อนิเมะที่ติดอยู่ในความทรงจำของแต่ละคนนั้นก็คงแตกต่างกันไป ในจำนวนเรื่องราวที่มากมายเหล่านี้ ไม่แปลกที่จะมีอนิเมะจำนวนหนึ่งกลายเป็นเรื่องขึ้นหิ้ง ซ้ำยังถูกกล่าวขวัญถึงอยู่เสมอๆ (อ่านเพิ่มเติมที่ “5 อนิเมะเรื่องเยี่ยม ผ่านไปกี่ปีคนก็ยังรื้อมาดู”) หลายเรื่องถูกนำไปต่อยอดเป็นภาพยนตร์คนแสดง หลายเรื่องติดตรึงอยู่ในความรู้สึก และหลายเรื่องก็เหมาะที่จะหยิบมาดูซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่อนิเมะที่เราอยากแนะนำในวันนี้ บางเรื่องอาจจะไม่ใช่เรื่องที่คุ้นตาเท่าไรนัก แต่หากพูดชื่อผู้อำนวยการสร้างหรือผู้กำกับ รับรองว่าเราจะต้องคุ้นชื่อเขาอย่างแน่นอน ปักหมุดไว้แล้วไปหามาดูกัน!
Robot Carnival (1987)
Robot Carnival ประกอบไปด้วยผู้กำกับ 9 คนที่แต่ละคนก็มีสไตล์และการเล่าเรื่องที่แตกต่างกันออกไป ภาพยนตร์การ์ตูนเรื่องนี้จึงออกมาในรูปแบบ Anthology film (ประเภทย่อยของภาพยนตร์ ที่ประกอบไปด้วยหลายภาพยนตร์สั้น มักมีเหตุการณ์ที่เชื่อมโยงกัน) โดยมีธีมหลักคือ ‘หุ่นยนต์’ การดำเนินเรื่องส่วนใหญ่แทบไม่มีบทพูด และบางตอนก็สั้นเพียง 7 นาทีเท่านั้น
ผู้กำกับ 9 คน ได้แก่ Hidetoshi Oomori, Hiroyuki Kitakubo, Hiroyuki Kitazume, Katsuhiro Otomo, Koji Morimoto, Mao Lamdo, Takashi Nakamura และ Yasuomi Umetsu
อนิเมะเปิดตัวด้วยภาพของหมู่บ้านเล็กๆ ท่ามกลางความอ้างว้างของทะเลทราย จากนั้นสิ่งที่ดูคล้ายหมู่บ้านเคลื่อนที่ขนาดยักษ์ก็ปรากฏกายขึ้น พร้อมกับอักษรที่สลักว่า Robot Carnival มันบรรเลงดนตรีอย่างยิ่งใหญ่ ขณะเดียวกันก็ทำลายหมู่บ้านเบื้องล่างจนราบเป็นหน้ากลอง
ถัดมาคือเรื่อง Franken’s Gears – จากชื่อเราก็พอจะเดาได้อยู่แล้วว่ามันต้องมีส่วนใดส่วนหนึ่งที่เชื่อมโยงกับแฟรงเกนสไตน์ มันคือความพยายามของตาเฒ่านักวิทยาศาสตร์ที่ทุ่มเทให้กับการปลุกหุ่นยนต์ที่สามารถเคลื่อนไหวได้ในแบบเดียวกับตน
Deprive – การต่อสู้กันระหว่างหุ่นยนต์มนุษย์กับหุ่นยนต์เอเลี่ยน, Presence – หุ่นยนต์สาวที่อยากจะมีชีวิตเป็นของตัวเอง และใฝ่ฝันถึงการใช้ชีวิตเยี่ยงมนุษย์, Star Light Angel – เด็กสาวสองคนไปเที่ยวสวนสนุกที่เต็มไปด้วยหุ่นยนต์ และใครคนหนึ่งก็โดนหนุ่มในชุดหุ่นยนต์ตกหลุมรัก, Cloud – เป็นการสำรวจระยะเวลาชีวิตของหุ่นยนต์ตัวหนึ่ง, A Tale of Two Robots – หุ่นยนต์ยักษ์สองตัวต่อสู่กันใจกลางเมือง โดยมีฉากหลังเป็นญี่ปุ่นในยุคศตวรรษที่ 19, Nightmare – เป็นเรื่องที่มืดมนที่สุดในบรรดาอนิเมะทั้งหมด โลกวุ่นวายและตกอยู่ภายใต้การรุกรานโดยหุ่นยนต์
