“เก่งจังเลย”
“สุดยอดไปเลย”
คุณเช็กโซเชียลมีเดียแล้วเห็นแต่เสียงชม เห็นแต่คนเห็นด้วยกับคุณใช่ไหม คุณเข้าประชุมทีไรก็มีแต่คนพยักหน้าเออออตามคุณใช่ไหม นั่นแหละ คุณกำลังอยู่ใน Echo Chamber ตกอยู่ในภวังค์ของ ‘เสียงก้องในห้องแคบ’ โดยที่ไม่รู้ตัว
Echo Chambers เป็นปรากฏการณ์ที่คุณจะไม่ได้ยินเสียงอื่น เหมือนคุณอยู่ในห้องที่ปิดตาย ตะโกนอะไรก็สะท้อนกลับมาที่ตัวเอง เดิมเป็นศัพท์ด้านเสียงและสถาปัตยกรรม แต่ในทางสังคมศาสตร์และทางสื่อสารมวลชนถูกนำมาใช้ขึ้นมากเรื่อยๆ ในยุคที่โซเชียลมีเดียเฟื่องฟู และเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในยุคที่ ‘อัลกอริทึม’ มีบทบาทสูง คุณจะได้เห็นแต่สิ่งที่คุณสนใจอย่างเดียว ไม่ว่าจะ TikTok ไม่ว่าจะ Facebook
ประเด็นสำคัญ หลักใหญ่ใจความก็คือ การได้ยินแต่เสียงสะท้อนที่ตรงกับความเชื่อของเรา ก็ยิ่งทำให้มองโลกแคบลง ยิ่งนานวันเข้า ใครเข้ามาตั้งคำถาม วิพากษ์วิจารณ์ คุณก็จะเลือกที่จะมองข้าม หรือเลือกที่จะบล็อก เพื่อรับฟังแต่เสียงอวยอย่างเดียว
หากเป็นเรื่องในที่ทำงานยิ่งอันตราย เพราะแปลว่าสุดท้าย การตัดสินใจอะไรไป คุณจะคิดว่า ‘ตัวกู ถูกเสมอ’ ไม่ว่าการตัดสินใจนั้นจะเลวร้ายอย่างไร ถึงจุดหนึ่งทีมก็จะไม่กล้าโต้แย้ง ไม่กล้าแสดงความคิดเห็นเชิงลบ
เมื่อทีมไม่กล้าโต้แย้ง นั่นหมายความว่า คุณจะไม่ได้รับความคิดใหม่ๆ ใดๆ คุณจะเลือกอยู่เพียงในเซฟโซน และเมื่อคุณอยู่ในเซฟโซน คุณจะไม่รู้เลยว่างานคุณมีจุดบอดอะไร ไม่รู้ว่าทำอย่างไรให้งานพัฒนาขึ้น
และจะยิ่งร้ายไปกว่านั้น หากวันหนึ่งคุณเกิดรับทราบฟีดแบ็กเข้ามาทีเดียว สุดท้ายสิ่งนี้จะทำให้คุณ ‘ดาวน์’ อย่างหนัก จนเสียศูนย์
ครั้งหนึ่งอาณาจักร Blackberry เคยยิ่งใหญ่มาก เมื่อ 10 กว่าปีก่อน ใครเคยใช้ BB จะรู้สึกว่าแป้นพิมพ์ QWERTY นั้นคือทุกอย่าง เพราะเมื่อคุณกด มีน้ำหนักสัมผัส สามารถแชตได้ทันควัน สิ่งเหล่านี้อยู่กับคุณตลอดมา กระทั่งเมื่อ iPhone เปิดตัว Echo Chambers ใน Blackberry ทำให้ไม่มีใครเชื่อว่า มือถือไม่มีปุ่มกดจะเอาชนะมือถือที่มีคีย์บอร์ด และมีระบบแชตตัวเองได้
ผลลัพธ์เป็นอย่างที่เรารู้กัน
ฉะนั้นเรื่องใหญ่ที่เราอยากชวนเรียนรู้ก็คือ ทำอย่างไรถึงจะ ‘หลุดจากกะลา’
