นับตั้งแต่เริ่มก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่กับนโยบายก้าวหน้า พร้อมประกาศท้าชนกับอำนาจเผด็จการครองเมือง และแก้ไขรัฐธรรมนูญปี ’60  ชื่อของธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจไม่เคยตกจากกระแสทั้งบวกและลบ นับแต่ปัญหาใหญ่น้อยภายในพรรค ไล่เรื่อยมาถึง #ฟ้ารักพ่อ

แม้จะได้รับแรงสนับสนุนจากคนรุ่นใหม่ไม่น้อย แต่ธนาธรก็เป็นอีกตัวละครหนึ่งทางการเมืองที่ถูกโจมตีอย่างหนักหน่วงไม่แพ้พวกหัวขั้วใหญ่ๆ บนถนนการเมืองที่สะสมแรงรักแรงแค้นกันมา หลายคำกล่าวหาและปรามาสพุ่งเข้าหาเขาจากฝ่ายที่คิดต่าง บ้างก็ตั้งข้อสงสัย ฯลฯ จนถึงการตกเป็นคดีความและข่าวดิสเครดิตต่างๆ ที่ทำให้เขาต้องออกมาชี้แจงโต้ตอบอยู่เป็นระยะ  

4 วันก่อนสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ เราได้สนทนากับธนาธรผู้ที่ดูไม่รู้เหน็ดเหนื่อยกับการเดินสายปราศรัยและการพบปะกับสื่อต่างๆ แน่นอนว่าคำตอบของเขายังคงชัดเจน แจ่มแจ้ง แข็งกร้าว และยึดมั่นในอุดมการณ์

แม้ว่าจะมีความเห็นจากอีกฝั่งการเมืองชี้นิ้วว่าเขาเป็นปีศาจตนใหม่ของสังคมไทยก็ตาม

คุณรู้สึกอย่างไรกับการเจอคดีความในช่วงนี้

ไม่มีข้อพิสูจน์นะครับ แต่ผมเชื่อว่าคดีนี้มีแรงจูงใจทางการเมือง เพื่อกดดันเรา เพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของผม ในฐานะหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งตอนนี้คดีก็ได้ถูกส่งต่อจากชั้นตำรวจสู่ชั้นอัยการ ผลจะเป็นอย่างไรก็คงขึ้นอยู่กับกระบวนการยุติธรรม และพรรคอนาคตใหม่ก็จะต่อสู้ในชั้นศาลต่อไป

ผมต้องบอกว่าผมและแกนนำพรรคอนาคตใหม่อีกสองท่าน ก็คือคุณไกลก้อง ไวทยการ และคุณจารุวรรณ ศรัณย์เกตุ ไม่ได้ตื่นตระหนกอะไร แล้วก็ไม่ได้ย่อท้ออะไรกับการทำงาน พวกเราก็คงทำงานอย่างขันแข็งต่อไปครับ

นอกจากการพยายามทำลายความน่าเชื่อถือแล้ว คดีความจะส่งผลกระทบอื่นด้วยไหม

สิ่งเดียวที่ทำให้เราลำบากก็คือเสียเวลาในการทำงาน มันต้องเดินทางไปโน่นไปนี่ เพื่อต่อสู้คดีในกระบวนการยุติธรรม แต่กำลังใจเราไม่เคยตก ไม่ได้ทำให้ความฮึกเหิมของเราน้อยลง มันยังทำให้เรามั่นใจด้วยว่าเรามาถูกทางแล้ว

อย่างกรณีที่คุณถูกโจมตีเรื่องนิตยสาร ‘ฟ้าเดียวกัน คุณมีความเห็นอย่างไร

ก็ไม่มีอะไรนี่ ฟ้าเดียวกันก็เป็นนิตยสารเล่มหนึ่ง ผมมีส่วนร่วมในการก่อตั้งจริง แต่ฟ้าเดียวกันก็มีกองบรรณาธิการของเขาเอง ที่ผมเชื่อว่าเขามีจรรยาบรรณของกองบรรณาธิการที่แข็งแรงและสง่างามมากกว่าสื่ออื่นๆ ทั่วไปในประเทศไทย ถ้าผมจะไปก้าวก่ายเขามันคงเป็นไปไม่ได้

