนชั่วนั่น ครั้งนี้เธอเหมือนสูญสิ้นทุกอย่างแล้วจริงๆ และเธอก็พยายามเอาคืนพระเจ้าอย่างสาสม
สิ่งที่ตัวละครตัดสินใจลงมือทำนั้นเป็นการเย้ยหยันพระเจ้า เธอตั้งตนเป็นปรปักษ์ในทุกๆ ทาง และโต้กลับอย่างรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฉากที่เธอหลับนอนกับสามีเพื่อนบ้าน สายตาเธอทอดไปไกลถึงเบื้องต้น ที่ๆ ทุกคนเชื่อว่าสายตาพระเจ้ามองมาจากบนนั้น แต่ในทีนี้กลับเป็นเธอที่มองพระเจ้าอย่างชิงชัง ชินเอเลิกที่จะเชื่อทุกอย่าง หนทางออกเดียวคงเป็นการกลับมาเชื่อในตัวเอง ถ้าเธอสามารถทำมันได้…
Love Exposure (2008)
ภาพยนตร์เรื่องนี้มีความยาวกว่า 4 ชั่วโมง ซึ่งเป็นฝีมือการเขียนบทและกำกับของชิออน โซโน โดยแรกเริ่มนั้นมันมีความยาวถึง 6 ชั่วโมง แต่โซโนก็ต้องตัดความยาวออกตามคำขอของผู้ผลิต ซึ่งเขากล่าวว่า “มันสั้นเกินไป”
ในตอนที่เข้าฉายภาพยนตร์ได้รับความสนใจจากเหล่าผู้ชมและบรรดานักวิจารณ์เป็นอย่างมาก หัวใจของเรื่องนี้อยู่ที่ความรัก แต่ตัวละครก็ต้องเผชิญกับอุปสรรคอันยุ่งเหยิงเกินกว่าที่เราจะจินตนาการได้
ฮอนดะ ยู เด็กวัยรุ่นชายที่พยายามใช้ชีวิตอย่างซื่อสัตย์ที่สุด ยูเกิดมาในครอบครัวคริสเตียน เขานับถือศาสนาคริสต์ และเท็ตสึ พ่อของเขาก็กลายเป็นนักบวชผู้เคร่งครัด หลังสูญเสียภรรยาไป เท็ตสึให้ยูมาสารภาพบาปเสมอ แต่เนื่องจากตลอดมายูปฏิบัติตัวอยู่ในลู่ทางมาตลอด เขาจึงไม่มีบาปมาสารภาพ แต่เท็ตสึก็คาดคั้นจนยูไม่มีทางเลือก นอกจากการไปทำบาปมาจริงๆ เริ่มต้นเขาก็ทำบาปเล็กๆ น้อยๆ แต่ไม่นานยูก็เข้าไปสู่โลกของการแอบถ่ายใต้กระโปรงหญิงสาว เขามีความสุขจนออกนอกหน้าที่ได้ทำบาป และทุกครั้งที่ไปโบสถ์ก็สามารถสารภาพบาปได้อย่างหน้าชื่นตาบาน
ชีวิตของพ่อลูกที่ขาดๆ เกินๆ นี้มีอันต้องวุ่นวายขึ้นไปอีก เมื่อมีผู้หญิงสามคนเข้ามาข้องเกี่ยว คนหนึ่งคือคาโอริ ภรรยาใหม่ของเท็ตสึ สองคือโยโกะ เด็กสาวที่ยูตกหลุมรัก รวมถึงเป็นลูกเลี้ยงของคาโอริด้วย และสามคือ โคอิเกะ เด็กสาวที่ตกหลุมรักยู แม้ว่าเธอจะเกลียดผู้ชายทั้งโลก เนื่องจากถูกพ่อทำร้ายในวัยเด็ก และเธอเป็นสมาชิกคนสำคัญของลัทธิ ‘Zero Church’
บททดสอบหลายอย่างนำพาครอบครัวของยูไปสู่จุดล่มสลาย ความเชื่อต่อศาสนาสั่นคลอนจนพวกเขาหันไปพึ่งพาลัทธิ Zero Church ที่นั่นทุกคนคล้ายถูกล้างสมองให้คิดและเชื่อในสิ่งที่ลัทธิบอก ยูจึงจำเป็นต้องยื่นมือเข้าไปช่วย ทั้งพ่อของเขา คาโอริ และโยโกะ แม้ว่าผลลัพธ์ที่ได้จะทำให้เขาสูญเสียตัวตนก็ตาม
