สารที่คนรุ่นเก่าบอกกับคนรุ่นใหม่คือ ชาตินี้เราคงรักกันไม่ได้

คุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นนักการเมืองซึ่งเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงที่สุดในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา และพรรคอนาคตใหม่ก็เป็นพรรคซึ่งร้อนแรงที่สุดในยุคสมัยนี้ด้วย คุณธนาธรเป็นหัวหน้าพรรคคนแรกที่ตั้งพรรคใหม่แล้วได้ ส.ส. ในการเลือกตั้งครั้งแรกมากขนาดนี้ ทั้งที่ไม่ได้ใช้หัวคะแนนหรืออดีต ส.ส. แม้แต่คนเดียว

คนไม่น้อยชอบเทียบคุณทักษิณ ชินวัตร กับคุณธนาธร แต่ที่จริงผลงานคุณธนาธรด้านนี้เหนือชั้นกว่าคุณทักษิณเยอะ เพราะถึงแม้ทั้งคู่จะทำพรรคใหม่แล้วได้ ส.ส. ในการเลือกตั้งครั้งแรกท่วมท้นเหมือนกัน แต่คุณทักษิณก็เคยเป็นหัวหน้าพรรคพลังธรรมก่อนจะมาตั้งพรรคไทยรักไทย โดยดึง ส.ส. จากพรรคต่างๆ มารวมกับคนใหม่ๆ อีกที

ด้วยกำเนิดของพรรคอนาคตใหม่ที่มาจากหัวหน้าพรรคซึ่งไม่เคยทำพรรคไหนมาเลย ช่วงแรกพรรคจึงถูกมองว่าเป็น “พรรคทางเลือก” หรือ “พรรคเอ็นจีโอ” จนคนจำนวนมากเชื่อว่า ได้ ส.ส.สักคนก็บุญแล้ว ย่างก้าวของพรรคอนาคตใหม่ที่มาไกลจากจุดเริ่มต้นมหาศาลจึงสะท้อนความสำเร็จที่เป็นประวัติศาสตร์โดยตัวเอง

ถ้าความยิ่งใหญ่ของพรรคไทยรักไทยคือการพิสูจน์ว่านักการเมืองชนะเลือกตั้งได้โดยไม่ต้องพึ่งระบบราชการ ความยิ่งใหญ่ของพรรคอนาคตใหม่ก็คือบทพิสูจน์ว่า พรรคการเมืองประสบความสำเร็จโดยไม่ใช้นักการเมืองหน้าเก่าเลยก็ได้

ในกรณีพรรคไทยรักไทย ชัยชนะของพรรคเกิดขึ้นเพราะพรรคสะท้อนสำนึกใหม่ในทศวรรษ 2540 ที่ไม่ต้องการให้ประเทศอยู่ใต้อิทธิพลระบบราชการ ความต้องการเปลี่ยนประเทศเป็นแรงส่งให้คุณทักษิณผู้เป็นนักธุรกิจที่ “โลกาภิวัตน์” และ “อินเตอร์” ที่สุดในยุค และกลายเป็นความหวังทางการเมืองของคนส่วนใหญ่สังคม

ในยุคที่นายกฯ มีภูมิหลังเป็นพลเอกหรือนักการเมืองแนวกวาดต้อน ส.ส. จนเน้นสร้างภาพผ่านสายสะพาย คุณทักษิณนำเสนอตัวเองในภาพสูทดำแบบซีอีโอที่มองสู่อนาคต สารที่คุณทักษิณสื่อกับประชาชนคือ ประเทศนี้ต้องเปลี่ยน คนหน้าเก่าสร้างความเปลี่ยนแปลงไม่ได้ และคุณทักษิณคือหนทางสู่ชีวิตที่ดี