ฟ้าเดียวกันมีกองบรรณาธิการ มีผู้จัดพิมพ์โฆษณา ซึ่งอยู่ภายใต้กฎหมายของ ...สิ่งพิมพ์อยู่แล้ว ถ้าใครคิดว่าฟ้าเดียวกันผิด เอาข่าวเท็จมาหลอกลวงประชาชนก็ไปฟ้องเขาสิ ผมไม่คิดว่ากองบรรณาธิการจะไม่มีเกียรติและศักดิ์ศรีจนยอมที่จะให้ผมจูงจมูกได้ ใครที่คิดอย่างนั้นก็ดูถูกกองบรรณาธิการของฟ้าเดียวกันมากเกินไป

ตั้งแต่คุณเริ่มลงสนามการเมืองมาจนบัดนี้ ได้เรียนรู้บทเรียนต่างๆ มากน้อยแค่ไหน

โอ้โห เยอะแยะเลย ถึงเราจะบอกว่ากำลังใจเราดีขึ้น แต่มันเป็นคนละเรื่องกับการเรียนรู้ ถามว่ามีสิ่งที่เราทำผิดพลาดไหม ต้องบอกว่ามีเยอะมาก เดี๋ยวก็พลาดเรื่องโน้น เดี๋ยวก็พลาดเรื่องนี้ นั่นก็เป็นสิ่งที่เราต้องเรียนรู้และแก้ไข

ก่อนหน้านี้อนาคตใหม่ก็ถูกโจมตีจากอดีตกลุ่ม New Gen ของพรรคว่า ระบบการทำงานของพรรคได้กลายเป็นแบบ top-down ไม่ได้เป็นประชาธิปไตยแนวราบเหมือนอย่างที่บอกไว้ตอนแรก

ผมว่าไม่น่าจะมีพรรคไหนที่เปิดกว้างเท่าเราอีกแล้วนะ ในทีมจังหวัดแต่ละทีมเขาก็มีอำนาจในการออกแบบกิจกรรมของเขาเอง ทีมส่วนกลางแทบไม่ได้ไปยุ่งอะไร แต่ละจังหวัด มีพื้นที่ มีอำนาจ และมีงบประมาณให้จัดสรรเต็มที่ ถ้าองค์กรเป็นอย่างนั้นจริงๆ คือทั้งหมดมาจาก top-down มันโตเร็วขนาดนี้ไม่ได้หรอกครับ ที่เราโตเร็วขนาดนี้ มีคนมาสนับสนุนพวกเราเยอะกว่านี้ เพราะเราเปิดกว้างต่างหาก

ผมยกตัวอย่าง ทีมงานจังหวัดของเรามีเล็กใหญ่ต่างกัน ทั่วประเทศไทยเรามีทีมงานพื้นฐานเป็นพันๆ คน ซึ่งส่วนใหญ่พวกเขามาด้วยใจ ไม่ได้มีค่าตอบแทน ผมว่าคงมีแต่พรรคเราพรรคเดียวที่ทำได้ และพวกเขาก็ล้วนแต่มีส่วนช่วยในการตัดสินใจในการบริหารพื้นที่จังหวัดของตัวเอง

แต่ไม่ต้องแปลกใจหรอก เพราะว่าการสร้างแพลตฟอร์มทางการเมืองที่ใหม่ขนาดนี้ ทุกคนเข้ามาทำงานแล้วย่อมมีความเห็นที่ไม่ตรงกันได้ ต้องยอมรับจริงๆ ว่าระหว่างทางก็ต้องมีคนที่หลุดออกไป เป็นเรื่องปกติ

แสดงว่าสมาชิกพรรคอาจจะไม่ได้มีอุดมการณ์ตรงกันไปทั้งหมด เพราะหลายครั้งที่มีการแสดงความคิดเห็นต่อสาธารณะแตกต่างกันไป

ก็พยายามทำนะครับ แต่ก็ต้องบอกว่ามันเป็นไปได้ทั้งหมดแหละ มันไม่สามารถคืออย่างนี้ แรกที่สุดคุณต้องกลับไปที่รัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญฉบับนี้บอกว่า คุณจะส่ง .. ลงสมัครในเขตไหนได้ คุณต้องมีสมาชิกในเขตนั้นๆ 100 คน ดังนั้น มันจึงเป็นการบังคับโดยรัฐธรรมนูญ ให้คุณต้องมีสมาชิก ไม่อย่างนั้นจะส่ง .. ไม่ได้ โอกาสที่คุณจะเข้าไปมีอำนาจได้ก็น้อยลง

