เราอาจเคยได้ยินคำกล่าวว่า ‘ถ้ารอพร้อม คงไม่มีวันได้เริ่ม’ รวมถึงแนวคิดคล้ายๆ กันอย่าง ‘Just Do It’ สโลแกนดังจากแบรนด์ไนกี้ (Nike) ทั้งหมดล้วนเป็นวิธีคิดในการปลุกใจ ให้เริ่มลงมือทำอะไรสักอย่าง โดยไม่ตั้งเงื่อนไขไปเสียก่อน

ทว่าในความเป็นจริงแล้วต้องยอมรับว่า มีหลายเรื่องที่ต้องรอให้พร้อมก่อนจริงๆ ถึงจะทำได้ เช่นความพร้อมทางการเงิน ที่ในหลายสิ่งที่อยากทำ หากฝันไกลแต่เงินในกระเป๋าไม่เอื้อก็เท่านั้น จึงทำให้วิธีคิดประเภท ‘ลงมือทำซะ’ ไม่อาจนำไปใช้ได้กับทุกเรื่อง 

แต่ถึงอย่างนั้น เราก็สามารถที่จะปรับทั้งเป้าหมายรวมถึงวิธีการ เพื่อให้ได้เริ่มทำสิ่งที่ใจต้องการเสียทีแม้จะยังไม่พร้อมเต็มที่ก็ตาม

สำหรับวิธีการนั้น อันดับแรกต้องทำความเข้าใจถึงต้นตอปัญหาที่เกิดขึ้นก่อนว่า คนที่ต้องรอตัวเองให้พร้อมทุกอย่างก่อน ไม่ใช่เพราะผัดวันประกันพรุ่ง หากแต่เป็นพวกนิยมความสมบูรณ์แบบ (Perfectionist) ที่สุดท้ายก็อาจนำไปสู่นิสัยผัดวันประกันพรุ่งอยู่ดี

ในบทความ Anxiety on Campus บอกเล่าเรื่องที่นักเรียนต้องรู้ในการจัดการความวิตกกังวลว่า คนที่นิยมความสมบูรณ์แบบมักพยายามหลีกเลี่ยงความล้มเหลวและความรู้สึกในทางลบ ซึ่งอาจปรากฏออกมาในรูปแบบของการหลีกเลี่ยงการตัดสินใจ เพราะกลัวจะตัดสินใจพลาด การยอมแพ้อะไรง่ายๆ เพราะความพ่ายแพ้จะทำให้ตนเองรู้สึกว่าไม่ปลอดภัย และรวมถึงการผัดวันประกันพรุ่ง ชะลอวันเวลาในการเริ่มงานหรือทำบางสิ่งออกไป ใช้เวลาเตรียมตัวมากกว่าทำงานจริง เพราะกลัวความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น แบบพฤติกรรมที่ต้องรอให้ทุกอย่างพร้อมจึงจะเริ่มทำบางอย่างได้นั่นเอง

ผลของการกลัวความล้มเหลวหรือต้องรอความสมบูรณ์แบบ รอให้พร้อมไปเสียหมดเช่นนี้ นอกจากจะทำให้ต้องปล่อยหลายโอกาสหลุดลอยไป จนพลาดการเรียนรู้เรื่องราวเพื่อเพิ่มประสบการณ์แล้ว พฤติกรรมนี้ยังมีผลต่อสภาพจิตใจอีกด้วย อีกทั้งงานวิจัยด้านจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัย Ivane Javakhishvili Tbilisi State ประเทศจอร์เจีย เผยว่า คนที่นิยมความสมบูรณ์แบบจำนวนมากมีแนวโน้มที่จะมีความพึงพอใจในชีวิตของตนเองต่ำ และมีอัตราความเครียดที่สูงกว่า 

แล้วแบบนี้ เราจะปรับตัวและเปลี่ยนวิธีคิดให้กลายเป็น ‘ทำก่อน ไม่ต้องรอพร้อม’ ได้อย่างไรบ้าง

1.เลือกมองภาพใหญ่มากกว่าสนใจรายละเอียด

ความละเอียดรอบคอบเป็นเรื่องที่ดี แต่หลายครั้งมาตรฐานของความพึงพอใจที่สูงลิ่วก็อาจทำให้เหนื่อยกาย เหนื่อยใจ สูญเวลาไป หรือแม้แต่ได้ผลลัพธ์ที่ไม่ดีเหมือนที่หวัง แทนที่จะมองแต่ความสมบูรณ์ของเรา ใช้เวลามากมายกับการเตรียมตัวจนไม่ได้ลงมือทำเสียที ให้มองไปที่ผลลัพธ์จะดีกว่า เพราะงานที่ดีคืองานที่เสร็จ ไม่ใช่งานที่เพอร์เฟกต์แต่ส่งไม่ทัน

2.ปรับเปลี่ยนมาตรฐานที่สูงเกินจริง

ฝันให้ไกล ต้องไปให้ถึง แต่ถ้าฝันแล้วไม่ได้ทำเสียที หรือจุดที่ฝันมันเกินความจริงไปมาก หรือส่งผลเสียต่อกายใจ เช่นความตั้งใจที่จะลดน้ำหนัก 10 กิโลให้ได้ภายใน 1 เดือน สุดท้ายเป้าหมายที่สูงนี้ก็อาจทำให้คุณล้มเลิกความพยายามได้ง่ายๆ ดังนั้น การปรับเป้าหมายให้สมจริง ไม่ใช่การลดมาตรฐานของตัวเองลง แต่เป็นการทำให้เราได้ทำมันจริงๆ อย่างต่อเนื่องเสียที

3.ดูที่ความคืบหน้า แม้ยังไปไม่ถึงเป้าหมาย

เมื่อวานผ่านพ้นไปแล้ว วันพรุ่งนี้ยังไม่มาถึง ปัจจุบันตรงหน้าต่างหากที่เป็นของจริง ขณะที่เราพยายามอย่างหนักในการที่จะดูสมบูรณ์แบบ และมุ่งความสนใจไปที่ความสำเร็จรูปแบบเดียว กว่าจะถึงวันที่พร้อมเต็มที่ก็อาจรู้สึกบั่นทอนเสียจนหมดกำลังใจ การเรียนรู้ตัวเองระหว่างทาง ขอบคุณตัวเองที่อย่างน้อยก็ได้ลงมือทำ และตั้งเป้าหมายแบบเล็กๆ ค่อยเป็นค่อยไป น่าจะดีต่อทั้งสุขภาพจิตและผลงานมากกว่า

จริงๆ แล้วยังมีวิธีอีกมากมายที่อิงอยู่กับความคิดว่าทำไปก่อน แล้วค่อยรอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นตามมา ซึ่งไม่ว่าจะวิธีใดก็ขึ้นอยู่กับการปรับใช้ที่เหมาะสมกับแนวทางของตัวเอง เพราะชีวิตคนเรามีเท่านี้ และเวลาก็เดินผ่านไปทุกวัน หากมีโอกาสทำอะไรย่อมดีกว่าหากว่าตัดสินใจทำได้ไว แม้จะพบกับความล้มเหลวหรือสุดท้ายไม่สามารถทำตามเป้าหมายได้ แต่ก็จะได้เรียนรู้และเป็นประสบการณ์ต่อไปอยู่ดี ขอแค่ให้ได้เริ่มทำเสียก่อน

Tags: , , , ,