ข้อแรกคือ ‘เรียนรู้’ ในการจัดการกับอีโก้ตัวเอง ตั้งใจฟังเสียงฝั่งตรงข้าม ไม่ใช่เพื่อถกเถียง แต่เพื่อเข้าใจเหตุผล ไม่มีความคิดเห็นไหนที่ดีที่สุด ทุกความคิดเห็น ทุกข้อโต้แย้ง ทำให้คุณได้เห็นจุดบกพร่อง ทำให้ได้ปรับปรุงตัว แน่นอนว่าเสียงไม่เห็นด้วยจะทำให้งานที่ทำอยู่ดีขึ้นในครั้งต่อไป เพราะคุณได้ปิดจุดอ่อนที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์แล้ว
ข้อที่ 2 คือ หาคนที่กล้าวิจารณ์ ในภาษาอังกฤษมีสำนวนว่า Devil’s Advocate ซึ่งแปลว่า ‘ทนายของปีศาจ’ ไว้ข้างกาย ซึ่งจะคอยคัดค้าน-โต้แย้งเสมอ เรื่องพวกนี้จะทำให้คุณสอบทานตัวเองได้ตลอดเวลา เพื่อทดสอบความแข็งแรงของเหตุผลและข้อโต้แย้งว่า ฝ่ายตรงข้ามจะคิดอย่างไร เมื่อคุณแสดงความเห็นเหล่านี้ออกไป หากที่ทำงานมี ‘ทนายปีศาจ’ เหล่านี้มากๆ ก็ยิ่งทำให้งานที่ออกไปมีคุณภาพ
ภายใต้วัฒนธรรมที่การโต้แย้งเข้มแข็ง จะมีคนสักคนคอยพูดเสมอว่า “Let me play devil’s advocate here” หรือ “ขอผมลองแย้งในมุมตรงข้ามดูนะ” ซึ่งหากคุณตอบได้ ก็หมายความว่าหลักการพื้นฐานของคุณแข็งแรงพอ
มีทริกที่ฝรั่งแนะนำว่า ในทุกการประชุมที่ต้องการความเห็นต่าง ลองหาคนมาเล่นบท Devil’s Advocate สักคน หมุนเวียนกันไปเรื่อยๆ ก็จะทำให้เนื้อหา ผลลัพธ์ที่ได้จากการประชุมนั้นแข็งแรงขึ้น และคนที่ได้รับฟังเสียงวิจารณ์ก็จะไม่รู้สึกประดักประเดิด
ฉะนั้นหมั่นหาคนที่กล้าวิจารณ์ กล้าเล่นบททนายปีศาจ อยู่ข้างกายเสมอ จะมีประโยชน์กว่าฟังแต่พวกประจบสอพลอแน่นอน
ข้อสุดท้ายคือ ฝึก ‘ถ่อมตนทางปัญญา’ (Intellectual Humility) ผู้ยิ่งใหญ่หลายคนไม่ได้ยิ่งใหญ่เพราะอวดรู้ อวดฉลาด แต่ยิ่งใหญ่เพราะยอมรับว่าตัวเอง ‘รู้น้อย’
ความรู้น้อยทำให้ต้องยิ่งฝึกฝนหาความรู้ ต้องคุยกับคนที่หลากหลาย หลายสายอาชีพ ต่างความเชื่อ ต้องหาคำตอบมากกว่าชุดสำเร็จรูปที่มีเพียงหนึ่งเดียว และความรู้น้อยจะทำให้เราถ่อมตน มากกว่าที่จะประกาศกับใครหลายคนว่า “กูเก่งที่สุด”
การรับฟังเสียงต่าง ไม่ได้หมายถึงต้องยอมแพ้ หากคือการเก็บข้อมูลรอบด้าน เพื่อตัดสินใจได้อย่างแม่นยำมากกว่า ใช่ วันนี้โลกที่มีแต่เสียงสะท้อน อาจทำให้คุณรู้สึกสบาย แต่ก็ทำให้คุณเล็กลงโดยไม่รู้ตัว การเปิดรับเสียงที่ต่างออกไป อาจไม่ทำให้คุณถูกเสมอ แต่จะทำให้คุณ ‘โต’ เสมอ
Tags: Work Tips, Echo Chamber, อีโก้