ดังนั้น ในทีมจังหวัดเองก็ได้ไปรับสมัครสมาชิก ซึ่งคนที่เข้ามาสมัครเป็นสมาชิกก็มีดีกรีที่ต่างกัน ถ้าเอาจังหวัดละ 100 คน ทั้ง 77 จังหวัด คุณจะทำให้คน 7,700 คนมีความคิดทุกอย่างในแนวเดียวกันภายในเวลา 8 เดือนได้รึเปล่า ผมว่าทำไม่ได้

คุณต้องมองโลกด้วยความเป็นจริง อย่ามองโลกด้วยความไร้เดียงสา มันทำไม่ได้หรอก แต่อย่างน้อยโดยหลักคือมีอุดมการณ์กลางเหมือนกัน นั่นคือเรื่องประชาธิปไตย คือการไม่เอาเผด็จการ ส่วนอื่นรอบนอกมันอาจจะต่างกัน บางคนเอากัญชา บางคนไม่เอากัญชา บางคนไม่เห็นด้วยกับ LGBT บางคนก็เห็นด้วยกับ LGBT คือกรอบข้างนอกอาจจะต่างกันบ้าง ซึ่งก็ไม่ได้แปลก เราไม่ได้คาดหวังให้คนทุกคนที่เข้ามาในพรรคเห็นด้วยกับเราในทุกเรื่อง

ความคาดหวังสูงสุดของอนาคตใหม่ในการเลือกตั้งครั้งนี้คืออะไร

เราพูดหลายครั้งแล้ว พรรคอนาคตใหม่ตั้งขึ้นมา ไม่ได้เพื่อส่งใครเป็น .. ไม่ได้ตั้งขึ้นมาเพื่อส่งใครเป็นรัฐมนตรี ไม่ได้ตั้งขึ้นมาเพื่อส่งธนาธรเป็นนายกรัฐมนตรี พรรคอนาคตใหม่ตั้งขึ้นมาเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไทย

หมายถึงไม่ได้อยากเป็นรัฐบาล?

(ตอบทันที) ใครบอกว่าเราไม่เคยคิดจะเป็นรัฐบาลครับ ธนาธรพูดตลอดว่าธนาธรพร้อมเป็นนายกรัฐมนตรี พรรคอนาคตใหม่พร้อมที่จะนำการเปลี่ยนแปลง เราไม่เคยบอกว่าเราไม่ต้องการเป็นรัฐบาล แต่เราบอกว่าประเด็นที่สำคัญที่สุดคือการปักธงทางความคิด ไม่ใช่การได้มาซึ่งเสียง มันคนละเรื่องกัน

ทำไม? ถ้าเราทำให้ความคิดของเราเป็นความคิดสาธารณะได้ คะแนนเสียงมาเอง แล้วคุณจะได้เป็นรัฐบาล แต่ถ้าไม่พูดถึงความคิดหลัก หาเสียงด้วยวิธีอื่น ต่อให้เป็นรัฐบาล ก็เปลี่ยนแปลงประเทศไม่ได้ เราจะเป็นรัฐบาลด้วยการผลักดันความคิดของเราให้เป็นเรื่องหลักในสังคมก่อน เมื่อเป็นเรื่องหลักแล้วประชาชนจะเลือกเรา นี่คือการทำการเมืองแบบใหม่ นั่นคือการให้ประชาชนเลือกเพราะศรัทธาในความคิดที่ต้องการเปลี่ยนแปลงของเรา

คิดว่าพรรคอนาคตใหม่มาเร็วไปหรือช้าไปสำหรับการเมืองไทย

โอ้โห ไม่อยากจะตอบเลย ผมว่าผมไม่รู้หรอกนะในเชิงประวัติศาสตร์เราจะสามารถแต้มสีสันทางประวัติศาสตร์ให้การเมืองไทยได้มากน้อยแค่ไหน ไม่รู้ว่าเร็วไปหรือช้าไป แต่ผมรู้หนึ่งอย่าง ว่าเราเกิดมาในช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ ช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่น่าตื่นเต้นที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ในแง่หนึ่ง นอกจากน่าตื่นเต้นแล้วมันยังเป็นช่วงเวลาที่น่าหดหู่ที่สุดด้วย และเพราะมันทั้งน่าหดหู่และน่าตื่นเต้นนี้เอง ที่ทำให้พวกเราเกิดมา