อนิเมะจบลงด้วยการกลับมายังจุดเริ่มต้น ตะวันลับขอบฟ้า หลงเหลือให้เห็นเพียงคำว่า Robot Carnival ที่ไม่นานมันก็ทำลายตัวเองจนพังพินาศ
The Castle of Cagliostro (1979)
จอมโจรลูแปง หรือ ลูแปงที่สาม เป็นผลงานของมังกีพันช์ นามปากของคาซูฮิโกะ คาโต ลูแปงที่สามปรากฏตัวครั้งแรกในนิตยสาร Weekly Manga Action ปี 1967 ตัวละครและเนื้อหามีแรงบันดาลใจมาจากอาร์แซน ลูแปง ซึ่งเป็นนวนิยายของมอริส เลอบล็อง ในขั้นตอนพัฒนาตัวละครลูแปงที่สามนั้น ผู้เขียนได้ผสมผสานองค์ประกอบต่างๆ ของอาร์แซน ลูแปง เข้ากับเจมส์ บอนด์ จนกลายเป็นลูแปงแบบที่เราเห็น
นอกเหนือไปจากนี้ มังกีพันช์ยังชื่นชอบและสนุกไปกับภาพยนตร์ หนังสือ และซีรีส์อื่นๆ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในแรงบันดาลใจของเขาเช่นกัน อาทิ Columbo ซีรีส์สืบสวนสอบสวน, อกาธา คริสตี้, สามทหารเสือ และภาพยนตร์ของอัลเฟรด ฮิตช์ค็อก
The Castle of Cagliostro หรือ ลูแปง เดอะมูฟวี่ ตอนปราสาทสมบัติคากลิออสโทร ออกฉายในปี 1979 ร่วมเขียนบทและกำกับโดยฮายาโอะ มิยาซากิ (ผู้ก่อตั้งสตูดิโอจิบลิ) ซึ่งเรื่องนี้นับว่าเป็นผลงานภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่องแรกของเขา
ในอนิเมชั่นของลูแปงที่สามนั้น ที่ผ่านมาเขาจะใส่แจ็คเก็ตที่มีสีแตกต่างกับที่ออกอากาศในโทรทัศน์ แต่ในเรื่องนี้เขาสวมแจ็คเกตสีเขียว เพื่อแสดงความเคารพในจุดเริ่มต้นของลูแปง
ในปี 1968 หัวขโมยนามลูแปงที่สามกับจิเกนขโมยเงินจำนวนมหาศาลมาจากคาสิโนมอนติคาร์โล แต่ไม่นานลูแปงก็รู้ว่าเงินทั้งหมดนั้นเป็นของปลอม ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจค้นหาแหล่งที่มาของเงินเหล่านั้น ลูแปงกับจิเกนมุ่งหน้าไปยังแกรนด์ดัชชี ปราการของเคานต์แห่งคากลิออสโทร
ระหว่างทาง พวกเขาช่วยเหลือหญิงสาวที่ถูกอันธพาลไล่ล่าอยู่ จนลูแปงกับเธอตกลงจากหน้าผาสู่แม่น้ำเบื้องล่าง และก่อนที่เธอจะถูกจับตัวไป เธอทิ้งแหวนวงหนึ่งไว้ที่เขาขณะที่ลูแปงยังหมดสติอยู่ เมื่อฟื้นคืน เขารู้ได้ทันทีว่าเธอไม่ใช่หญิงสาวธรรมดา แต่เป็นเจ้าหญิงแห่งคากลิออสโทร ซึ่งกำลังจะต้องแต่งงานกับเคานต์แห่งคากลิออสโทรในอีกไม่กี่วันนี้ โดยการแต่งงานนี้เป็นเพียงหนทางสู่อำนาจที่ท่านเคานต์ต้องการ ลูแปงจึงประกาศกร้าวว่าจะขโมยเจ้าหญิงไปจากปราสาท