สิ่งที่โซโนเล่านั้นล้วนแต่มุ่งประเด็นไปที่ความรัก แล้วสิ่งนี้ก็ยังเป็นหัวใจสำคัญของศาสนาคริสต์ด้วย แต่มันไม่ใช่แค่รักเท่านั้น แล้วทุกอย่างจะผ่านพ้นไปได้ด้วยดี เพราะการใช้ความรักในทางผิดๆ ก็มีให้เราเห็นอยู่ร่ำไป การจะรัก เราต้องรักอย่างเข้าใจ ไม่ใช่อย่างงมงาย หรือการจะเชื่อ เราก็ต้องเชื่ออย่างมีสติ ไม่ใช่อย่างบ้าคลั่ง แล้วความรักจะนำพาสิ่งดีๆ มาให้เราเอง
PK (2014)
ภาพยนตร์อินเดียที่ทำรายได้ทั่วโลกไปถึง 140 ล้านเหรียญ นำแสดงโดยอาเมียร์ ข่าน ซุปเปอร์สตาร์ชื่อดังจากวงการบอลลีวูด ภาพยนตร์เรื่องนี้เต็มไปด้วยสีสัน การตั้งคำถามอย่างชาญฉลาด และที่ขาดไม่ได้เลยก็คือการร้องเล่นเต้นรำ
ก่อนที่ภาพยนตร์จะได้เข้าฉายนั้นเต็มไปด้วยปัญหาประปรายตามรายทางมากมาย ตั้งแต่การที่อาเมียร์เปลือยกายอยู่บนโปสเตอร์ หรือการโดนพรรคการเมืองในอินเดียยื่นฟ้องและคัดค้านการปล่อยตัวภาพยนตร์
PK เป็นเรื่องราวของมนุษย์ต่างดาวที่เดินทางมายังโลก เพื่อสำรวจความเป็นอยู่ และอารยธรรมของมนุษย์ แต่เขาดันดวงซวยที่โดนขโมยรีโมทเรียกยาน ทำให้เขาไม่สามารถกลับไปยังดาวของตัวเองได้ พีเคต้องอยู่บนโลกอย่างคนไม่รู้อะไรเลย เขาค่อยๆ ปรับตัว ลองผิดลองถูกจนค่อยๆ มีความเข้าใจมากขึ้น แต่เมื่อถามใครๆ ว่าเขาจะตามหารีโมทที่โดนขโมยไปได้จากที่ไหน ใครๆ ก็เอาแต่พูดว่าคงมีแต่พระเจ้าเท่านั้นแหละที่จะช่วยได้
ดังนั้น พีเคจึงเริ่มตามหาพระเจ้า แต่พระเจ้าที่มนุษย์นับถือนั้นมีหลายองค์เหลือเกิน เส้นทางของพีเคจึงไม่ง่ายเลย มันมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เขาไม่เข้าใจ เขาตั้งคำถามต่อสิ่งเหล่านั้นอย่างคนสงสัยใคร่รู้ แต่บ่อยครั้งเขากลับไม่ได้คำตอบ และทำไมทุกคนจึงเอาแต่อ้อนวอนพระเจ้าเมื่ออยากได้สิ่งที่ต้องการ แต่กลับไม่ลงมือทำ พระเจ้าจะดลบันดาลให้ทุกคำขอเป็นจริงได้หรือไม่ ความเชื่อที่เราปฏิบัติสืบทอดต่อกันมานั้นมีความสมเหตุสมผลแค่ไหน บางครั้งเราก็ควรตั้งคำถามกับศรัทธาที่เรามี กับสิ่งที่เราเชื่อ และกับสิ่งที่เราทำ เพื่อนำชีวิตไปสู่สิ่งที่ดี