ผมขอเพิ่มเติมตรงคำว่าน่าตื่นเต้นนิดนึง น่าตื่นเต้นก็คือการเข้ามาของเทคโนโลยี ก่อนหน้าคนรุ่นเรา แม้แต่การเลือกตั้งครั้งที่แล้ว เทคโนโลยียังแสดงศักยภาพของมันไม่เต็มที่ ดังนั้นการสร้างการเมืองใหม่มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เพราะการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของผู้คนยังจำกัดอยู่ที่ช่อง 3-5-7-9  ยังถูกจำกัดที่โครงสร้างอิทธิพลของรัฐ ไม่ว่าจะผ่านกำนันผู้ใหญ่บ้าน แต่วันนี้การเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของผู้คนเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง แล้วผมคิดว่าการเข้ามาของโซเชียลมีเดีย จะทำให้คณิตศาสตร์การเมืองแบบเก่าใช้ไม่ได้ในการเลือกตั้งครั้งนี้

ดังนั้น นอกจากมันเป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นและน่าหดหู่ที่สุดในประวัติศาสตร์แล้ว มันยังเป็นช่วงเวลาที่ความเป็นไปได้ใหม่ๆ น่าจะเกิดได้ เป็นไปได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์ด้วยเช่นกัน

คุณเชื่อมั่นในการเลือกตั้งครั้งนี้แค่ไหน ว่าจะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้ประเทศได้จริงๆ

ไม่ต้องพูดให้มันโรแมนติกนะครับ การเลือกตั้งครั้งนี้ไม่นำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงหรอก แต่เป็นจุดเริ่มต้น เป็นบันไดก้าวแรก ผมอยากให้มองมันในฐานะการเดินทาง อาจจะต้องใช้เวลา ไม่มีใครรู้ ห้าปี สิบปี หรือบางทีผมอาจจะตายไปแล้ว แต่ยังทำไม่เสร็จก็เป็นได้ ไม่มีใครรู้ รู้แต่ว่าความอยุติธรรมที่อยู่ในประเทศนี้มันมากเกินไป และมันนานเกินไปแล้ว มันต้องเริ่มลงมือทำจริงๆ สักที

มีพรรคการเมืองไหน ที่พรรคของคุณจะไม่มีวันร่วมมือด้วย

ภารกิจที่สำคัญที่สุดของการเลือกตั้งครั้งนี้คือการหยุดยั้งอำนาจของ คสช. หยุดยั้งการสืบทอดอำนาจ ถ้าแพ้ครั้งนี้ คสช. กลับมามีอำนาจได้ เขาจะอยู่กับเราไปอีก 8 ปี จากที่อยู่มาแล้ว 5 ปี นั่นหมายความว่าเราจะมีเขา 13 ปี เผลออาจจะต้องอยู่ไปจนถึงแผนยุทธศาสตร์แห่งชาติ 20 ปีด้วย รัฐประหารครั้งเดียวเอาเราไปสิบยี่สิบปี ดังนั้นแล้วเราแพ้ไม่ได้ ทำอย่างนั้นยังไม่พอ แม้ตัวองค์กรที่ชื่อ คสช. ก็จะหายไปหลังการเลือกตั้ง แต่ระบอบ คสช. จะยังอยู่กับเราในรูปแบบของรัฐธรรมนูญปี 2560 ดังนั้นแค่หยุดยั้งการสืบทอดอำนาจอย่างเดียวไม่พอ ต้องแก้รัฐธรรมนูญปี ‘60 ทั้งฉบับด้วยครับ

ดังนั้น ผมคิดว่านี่คือเงื่อนไขในการจะบอกว่าร่วมกับใคร หรือไม่ร่วมกับใคร ไม่ต้องดูชื่อหัวหน้าพรรค ไม่ต้องดูชื่อพรรค เอาหลักการเรื่องนี้มาคุยกัน ถ้าใครรับหลักการนี้ มาทำงานร่วมกัน เรายึดมั่นในหลักการ ผ่อนปรนในรายละเอียด

ทีนี้ ถามว่ามีพรรคไหนที่ไม่เข้าร่วมแน่นอน ก็ต้องพูดตรงๆ ว่ามีอยู่หนึ่งพรรค นั่นก็คือพรรคพลังประชารัฐ ทำไม? เพราะพรรคพลังประชารัฐตั้งขึ้นมาโดยมีวัตถุประสงค์ชัดเจน คือการสืบทอดอำนาจของ คสช. ซึ่งพรรคการเมืองแบบนี้ ไม่ใช่ไม่เคยมีในอดีต พรรคเสรีมนังคศิลา (โดย จอมพล . พิบูลสงคราม) เคยเกิดขึ้น พรรคสามัคคีธรรม (โดย พลเอกอาทิตย์ กำลังเอกถูกมองว่าตั้งขึ้นเพื่อสืบทอดอำนาจ รสช.) เคยเกิดขึ้น