เบื้องหลังของท่านเคานต์นั้น นอกจากผลิตธนบัตรปลอมออกสู่ตลาดโลกแล้ว เขาก็ยังคิดจะฟื้นฟูสมบัติโบราณเพื่อครอบครองมันทั้งหมด และหนทางนั้นเองที่ทำให้เขาต้องทำทุกวิถีทางเพื่อแต่งงานกับเจ้าหญิง ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่คิดขวางทาง แต่นั่นดูจะไม่ใช่นิสัยของลูแปงสักเท่าไร
The Castle of Cagliostro ได้รับคำชมอย่างสูง แต่คนบางส่วนก็ไม่เห็นด้วยกับการพูดถึงลูแปงในฐานะวีรบุรุษกล้าหาญ ซึ่งขัดกับนิสัยพื้นเพของเขาที่ถูกจดจำในฐานะอาชญากร แต่ถ้าใครรู้จักลูแปง เราก็จะเห็นว่าเขาไม่ใช่คนที่โหดเหี้ยมขนาดนั้น แต่ถึงอย่างไรอาชญากรก็คืออาชญากร
Porco Rosso (1992)
Porco Rosso หรือ พอร์โค รอสโซ สลัดอากาศประจัญบาน ออกฉายในปี 1992 ผลงานภาพยนตร์อนิเมชัน ลำดับที่ 6 ของสตูดิโอจิบลิ เขียนบทและกำกับโดยฮายาโอะ มิยาซากิ ซึ่งเรื่องราวของพอร์โค รอสโซ ปรากฏตัวครั้งแรกในฐานะมังงะ พิมพ์ต่อเนื่อง 3 ตอน ลงในนิตยสาร Model Graphix และเดิมที Porco Rosso ถูกวางไว้ว่าจะเป็นภาพยนตร์สั้นที่ร่วมกับเจแปนแอนไลน์ในฐานะ ‘ภาพยนตร์ในเที่ยวบิน’ ความยาว 30-45 นาที แต่ต่อมามันก็กลายเป็นภาพยนตร์ขนาดยาว
ภาพยนตร์การ์ตูนเรื่องนี้นับเป็นผลงานที่มีความเป็นส่วนตัวของมิยาซากิอยู่มาก เนื่องจากมันสะท้อนให้เห็นความหลงใหลเกี่ยวกับเครื่องบินโบราณกับหมู และความแตกต่างจากผลงานก่อนๆ คือ ตัวละครเอกเรื่องนี้ไม่ได้เป็นเด็กผู้หญิง
พอร์โค รอสโซ อดีตทหารผ่านศึกชาวอิตาเลียน ผู้เคยเป็นเพียงชายหนุ่มธรรมดา แต่กลับโดนคำสาปให้กลายเป็นนักบินร่างหมูและมีใบหน้าแบบหมู หลังจากสิ้นสงครามโลกครั้งที่ 1 พอร์โค รอสโซก็ผันตัวจากการเป็นนักบินสู่สลัดอากาศรับจ้าง ล่ารางวัลด้วยการให้ความช่วยเหลือผู้คนที่โดนโจมตีจากโจรสลัดในแถบน่านน้ำ นี่เองที่ทำให้เขากลายเป็นคู่อาฆาตจากแก๊งโจรสลัด หัวหน้าแก๊งจึงทำข้อตกลงกับเคอร์ติส สลัดอากาศชาวอเมริกันฝีมือดี ให้ช่วยเหลือพวกเขาโจมตีพอร์โค รอสโซ
พอร์โค รอสโซ ถูกโจมตีระหว่างไปยังมิลาน เพื่อปรับปรุงเครื่องบินลำเก่ง เขาถูกยิงจนเครื่องบินตก และทุกคนก็เชื่อว่าเขาเสียชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนี้ แต่พอร์โค รอสโซ ก็เดินทางไปถึงจุดหมายได้ ที่นั่นเขาพบกับฟิโอ สาวน้อยวิศวกรมากความสามารถ ที่ทั้งออกแบบและซ่อมเครื่องบินได้ เธอฉลาด มุ่งมั่น และตรงไปตรงมา แล้วก็เป็นเธอนี่เองที่เป็นผู้ซ่อมเครื่องบินของเขา เมื่อเครื่องบินเสร็จสมบูรณ์ การต่อสู้ครั้งใหม่ก็เริ่มต้น ซึ่งไม่แน่ใจนักว่านี่จะเป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้ายของเขาหรือไม่
