ทุกสิ่งในโลกเปลี่ยนแปลงไม่หยุดนิ่งฉันใด คำในภาษาก็เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ฉันนั้น ทั้งในด้านเสียง (เช่น หมากม่วง กร่อนเหลือ มะม่วง) และรูปเขียน (เช่น ฅน เปลี่ยนมาเป็น คน) รวมไปถึงความหมายด้วย

ยิ่งคำไหนใช้กันมายาวนาน คำนั้นก็ยิ่งโอกาสผ่านการเปลี่ยนแปลงเยอะกว่าคำอื่น และบางคำผ่านการเปลี่ยนแปลงหลายตลบจนถึงขั้นที่เราไม่รู้เลยว่าคำนั้นมีความหมายดั้งเดิมที่ต่างจากความหมายในปัจจุบันอย่างมาก

สัปดาห์นี้ Word Odyssey ขอจะพาไปสำรวจคำ 5 คำที่ดูจากความหมายในปัจจุบันแล้วไม่น่าจะมีความสัมพันธ์เกี่ยวดองอะไรกันได้ แต่หากย้อนกลับไปดูความหมายแรกเริ่มที่ปรากฏในภาษาอังกฤษแล้ว จะพบว่าต่างก็มีจุดร่วม คือเคยมีความหมายเกี่ยวข้องกับการแต่งงานมาก่อนทั้ง 5 คำ

Insurance

คำว่า insure ที่เป็นไส้ในของคำนี้แท้จริงแต่ก่อนเคยเป็นวิธีสะกดอีกแบบของคำว่า ensure ซึ่งประกอบขึ้นจากส่วนเติมหน้า en- แปลว่า ทำให้ รวมกับ sure ที่แปลว่า มั่นใจ เกิดเป็นความหมายว่า ทำให้มั่นใจ

ที่น่าสนใจก็คือ ความหมายแรกของคำว่า insurance ที่ปรากฏในภาษาอังกฤษ คือการหมั้นหมาย ซึ่งจริงๆ ก็เป็นการให้คำสัญญาให้มั่นใจในรูปแบบหนึ่ง ทำนองว่าแต่งแน่จ้ะพี่จ๋า กว่าความหมายจะเริ่มย้ายไปสู่โลกธุรกิจกลายมาเป็นการประกันว่าจะให้เงินชดเชยเมื่อเกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินหรือชีวิตแบบที่เรารู้จักกันในทุกวันอย่างในคำว่า life insurance ก็ราวศตวรรษที่ 17 แล้ว (ซึ่งแต่เดิม การประกันแบบนี้ใช้คำว่า assurance)

Alliance

คำนี้เป็นคำนามของ ally ประกอบขึ้นจากส่วนเติมหน้า  ad- ที่แปลว่า ไปยัง รวมกับกริยา ligare ในภาษาละตินที่แปลว่า ผูก (แบบที่เจอในคำว่า religion) จึงได้ความหมายว่า ผูกรวมกัน มัดรวมกันเป็นกลุ่มก้อน รวมตัวกัน

คำนี้ตอนที่เริ่มปรากฏในภาษาอังกฤษแรกๆ ไม่ได้แปลว่า พันธมิตร อย่างในปัจจุบัน แต่หมายถึง การดองกันด้วยการแต่งงาน (ขอให้จินตนาการเจ้าเมืองในอดีตสานสัมพันธ์หรือสร้างพันธมิตรกับอีกเมืองด้วยการจับลูกสาวลูกชายของตนให้ได้แต่งงานกับลูกของเมือง จะได้ถือเป็นครอบครัวเดียวกัน)

แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็เริ่มความหมายใหม่งอกขึ้นมาด้วย คือการรวมตัวกันเป็นพันธมิตร โดยเฉพาะระหว่างรัฐหรือประเทศ เช่น Austro-German Alliance หรือพันธมิตรระหว่างออสเตรียฮังการีกับเยอรมนีในศตวรรษที่ 19 เป็นต้น หรือจริงๆ จะเป็นการรวมตัวแนวเล่นพรรคเล่นพวกก็ได้ เช่น หากผู้เข้าแข่งขันรายการ Survivor ตกลงกันว่าต่างฝ่ายต่างจะช่วยคุ้มครองกันและกัน แบบนี้ก็อาจจะพูดว่า They’ve formed an alliance.

Affinity

คำนี้สืบสาวกลับไปได้ถึงคำว่า affinis ในภาษาละติน ประกอบขึ้นจากส่วนเติมหน้า ad- ที่แปลว่า ไปยัง รวมกับคำว่า finis ในภาษาละตินที่หมายถึง ขอบเขต เส้นแดน ได้ความหมายว่า อยู่ติดกัน แนบกัน เป็นเพื่อนบ้านกัน และยังมีความหมายรวมไปถึงการเกี่ยวดองกันด้วยการแต่งงานด้วย (ทำนองว่าเมื่อแต่งงานแล้ว ทั้งสองฝ่ายก็จะมีความสัมพันธ์แนบชิดติดกัน)