มันคือพรรคเฉพาะกิจที่เมื่อทหารทำรัฐประหารแล้วหนีแรงกดดันไม่พ้น ยังไงก็ต้องจัดการเลือกตั้ง แต่ผู้นำกองทัพยังอยากธำรงไว้ซึ่งอำนาจ สิ่งที่พวกเขาทำก็คือตั้งพรรคเฉพาะกิจขึ้นมา เพื่อผลักดันตัวเองให้กลับเข้าไปสู่อำนาจอีกครั้ง ดังนั้น ถ้ามองในแง่ประวัติศาสตร์แล้ว การเกิดขึ้นของพรรคพลังประชารัฐ ไม่มีอะไรที่น่าแปลกใจ ในทางกลับกัน เป็นสิ่งที่คาดหวังไว้แล้วตั้งแต่เกิดรัฐประหารด้วย ว่าจะต้องมีพรรคทหารตั้งขึ้นมา เมื่อการเลือกตั้งใกล้เข้ามาถึง ดังนั้น พรรคพลังประชารัฐมีอุดมการณ์ชัดเจนมาก ว่าเป็นพรรคที่ชูคุณประยุทธ์ จันทร์โอชาให้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง

สำหรับคนที่ไม่ค่อยมีความหวังกับประเทศชาติอีกแล้ว กับการเลือกตั้งครั้งนี้ คุณธนาธรอยากบอกอะไรกับพวกเขา

ถ้าคุณไม่ไปเลือกตั้ง เขากลับมาแน่ คุณได้ลุงตู่แน่

มีคนที่โจมตีว่าคุณจะเป็น ‘ปีศาจ’ ตนต่อไป ต่อจากคุณทักษิณ ชินวัตร คุณคิดเห็นอย่างไร

มันเป็นการทำลายกัน ผมคงต้องบอกว่า เผด็จการไม่สามารถทำรัฐประหารได้ ถ้าคนไม่ขัดแย้งกัน ดังนั้นวิธีการที่เขาทำเสมอมาก็คือทำให้คนเกลียดกลัวกัน เมื่อคนในชาติเกลียดชังกันได้เมื่อไร ก็จะเกิดช่องว่างที่ทำให้พวกเขาเข้ามาแทรกแซงทางการเมือง นี่คือข้อหาต่อประชาธิปไตย ว่าเห็นไหม ประชาชนยังไม่พร้อม เห็นไหม ว่าประชาธิปไตยทำให้คนตีกัน เมื่อคนตีกัน ประเทศไปต่อไม่ได้ กองทัพคือทางออก รัฐประหารคือการแก้ไข นี่คือเรื่องที่เราถูกทำให้เชื่อมาตลอด

เพราะฉะนั้น ข้อกล่าวหาที่มาทำร้ายผม ก็คือผลพวงของการเมืองแบบเก่า การเมืองที่ทำให้ 12 ปีที่ผ่านมาเราไปไหนไม่ได้ ต้องอยู่กับการเมืองแบบนี้ไป สาดโคลนกัน ทำลายกัน ไม่พูดถึงหลักการ ไม่พูดถึงข้อเท็จจริง ซึ่งวิธีที่จะต่อสู้กับการเมืองแบบนี้ได้ ก็คือต่อสู้ด้วยความคิดสร้างสรรค์ ต่อสู้ด้วยข้อเท็จจริง ด้วยหลักการที่ถูกต้อง และพรรคอนาคตใหม่ก็จะเดินไปข้างหน้าอย่างนี้

ถ้าสังเกต 8 เดือนที่ผ่านมา เราไม่เคยโจมตีตัวบุคคล เราโจมตี วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลด้วยหลักการมาตลอด ว่าหลักการมันไม่ถูกต้องยังไง ที่มาของอำนาจไม่ถูกต้องยังไง นี่คือการเมืองแบบที่เราอยากทำ แล้วมันก็แสดงให้เห็นแล้วว่า คนซื้อไอเดียการสร้างพรรคแบบเรา ที่ไม่เหน็บแนม ไม่กระแนะกระแหน ไม่วิพากษ์วิจารณ์ตัวบุคคล ไม่ใช้ข่าวลวง ไม่ใช้ข่าวที่ทำให้คนเกลียดชัง ทำลายกัน

ส่วนผมจะเป็นปีศาจหรือไม่ ถ้าเป็นปีศาจ ผมก็คงเป็นปีศาจของชนชั้นปกครอง เราเรียกร้องให้ทหารออกจากอำนาจ เรียกร้องให้ประเทศไทยไม่มีรัฐประหารอีกในอนาคต นี่คือข้อเรียกร้องที่คุณอยากได้ไหม? มีใครก่อนหน้าพรรคอนาคตใหม่เคยเสนอแบบนี้ไหม?