ในแง่หนึ่ง Porco Rosso เปรียบเสมือนใบเบิกทางให้กับ The Wind Rises ที่เต็มไปด้วยความหลงใหลต่อเครื่องบินของมิยาซากิ แต่ต่างกันตรงที่ The Wind Rises แสดงให้เห็นถึงความเป็นจริงที่รุนแรงของอุตสาหกรรมเครื่องบินในช่วงสงคราม ส่วน Porco Rosso นั้นเป็นเหมือนการ “ปลดปล่อย” ตัวละครจากข้อจำกัดต่างๆ และมันก็เต็มไปด้วยชีวิตชีวาในแบบของจิบลิ
Memories (1995)
Memories อนิเมะวิทยาศาสตร์ เป็นอีกงานที่เล่าในรูปแบบของ Anthology film ซึ่งเรื่องนี้มีคัตสึฮิโร โอโตโมะ มานั่งแท่นผู้อำนวยการผลิต และร่วมเขียนบทด้วย
เนื้อหาในภาพยนตร์แบ่งออกเป็นสามตอน ประกอบไปด้วย Magnetic Rose เรื่องของนักบินอวกาศสี่คน, Stink Bomb หนุ่มที่กินยาผิด จนตัวเองให้กลายเป็นอาวุธชีวภาพ และ Cannon Fodder เมืองที่อยู่ท่ามกลางดินปืนและสงครามตลอดเวลา
Magnetic Rose – นักบินอวกาศสี่คนได้รับสัญญาณ SOS จากสถานที่ที่เรียกว่าป่าช้าอวกาศ นักบินสองคนออกจากยานตัวเองเพื่อไปสำรวจซากยานอวกาศมหึมาอีกลำหนึ่ง เมื่อเข้าไป พวกเขาค้นพบว่าที่นี่เคยเป็นโรงละครโอเปร่ามาก่อน การตกแต่งภายในเป็นแบบยุโรป มีห้องพักหลายห้อง แต่ไม่พบร่องรอยของสิ่งมีชีวิต ยานอวกาศลำนี้เป็นของนักร้องโอเปร่าชื่อดังที่หายตัวไปหลังมีเหตุการณ์ฆาตกรรม พวกเขายังค้นหาแหล่งที่มาของสัญญาณต่อไป แต่ยิ่งหาก็ยิ่งพบกับเหตุการณ์แปลกประหลาดต่างๆ ทั้งเสียงและภาพลวงตา เป็นไปไม่ได้เลยที่มันจะเป็นผลจากสนามแม่เหล็ก ภาพหลอนเริ่มรุนแรงขึ้น และแล้วชีวิตพวกเขาก็ตกอยู่ในความยุ่งเหยิงที่ปลายทางอาจเป็นความตาย
Stink Bomb – เรื่องนี้มีพื้นฐานมาจากเหตุการณ์ของ กลอเรีย รามิเรซ ผู้ถูกขนานนามว่า ‘หญิงสาวผู้มีเลือดเป็นพิษ’ โดยในเรื่องนี้ ตัวละครเอกที่มีชื่อว่า ทานากะ ทำงานอยู่ในสถาบันที่คิดค้นยาตัวใหม่ๆ แล้วเขาก็ดันไปกินยาตัวใหม่ที่เพิ่งคิดค้น เพราะหวังว่ามันจะทำให้หายจากไข้หวัดเรื้อรัง แต่ความจริงยานี้เป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรมอาวุธชีวภาพ หลังจากกินยาแล้วหลับไป ทานากะตื่นมาพบว่าทุกคนในที่ทำงานเสียชีวิตไปหมดแล้ว โดยที่ไม่รู้ตัวว่าตนคือตัวการและกลายเป็นอาวุธทำลายล้างสูงเดินได้ กลิ่นของเขาฆ่าทุกอย่าง โดยที่หน้ากากแก๊สพิษก็ไม่สามารถป้องกันได้ ชีวิตผู้คนในเมืองกว่าสองแสนคนตายลง และทานากะก็เดินทางไปยังโตเกียวต่ออย่างคนไม่รู้อะไร