ตอนแรกที่เข้ามาในภาษาอังกฤษ คำว่า affinity นี้ก็มีความหมายว่า การเกี่ยวดองกันด้วยการแต่งงาน เช่นเดียวกับในภาษาละติน (ทุกวันนี้ก็ยังใช้ในความหมายนี้ได้ แต่พบน้อยมาก) แต่ในเวลาต่อมาก็เริ่มมีความหมายใหม่ๆ เพิ่มขึ้นมา ความหมายที่เราน่าจะคุ้นชินหน่อยก็ได้แก่ ความคล้ายคลึง ซึ่งในที่นี้หมายถึงคล้ายเพราะ 2 สิ่งนั้นมีความสัมพันธ์ใกล้ชิด เช่น a close affinity between Spanish and Portuguese หมายถึง ความคล้ายคลึงอย่างมากระหว่างภาษาสเปนกับโปรตุเกส อีกความหมายหนึ่งที่เราน่าจะเคยพบเจอก็คือ ความชื่นชอบสิ่งๆ หนึ่ง รู้สึกมีแรงดึงดูดเข้าหาสิ่งๆ นั้น เช่น He has a special affinity to nature. ก็คือ เป็นคนที่ชื่นชอบธรรมชาติ

Disparage

คำนี้ประกอบขึ้นจากส่วนเติมหน้า dis- ที่ให้ความหมายปฏิเสธ มารวมกับ parage ที่แปลว่า ศักดิ์ สถานะ (มาจาก par ในภาษาละตินที่แปลว่า เท่ากัน แบบที่เราเจอในสำนวน on par) ได้ความหมายรวมว่า ทำให้ศักดิ์ลดลง ทำให้สถานะตกต่ำลง

เดิมทีคำนี้เคยหมายถึง แต่งงานกับคนที่มีศักดิ์หรือสถานะต่ำกว่า เช่น ในกรณีที่คนที่มีเชื้อเจ้าไปแต่งงานกับชาวบ้านไม่มีหัวนอนปลายเท้า เป็นต้น แต่ในเวลาต่อมา ความหมายของคำนี้ขยายกว้างขึ้นไปหมายถึงการทำให้สถานะลดลงหรือทำให้เสื่อมเกียรติเฉยๆ ไม่ได้เจาะจงว่าต้องเกิดจากการแต่งงานกับคนที่สถานะต่ำกว่าตนเอง จนในที่สุดก็มาหมายถึง การพูดจาว่ากล่าวดูถูก อย่างในปัจจุบัน เช่น Only insecure people disparage other people’s achievements. ก็คือ มีแต่คนไม่มั่นใจในความสามารถตนเองเท่านั้นที่เที่ยวไปดูแคลนความสำเร็จของผู้อื่น หรือ The washed-up comedian made disparaging comments about the new governor. ก็จะหมายถึง อดีตดาราตลกชื่อดังพูดจาดูแคลนผู้ว่าคนใหม่

Repulsion

คำนี้เป็นคำนามของ repel มาจากส่วนเติมหน้า re- ที่แปลว่า ไปด้านหลัง รวมกับกริยา pellere ในภาษาละตินที่แปลว่า ผลัก เกิดเป็นความหมายรวมว่า ผลักไสออกไป ปัดออกไป ปฏิเสธ (แบบ Like poles repel each other. ก็คือแม่เหล็กขั้วเดียวกันจะผลักกัน)

คำว่า repulsion นี้ แต่เดิมก็หมายถึงการผลัก แต่เป็นการผลักคุณภรรยาออกไปจากการแต่งงานโดยคุณสามี หรือเรียกง่ายๆ ว่า หย่า นั่นเอง (ด้วยความชายเป็นใหญ่ในสังคมสมัยนั้น คำนี้จึงหมายถึงฝ่ายชายขอหย่าฝ่ายหญิงแต่เพียงอย่างเดียว) 

ต่อมาในภายหลัง คำนี้จึงค่อยๆ เปลี่ยนไปหมายถึงการขับออก เช่น หากเครื่องบินเพื่อนบ้านบินล้ำเข้ามาในน่านฟ้าประเทศไทยแล้วทางกองทัพอากาศนำเครื่องบินออกมาขับไล่ออกจากน่านฟ้าไทย เราก็อาจจะได้เห็น a successful repulsion of foreign aircraft (แต่เหตุการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นอะเนอะ) นอกจากนั้น คำนี้ยังงอกความหมายใหม่ขึ้นมาด้วยในเวลาต่อมา หมายถึง ความรังเกียจ ความขยะแขยง (ทำนองว่าเมื่อเราเห็นสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกขยะแขยง เราก็จะผละหนีจากสิ่งนั้น) เช่น He looked at the judge with repulsion. ก็คือมองผู้พิพากษาด้วยความขยะแขยง

 

บรรณานุกรม

http://oed.com/ 

American Heritage Dictionary of the English Language

Ayto, John. Word Origin: The Hidden Histories of English Words from A to Z. 2nd ed. A&C Black: London, 2008.

Hanks, Patrick., Kate Hardcastle, and Flavia Hodges. Oxford Dictionary of First Names. OUP: New York, 2006.

Merriam-Webster Dictionary

Oxford Advanced Learners’ Dictionary

Shorter Oxford English Dictionary

The Merriam-Webster New Book of Word Histories. Merriam-Webster, 1991.

Tags: , , , , , ,