นี่คือความฝันที่ง่ายมาก ไม่มีอะไรซับซ้อน และไม่ได้ผิดแปลกไปจากที่สากลเขาเรียกร้องกัน เราต้องการประเทศไทยที่ทุนใหญ่จะไม่ผูกขาดเศรษฐกิจทั้งหมด เราต้องการประเทศไทยที่ทุนใหญ่ออกไปสร้างและดึงส่วนแบ่งจากตลาดโลกมาเพื่อต่อยอดให้กับทุนขนาดกลางขนาดเล็ก ไม่ใช่ทุนใหญ่หากินด้วยการเอาเปรียบทุนขนาดเล็ก เราอยากเห็นสังคมที่ความเสมอภาคกันต่อหน้ากฎหมายเกิดขึ้นจริง ไม่ใช่กฎหมายมีไว้ใช้แต่เฉพาะกับคนจน ขณะที่คนรวย คนมีอำนาจไม่เคยต้องติดคุกติดตะราง เราต้องการเห็นสังคมที่ลูกนายพลไม่สามารถไปข่มเหงคนอื่นได้

คนที่กลัวความฝันแบบนี้ คือกลุ่มคนที่ป้ายให้เราเป็นปีศาจ นั่นก็คือกลุ่มคนที่ถูกหลอกหลอนโดยความฝันของเรา โดยประเทศไทยในอนาคตที่เราวาดหวังไว้ คนกลุ่มนี้ที่จะสูญเสียอำนาจ ต้องสูญเสียทั้งการครอบงำทางเศรษฐกิจและการเมือง พวกเขากลัวข้อเสนอที่เราบอกว่าเป็นข้อเสนอที่ทำให้การเมืองเป็นของประชาชน ที่ทำให้ผลของการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยจะเอาไว้รับใช้ประชาชน ไม่ใช่รับใช้คนเพียงไม่กี่คนในสังคมไทย

ย้อนกลับไปในวัยเด็ก อะไรที่หล่อหลอมแนวคิดหรืออุดมการณ์ทางการเมืองของคุณให้เป็นอย่างทุกวันนี้

ตอนเป็นเด็ก ผมเติบโตมาในครอบครัวที่เรียกได้ว่าเป็นชนชั้นกลาง ไม่ได้เป็นคนรวย พ่อแม่ผมตอนที่ท่านเป็นหนุ่มเป็นสาว ท่านต้องทำงานหนัก พ่อผมเองเรียนจบ .4 ดังนั้น จะบอกว่าผมเกิดมาจากครอบครัวที่รวยนี่ไม่ใช่ ความมั่งคั่งของครอบครัวมันถูกสะสมตอนที่ผมโตมา ตอนผมเริ่มเข้ามหาวิทยาลัย ก็เริ่มเห็นแล้วว่าเราเริ่มมีความมั่งคั่ง

ถามว่าเติบโตมายังไง ผมก็ต้องบอกว่าผมไม่เคยมีความคิดที่จะเข้ามาเป็นนักธุรกิจ หรือเข้ามาดูแลธุรกิจของที่บ้านเลย ผมอยากไปทำงานอย่างอื่น อยากเป็น NGO อยากทำงานในองค์กรพัฒนาเอกชนที่ได้ใช้ความรู้ความสามารถ ใช้ศักยภาพของตัวเองช่วยเหลือผู้อื่น แต่มันมีอุบัติเหตุก็คือตอนที่พ่อผมเสียในปีที่ผมเรียนจบพอดี คุณแม่ก็เลยขอให้ผมกลับเข้ามาทำงานที่บริษัท นั่นก็คือจุดเริ่มต้นชีวิตธุรกิจของผม ซึ่งก่อนหน้านั้นไม่เคยมีอยู่ในหัวเลย

แต่จุดเริ่มต้นทางการเมืองจริงๆ เริ่มตั้งแต่ปี 2560 ผมเริ่มเห็นว่าประเทศไทยมันไม่มีความหวัง มันไม่รู้จะไปต่อยังไง แล้วมันก็จำเป็นที่จะต้องมีพลังใหม่ๆ ที่จะมาผลักดัน เปลี่ยนแปลงสังคมไทยให้ไปข้างหน้า แล้วเรามองไม่เห็นเลยว่าพรรคการเมืองที่มีอยู่จะเป็นตัวแทนความฝันของเราได้อย่างไร ถ้าเราอยากได้สังคมที่เราอยากเห็น มันเหลืออยู่วิถีทางเดียว ก็คือลงมือทำเอง