สำหรับพรรคอนาคตใหม่นั้น ชัยชนะของพรรคเกิดเพราะพรรคสะท้อนสำนึกใหม่ในทศวรรษ 2560 ที่ไม่ต้องการเห็นประเทศอยู่ภายใต้เผด็จการทหาร ซึ่งเอาแต่ตั้งปลัดเป็นรัฐมนตรี และขณะเดียวกัน ก็เอือมระอาพรรคการเมืองที่ทำให้ประเทศเดินหน้าไม่ได้ หรือพูดง่ายๆ คือ เบื่อข้าราชการและนักการเมืองหน้าเดิมๆ

ตรงข้ามกับคุณทักษิณที่ใส่สูทเพื่อสื่อความเป็นผู้นำที่ต่างจากชนชั้นสายสะพาย คุณธนาธรถอดสูทในยุคที่แม้แต่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคสช. ยังใส่สูทล้างภาพนายพลเผด็จการให้สิ้นซาก ภาพคุณธนาธรในเสื้อยืดกับเชิ้ตขาวราคาหลักร้อยสื่อความเป็นคนทำงานที่ติดดินเหมือนคนส่วนใหญ่ แต่ไม่เป็นพวกเดียวกับใครเลย

ความสำเร็จของพรรคไทยรักไทยและพรรคอนาคตใหม่เกิดจากความตระหนักว่าสังคมเปลี่ยน จนมีจำนวนมากที่ไม่พอใจความ “ล้าสมัย” ของผู้มีอำนาจในสังคม ทั้งสองพรรคจึงเป็นเสมือน “คนแปลกหน้า” ที่โผล่เข้ามาในระบบการเมืองซึ่งเต็มไปด้วยสายสัมพันธ์เก่าๆ ในระดับบุคคลและสถาบันซึ่งอุปถัมภ์ค้ำจุนกันมานาน

แผนสกัดธนาธรเข้าสภา

ขณะที่พรรคไทยรักไทยอยู่ในระบบการเมืองนานจนผ่านการเลือกตั้งสองครั้ง กว่าจะถูกชนชั้นนำผ่านกลุ่มตัวแทนอย่างกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยต่อต้านในปี 2548 พรรคอนาคตใหม่กลับโดนต่อต้านตั้งแต่ก่อนเลือกตั้ง และยิ่งรุนแรงขึ้นหลังผลเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการออกมาว่ามีคนเลือกพรรคมากกว่าหกล้านเสียง

สิ่งที่ตามมาคือตอนนี้ รัฐบาลทหารและผู้มีอิทธิพลทางความคิดกับคนรุ่นเก่าโจมตีด้วยข้อหาระดับคอขาดบาดตาย

พรรคไทยรักไทยและพรรคอนาคตใหม่โดนแรงต้านจากผู้มีอำนาจหน้าเก่าๆ ซึ่งมองพลังใหม่เป็น “สิ่งแปลกปลอม” แต่ด้วยเหตุที่พรรคไทยรักไทยมีส่วนผสมจากนักการเมือง ซึ่งพอจะคุ้นเคยกับชนชั้นนำดั้งเดิม พรรคจึงไม่ถูกมองเป็น “คนนอก” มากนัก เมื่อเทียบกับพรรคอนาคตใหม่ที่สร้างพรรคด้วยคนที่แทบไม่มี “คอนเนคชั่น” กับใครเลย

คนสำคัญของพรรคไทยรักไทยเคยพูดว่า ในช่วงที่พรรครุ่งเรืองจนมีคนเลือกราว 16 ล้าน “อำนาจ” ที่ผู้มีอิทธิพลยอมให้พรรคใช้บริหารประเทศจริงๆ กลับมีแค่ 60% ก่อนจะลดลงมาจนแทบไม่มีเลยเมื่อผู้มีบารมีแสดงตัวเป็นฝ่ายตรงข้ามอย่างเต็มที่ในปี 2549 แต่อย่างน้อย พรรคไทยรักไทยก็ไม่ถึงขั้นถูกต่อต้านทันทีที่ผลเลือกตั้งออกมา