Cannon Fodder – เป็นการมองดูชีวิตของเด็กคนหนึ่ง ซึ่งอาศัยอยู่ในเมืองที่ล้อมรอบไปด้วยกำแพง และอาคารแทบจะทุกอาคารถูกสร้างเข้ากับปืนใหญ่ ปืนจะถูกยิงออกไปนอกกำแพงเมืองทุกวัน ทำให้เมืองนี้ปกคลุมไปด้วยกลุ่มควันและฝุ่นที่เป็นผลมาจากการยิงปืน แม้จะมีข่าวว่าการยิงปืนของพวกเขาในแต่ละวันประสบความสำเร็จ เมืองเคลื่อนที่ของศัตรูถูกทำลายลง แต่ก็ไม่เคยมีใครยืนยันได้ว่ามันเป็นเรื่องจริง หรือแม้แต่การรู้ว่ามีศัตรูอยู่จริงๆ ทุกวันของพวกเขาคือการใช้ชีวิตอยู่กลางสงคราม ไม่รู้ว่าเป็นสงครามจากรัฐ หรือสงครามจากศัตรูกันแน่
Kite (1998)
Kite เปิดตัวครั้งแรกในปี 1988 เขียนบทและกำกับโดยยาสุโอมิ อูเมทซึ มันเป็นอนิเมะที่เต็มไปด้วยภาพของความรุนแรงและเนื้อหาทางเพศที่ล่อแหลม ซึ่งทำให้ถูกห้ามเผยแพร่ในหลายๆ ประเทศ และมันยังได้รับการกล่าวขานอย่างกว้างขวางว่ามีอิทธิพลต่อภาพยนตร์เรื่อง Kill Bill: Vol.1 ด้วย
เรื่องราวของ Kite หมุนอยู่รอบตัวนักเรียนหญิงที่ชื่อว่า ซาวะ ซึ่งเป็นเด็กกำพร้า พ่อแม่ของเธอเป็นเหยื่อในคดีฆาตกรรม ซาวะจึงมีชีวิตอย่างโดดเดี่ยวนับจากนั้น แววตาของเธอไร้ประกายแห่งชีวิตไปแล้ว
ในตอนเปิดของเรื่อง ซาวะกำลังออกเดทกับชายคนหนึ่ง ขณะที่ทั้งคู่อยู่ในลิฟต์ พวกเขาถูกตำหนิจากหญิงชรา ทำให้ชายคนนั้นบันดาลโทสะและทำร้ายร่างกายหญิงชรา เมื่อซาวะเห็นดังนั้น เธอจึงสังหารเขาอย่างไม่ลังเล ภายนอกเธออาจจะดูไร้เดียงสา แต่อย่าได้หลงกล เพราะตอนนี้ซาวะคือนักฆ่าที่เลือดเย็น เธออยู่ภายใต้การดูแลของนักสืบ แต่ตลอดระยะเวลาในการเป็นผู้ปกครอง นักสืบอากาอิมีความสัมพันธ์ทางเพศกับเธอเสมอ
ต่อมาซาวะได้เจอเพื่อนนักฆ่าที่ชื่อ โอบุริ ซึ่งมีอายุใกล้เคียงกับเธอ ทั้งสองสานสัมพันธ์กันอย่างรวดเร็ว และด้วยความสัมพันธ์นี้ มันค่อยๆ ทำให้ซาวะมีภาวะอารมณ์ที่มั่นคงมากขึ้น
เมื่อเจอบุคคลประเภทเดียวกัน บอบช้ำคล้ายกัน อยู่ในสถานะเดียวกัน ก็เหมือนเป็นการรักษาบาดแผล เยียวยา และสมานให้หัวใจของซาวะอบอุ่นขึ้น รวมถึงการใฝ่ฝันถึงชีวิตที่ไม่ต้องอยู่ภายใต้เงามืดแบบนี้ ซาวะจึงเริ่มถอยห่างจากอากาอิ และไม่แน่ว่า นี่เองคงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เธอปลดปล่อยตัวเองจากวงจรอันเลวร้ายนี้ และกลับมามีชีวิตอีกครั้งหนึ่ง
นี่ไม่ใช่ภาพยนตร์การ์ตูนที่เหมาะกับเด็ก ไม่ว่าด้วยเนื้อหาหรือภาพ มันมีทั้งเลือด ปืน การฆาตกรรม การร่วมเพศอย่างโจ่งแจ้ง ในฉบับ uncut จะไม่มีการเซ็นเซอร์หรือตัดทอนใดๆ กว่า 50 นาทีนั้นเราจะได้เห็นทั้งความสะอิดสะเอียนและความรุนแรง เหตุการณ์นองเลือดนั้นเกิดอยู่แทบจะตลอดเวลา8
Tags: อนิเมะ, studio ghibli