คุณมองภาพตัวเองในอีก 10 ปีข้างหน้าไว้อย่างไร

(หัวเราะ) 10 ปีเหรอ ผมอยากเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยเล็กๆ ที่ไหนสักแห่ง อยากจะมีบ้านติดริมน้ำ อาทิตย์หนึ่งสอนสัก 6 ชั่วโมง เอาเวลาไปนั่งอ่านหนังสือ มีเวลาไปท่องเที่ยวเชิงผจญภัยปีละสักครั้งสองครั้ง มีเวลาอยู่กับครอบครัว เอาเวลากลับคืนให้ลูกๆ แล้วก็ได้ความเป็นส่วนตัวของชีวิตกลับคืนมา

นั่นหมายถึงหลังจากได้ทำหน้าที่ทางการเมืองลุล่วงแล้ว?

นั่นอาจจะหมายความว่า ภารกิจทางการเมืองต้องสำเร็จแล้ว ถ้ามันสำเร็จแล้วผมคงไปทันที ผมไม่ได้อยากจะอยู่ที่นี่ แต่ผมต้องอยู่เพราะเห็นว่าประเทศไทยมันไม่มีคนทำ ก็ต้องทำเอง ดังนั้นถ้าภารกิจสำเร็จเมื่อไร ผมฝันเห็นชีวิตผมเป็นแบบนั้น เรียบๆ หาบ้านติดแม่น้ำที่ไหนสักแห่ง น่าจะประมาณภาคเหนือตอนล่างอะไรแบบนี้ ในเมืองเล็กๆ ที่ไม่แออัดเหมือนกรุงเทพฯ เพราะอยู่กรุงเทพฯ มานานแล้ว และรู้สึกว่าพอแล้ว เราอยากใช้ความรู้ที่เรียนรู้มาในชีวิต เอาไปสอนหนังสือให้กับคนรุ่นต่อๆ ไป

อยากให้นิยามความเป็นพ่อในแบบของคุณ

อืม (หัวเราะ) ผมชอบเลี้ยงลูกให้พวกเขาเติบโตในกลางแจ้ง ผมเชื่อว่าชีวิตอยู่กลางแจ้ง อยู่ข้างนอก ผมจะสนับสนุนให้เขากล้าหาญ จะไม่ค่อยกดดันเขาในเรื่องการเรียน ไม่กดดันให้เขาต้องเรียนพิเศษหนักๆ แต่เชื่อว่าเด็กน่าจะต้องมีความสุขมากกว่า ร่าเริง แบบเนี้ย (ชี้ไปที่ลูกสาวซึ่งกำลังปีนชั้นวางของเล่น) ดูดิ (หัวเราะ) ผมคิดว่าถ้าเรียนดีได้ก็ดี เรียนดีไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ชีวิตมันก็ไม่ได้วัดกันที่ผลการสอบ ผมพยายามพาลูกไปเจอกับธรรมชาติ ไปตั้งแคมป์กลางป่าบ้างถ้ามีโอกาส พยายามให้เขาเจอกับความหลากหลาย ให้เขาได้เห็นโลกที่กว้างขึ้น เชื่อว่าจะทำให้เขาเติบโตเป็นคนที่สวยงามได้ ยอมรับทัศนคติที่แตกต่างของคนในสังคมได้ในอนาคต

มีความคิดแบบอนุรักษนิยมที่ลึกๆ แล้วตัวเองเห็นด้วยบ้างไหม

พูดยาก ผมว่าอาจจะต้องพูดเป็นเรื่องๆ ยกตัวอย่างอะไรดีเรื่องคอนเซอร์เวทีฟเหรอ ผมเป็นคนไม่ฟังเพลงใหม่ๆ นะ ผมจะฟังเพลงโอลดี้ส์ ที่เป็นเพลงยุคผม ในแง่หนึ่งผมก็ฟังเพลงไม่เป็นนะ เพลงเทคโน เพลงตื๊ดๆ อะไรพวกนี้ก็ฟังไม่ค่อยเป็น ในทางวัฒนธรรมนี่ผมอาจจะไม่ถนัด ยกตัวอย่างภาพเขียน ผมจะไม่เข้าใจพวกภาพเขียนแบบโพสต์โมเดิร์น แอ็บสแตร็กต์ พวกกล่องสี่เหลี่ยม สามเหลี่ยม วงกลม หรือเอาพู่กันมาป้ายๆ สีใส่ ผมจะดูไม่รู้เรื่อง ผมชอบอะไรที่มันเก่าๆ แบบเรียลิสติก เป็นภาพคน ภาพธรรมชาติ มันจับต้องได้ เราเชื่อมโยงตัวเองกับภาพได้