พรรคอนาคตใหม่มีชะตากรรมต่างจากพรรคไทยรักไทย เพราะนอกจากช่วงก่อนและหลังเลือกตั้งจะถูกโจมตีหรือดำเนินคดีด้วยข้อหาร้ายแรงเรื่องสถาบันกษัตริย์ หมิ่นศาล จนถึงยุยงปลุกปั่น ความพยายามขยายผลให้คดีนำไปสู่การยุบพรรคหรือเพิกถอนการเป็น ส.ส. จากหัวหน้าพรรคจนถึงผู้สมัครฯ ก็เกิดขึ้นอย่างกว้างขวางหลังวันที่ 24 มีนาคม 2562 พรรคอนาคตใหม่เผชิญสถานการณ์ที่คนบางกลุ่มกำลังทำทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้ธนาธรเข้าสภา ส่วนว่าที่ ส.ส. ก็ตกเป็นเป้าของการหาช่องทางกฎหมายเพื่อขยายผลสู่การเพิกถอนผลเลือกตั้งให้มากที่สุด ไม่ว่าจะโดยการโฆษณาชวนเชื่อ ปลุกม็อบจัดตั้ง ยื่นคำร้อง กกต. และศาล

ไม่มีใครพูดได้ว่า ต้นเหตุของแผนสกัดธนาธรไม่ให้เป็นผู้แทนราษฎรมาจากอะไร แต่ที่พูดได้แน่ๆ คือแผนการนี้ทำให้เกิดความขัดแย้งทางการเมืองที่ผิดปกติ เพราะรัฐธรรมนูญที่อำนวยการผลิตโดย คสช. ระบุว่า หลังการประกาศรายชื่อ ส.ส. อย่างเป็นทางการร้อยละ 95 ต้องเปิดประชุมสภาภายใน 15 วัน ตามกำหนดการ กกต.จะประกาศรายชื่อ ส.ส. อย่างเป็นทางการในวันที่ 8 พ.ค. สภาจึงต้องเปิดก่อนวันที่ 23 พ.ค. เท่านั้น นั่นหมายความว่ากระบวนการขจัดไม่ให้ธนาธรเข้าสภาต้องเสร็จสิ้นก่อนที่ กกต. จะประกาศรายชื่อ ส.ส. หรืออย่างช้าที่สุดก็ไม่เกินวันเปิดประชุมสภาจริงๆ

สำหรับฝ่ายที่ต้องการกำจัดธนาธรจากระบบการเมือง การปล่อยให้ธนาธรเข้าสภาคือการเปิดโอกาสให้ธนาธรมีบทบาทในสถาบันการเมืองจนอาจมีอิทธิพลต่อสังคมยิ่งขึ้นในอนาคต ยิ่งกว่านั้น ส.ส. ราว 1 ใน 6 สังกัดพรรคอนาคตใหม่ จนหัวหน้าพรรคอาจมีตำแหน่งหรืออยู่ในสถานะที่ทำอะไรซึ่งฝ่ายต่อต้านไม่พอใจ

แม้จะพูดยากว่าผู้เกี่ยวข้องกับเหตุนี้โดยตรงเป็นใคร แต่คนที่ได้ประโยชน์จากเรื่องนี้มีมหาศาล ตั้งแต่ผู้ที่อยากเป็นนายกฯ ในปัจจุบันและอนาคต พรรคฝ่ายตรงข้าม เครือข่ายที่อยากให้พวกตัวเองมีอำนาจต่อ นายพลที่รังเกียจนโยบายลดขนาดกองทัพ ฯลฯ รวมทั้งคนที่เห็นธนาธรเป็นหัวโจกของความเปลี่ยนแปลง

การทำให้ธนาธรไม่ได้เข้าสภาเป็นเรื่องที่ “ชนชั้นนำ” สมประโยชน์หลายฝ่าย เพราะหากเรื่องนี้นำไปสู่การตัดสิทธิธนาธร ทุกคนที่อยากเป็นนายกฯ ย่อมมีคู่แข่งที่น่ากลัวน้อยลงไปด้วย และถ้าทำลายพรรคอนาคตใหม่ซึ่งลงเลือกตั้งครั้งแรกก็ได้ที่สามสำเร็จ โอกาสที่พรรคอันดับใกล้เคียงจะเติบใหญ่ก็มากขึ้นโดยปริยาย