ภาพยนตร์ไม่ได้มีท่าทีลบหลู่ศาสนา และไม่ได้ยัดเยียดคำถามต่อผู้ชมจนเกินไป PK เล่าเรื่องได้อย่างสนุกสนาน ไม่เพียงตั้งคำถามกับความเชื่อเท่านั้น แต่ยังตั้งคำถามกับระบบ สังคม และวัฒนธรรมด้วย เมื่อเปิดใจดู เราก็จะพบว่ามันช่วยเปิดความคิดให้เราอีกมาก
Silence (2016)
Silence ผลงานกำกับจากมาร์ติน สกอร์เซซี ที่สร้างมาจากนวนิยายในชื่อเดียวกันของชูซากุ เอ็นโดะ ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1966 มาร์ตินและเจย์ ค็อกส์ นักเขียนบทได้เขียนร่างแรกของภาพยนตร์ไว้ตั้งแต่ปี 1990 เขาตั้งใจจะสร้างเรื่องนี้ทันทีหลังถ่ายทำ Gangs of New York (2002) จบ แต่เพราะเงินทุนไม่เพียงพอเขาจึงต้องเลื่อนโปรเจกต์นี้ออกไปก่อน
เมื่อเริ่มต้นโปรเจกต์ มาร์ตินใช้เวลาถ่ายทำเพียง 73 วัน สองนักแสดงหลักอย่างแอนดรูว์ การ์ฟิลด์ และอดัม ไดรเวอร์ ได้ใช้เวลาร่วมกันหนึ่งสัปดาห์ที่เซนต์อาซาฟ ทางตอนเหนือของเวลส์ แต่พวกเขาไม่ได้สนทนากันเลย เนื่องจากเป็นกฎข้อหนึ่ง ซึ่งนั่นทำให้ทั้งสองเข้าถึงจิตวิญญาณของตัวละครมากขึ้น
เรื่องราวเกิดขึ้นในศตวรรษที่ 17 นักบวชนิกายเยซูอิตชาวโปรตุเกสสองท่าน ได้แก่ บาทหลวงโรดริเกซ และบาทหลวงการูเป้ ได้ทราบข่าวว่าบาทหลวงเฟอร์เรรา ผู้เป็นดั่งอาจารย์ได้ละทิ้งศาสนาแล้ว แต่ด้วยความไม่เชื่อ ลูกศิษษ์ทั้งสองจึงออกเดินทางไปยังประเทศญี่ปุ่นตามหาเขา เมื่อมาถึงจุดหมาย นักบวชต่างรู้สึกหวาดกลัวกับสิ่งที่ต้องพบเจอ เพราะขณะนั้นญี่ปุ่นกำลังกวาดล้างผู้นับถือศาสนาคริสต์ให้สิ้นซาก หากพบผู้ต้องสงสัยก็จะนำตัวมาสอบสวนอย่างรุนแรง ซึ่งบ่อยครั้งทุกคนจะพบกับความตาย ท่ามกลางอันตรายที่มากมายนี้ นักบวชทั้งสองต้องเผชิญกับบททดสอบความเชื่อความศรัทธา อุปสรรคทั้งปวงจะเป็นแรงผลักดันหรือข้อกังขาต่อพระเจ้า จิตวิญญาณที่เคยแข็งแกร่งจะทลายลงไหม การเผยแพร่คำสอนจะยังดำเนินต่อไปได้หรือไม่ พวกเขาจะสามารถยืนหยัดและยังเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระเจ้าอยู่หรือเปล่า ในเมื่อเวลาที่พวกเขาขอความเชื่อเหลือมีพียงความเงียบงันเท่านั้นที่กลับมา พระเจ้าที่รักและศรัทธาแท้จริงอยู่ที่ใด?
หากให้เลือกสละชีวิตกับสละความเชื่อ คุณจะเลือกสิ่งใด? หากคุณเคลือบแคลงสงสัยในสิ่งที่เชื่อ คุณอาจเลือกชีวิต แต่หากคุณไม่เคยข้องใจกับสิ่งใด คุณอาจพร้อมหมดลมหายใจ แล้วกลับคืนสู่สวรรค์ (ที่เฝ้าคอย)
Tags: ความเชื่อ, film, ศาสนา, religion