ต่อให้ไม่มีใครซื่อพอที่จะยอมรับออกมาตรงๆ โดยพื้นฐานแล้ว ทุกคนรู้ว่าการสกัดธนาธรเป็นเรื่องการเมืองทั้งสิ้น ปริศนาก็คือมาตรการทางกฎหมายข้อใดจะถูกใช้เพื่อบรรลุเป้าหมายข้อนี้ รวมทั้งเรื่องทั้งหมดนี้จะเกิดก่อนประกาศรายชื่อ ส.ส.หรือวันเปิดประชุมสภา

ทางด่วนสู่การสกัดธนาธรที่ง่ายที่สุดคือข้อกล่าวหาเรื่องโอนหุ้นบริษัทนิตยสารหลังสมัคร ส.ส. อย่างที่รู้กัน อดีต กกต. ที่เคยเป็นผู้พิพากษาอย่างคุณสดศรีถึงกับบอกว่าธนาธรเหมือนโดนใบส้มครึ่งใบแล้ว พูดแบบบ้านๆ คือธนาธรไม่ได้เข้าสภาแน่ แม้ทีมกฎหมายพรรคอนาคตใหม่จะชี้ว่า กกต. ไม่มีอำนาจวินิจฉัยเรื่องนี้ก็ตาม

ในมุมมองของพรรคอนาคตใหม่ อำนาจเพิกถอนการเป็น ส.ส. ช่วงหลังเลือกตั้งเป็นของศาลรัฐธรรมนูญ แต่การใช้อำนาจนี้จะทำได้เฉพาะในกรณีที่เกิดการเลือกตั้งที่ทุจริตหรือไม่เที่ยงธรรม ส่วนข้อกล่าวหาธนาธรที่โดยเนื้อแท้แล้วคือเรื่อง “คุณสมบัติ” ที่ต้องพิจารณาตั้งแต่ต้นนั้น กกต. เองก็ไม่มีอำนาจเพิกถอน ส.ส. ในขั้นตอนนี้แล้ว และการตัดสิทธิ ส.ส. ที่ไม่ได้โกงเลือกตั้งน้้นทำไม่ได้ ผู้กระทำการเช่นนี้จึงต้องมีต้นทุนด้านความยอมรับนับถือ (Legitimacy Claim) สูงมาก หรือไม่ก็คือใช้อำนาจเป็นใหญ่ไปเลย

ผู้เลือกพรรคอนาคตใหม่ย่อมไม่พอใจถ้าธนาธรไม่ได้เข้าสภา และในเงื่อนไขที่การตัดสิทธิทำไปอย่างเร่งรีบผิดปกติ คนกลุ่มนี้อาจรู้สึกว่าธนาธรถูกกระทำโดยวิธีพิจารณาที่มีปัญหา ตั้งแต่ระดับของข้อเท็จจริง กระบวนการ และองค์ประกอบทางกฎหมาย ซึ่งย่อมทำให้เกิดการใช้กฎหมายอย่างไร้เหตุผล (Legal Irrationality)

ผลทางกฎหมายที่ไร้เหตุผล

ไม่มีใครรู้ว่าผู้เลือกพรรคอนาคตใหม่จะมีปฏิกริยาต่อความไร้เหตุผลทางกฎหมาย ซึ่งสร้างผลทางกฎหมายที่ไร้เหตุผลอย่างไร แต่การเร่งสกัดธนาธรตามธงการเมืองย่อมทำให้คนไม่น้อยรู้สึกว่า “คนหน้าใหม่” ถูกไล่ล่าโดย “คนรุ่นเก่า” ในกองทัพ องค์กรอิสระ พรรคการเมือง ฯลฯ ซึ่งทั้งหมดเป็นเครือข่ายเดียวกัน

ด้วยเหตุดังนี้ การสกัดธนาธรไม่ให้เข้าสภามีผลให้เกิดความขัดแย้งใหม่ระหว่าง “คนรุ่นใหม่” กับ “คนรุ่นเก่า” ขณะเดียวกัน ก็ดึงคนทุกรุ่นที่เลือกพรรคอนาคตใหม่ให้เผชิญหน้ากับ “เครือข่าย” ที่พวกเขาเชื่อว่าเกี่ยวกับเรื่องนี้ทางตรงและทางอ้อม ต่อให้พรรคจะกำเนิดโดยมุ่งพาประเทศออกจากความขัดแย้งเดิมๆ ก็ตาม

ถ้ายอมรับว่าฝ่ายต้านธนาธรเป็นพวกเดียวกับฝ่ายต้านทักษิณและฝ่ายต้านประชาธิปไตย คนกลุ่มนี้คงไม่เห็นว่าความขัดแย้งกับผู้เลือกพรรคอนาคตใหม่หกล้านกว่าๆ มีความหมายนัก เพราะในเมื่อพรรคไทยรักไทยและพรรคพลังประชาชนที่มีคนเลือกสิบหกล้านยังโดนยุบได้ ทำไมต้องกังวลพรรคอนาคตใหม่ที่เล็กกว่าพรรคคู่นี้สองเท่าตัว

ขณะที่โลกทางการเมืองในความรับรู้ของฝ่ายต้านธนาธรเห็นว่า ผู้สนับสนุนพรรคอนาคตใหม่เป็นเสื้อแดง, สมุนทักษิณ, ซ้ายจัดดัดจริต หรือพวกคลั่งประชาธิปไตย ชัยชนะของพรรคอนาคตใหม่ที่เริ่มต้นจากศูนย์คือหลักฐานว่า พรรคเป็นตัวแทนของพลังใหม่ ซึ่งมีทั้งด้านที่เหมือนและต่างจากที่ฝ่ายต้านธนาธรคิด

ในแง่ประเด็น มวลชนของธนาธรคือคนที่มีความคิดใหม่เรื่องเศรษฐกิจ วัฒนธรรม เทคโนโลยี การศึกษา การกระจายอำนาจ ขนส่งมวลชน SMEs ฯลฯ ซึ่งมีขอบเขตมากกว่าวาทกรรมเหลืองแดงหรือการต่อสู้ระหว่าง “อำมาตย์” กับ “ประชาธิปไตย” อันเป็นไวยากรณ์หลักของการต่อสู้ทางการเมืองช่วงที่ผ่านมา

คนไม่น้อยเข้าใจว่า มวลชนของธนาธรคือกลุ่ม “ฟ้ารักพ่อ” แต่ที่จริง พรรคอนาคตใหม่ชูประเด็นใหม่ๆ ซึ่งทำให้พรรคมี “มวลชน” มากกว่าเด็กมหาวิทยาลัยและผู้มีสิทธิเลือกตั้งครั้งแรกเยอะ แผนสกัดธนาธรจึงอาจทำให้คนกลุ่มนี้ “ตาสว่าง” จนมองประเทศแบบที่คนเสื้อแดงกับ “ฝ่ายประชาธิปไตย” มองมากว่าสิบปี

ธนาธรเป็นตัวแทนของพลังมหาศาลที่ต้องการเห็นสังคมเปลี่ยนแปลง คนกลุ่มนี้จะตีความการสกัดธนาธรว่าประเทศนี้มีเจ้าของจนเปลี่ยนยาก สารที่คนรุ่นเก่าบอกกับคนรุ่นใหม่คือชาตินี้เราคงรักกันไม่ได้ และการเมืองเป็นเรื่องการอยู่ร่วมกันอย่างจำยอม ในยุคสมัยที่อำนาจจะถูกจัดสรรเฉพาะกับคนที่เป็นพวกเดียวกัน

Tags: , , , , ,