แต่ถึงคุณอาจจะไม่ถนัดเรื่องเชิงวัฒนธรรม คุณเชื่อในซอฟต์พาวเวอร์ไหมว่ามันช่วยสร้างการเปลี่ยนแปลงให้สังคมได้

ซอฟต์พาวเวอร์สำคัญมากแน่นอนครับ จุดชี้ขาดไม่ได้ชี้ขาดกันที่ปืน รถถัง คุกตะราง กฎหมาย แต่จุดที่ชี้ขาดก็คือใครเป็นผู้กำหนดนิยามความหมายของสังคมได้ต่างหาก แล้วการจะทำอย่างนั้นได้ แค่อาวุธยุทโธปกรณ์อย่างเดียวไม่พอ แต่วัฒนธรรมต่างหากที่เป็นเรื่องจำเป็น

ในมุมมองของคุณ ทำไมที่ผ่านมาหลายรัฐบาลถึงไม่ค่อยให้ความสำคัญกับเรื่องเหล่านี้

ไม่มีรัฐบาลไหนคิดจะเปลี่ยนแปลงไง ย้อนกลับมา ถ้าถามว่าพรรคอนาคตใหม่แตกต่างจากพรรคอื่นยังไง ผมคิดว่าพรรคอื่นต้องการเข้าไปบริหารจัดการทรัพยากรที่มีอยู่ของรัฐ เพื่อผลประโยชน์ของแต่ละกลุ่มคนที่สนับสนุนพรรคนั้นๆ พรรคอนาคตใหม่ก็ต้องการที่จะจัดสรรทรัพยากรของรัฐด้วย แต่ในขณะเดียวกัน เราต้องการเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับคนในประเทศนี้ด้วย

ถามจริงๆ ช่วงนี้เครียดบ้างไหม

จริงๆ ก็ไม่เครียดนะ โอเคเราอาจจะทำงานหนัก วันหนึ่งที่ทำงาน 12 ชั่วโมงถือว่าทำงานน้อย แต่ถามว่าเหนื่อยไหม เครียดไหม ไม่ ทุกครั้งที่ไปลงพื้นที่หาประชาชน ผมชื่นใจมาก เมื่อเช้านี้ลงตลาดตั้งแต่ 6 โมงครึ่ง ไปสองตลาด มีแต่คนที่ให้กำลังใจ และมีคนที่บอกว่า คุณทำให้ผมหันมาสนใจเรื่องการเมือง ถ้าไม่มีคุณ การเลือกตั้งครั้งนี้ฉันจะโหวตโน ฯลฯ นี่คือประโยคที่ผมได้ยินตลอด 8 เดือนที่ผ่านมา เรื่องคดีความต่างๆ เราก็ไม่ได้เครียด พวกเรายักไหล่กับมัน ขอโทษนะมันอ่อนเกินไปที่จะมาจัดการกับเรา

มีอะไรที่ทำให้คุณหัวเราะได้ในหลายวันมานี้

ถ้ามีก็คงเป็นพวกข่าวโจมตีที่ไม่เป็นความจริง เราเห็นทีก็หัวเราะที มันเป็น innovation ของฝ่ายนั้น แต่เป็น innovation ที่ขำไม่ค่อยออก (หัวเราะดังลั่น)

คิดว่าตัวเองเป็นผู้ชายโรแมนติกไหม

ผมว่าผมโรแมนติกนะ คือโรแมนติกในแง่ที่ว่า ผมเป็นคนอ่อนไหว ถ้าไปดูหนังก็จะร้องไห้บ่อย ถ้าอ่านหนังสือที่มันมีเรื่องราวของคน ชีวิตของผู้ทุกข์ทนก็จะร้องไห้ ในสังคมถ้าเจอเรื่องที่ไม่เป็นธรรมก็จะอยู่เฉยไม่ได้ คือถ้าไม่โรแมนติกก็คงไม่มาอาสาเปลี่ยนแปลงสังคมหรอก

Fact Box

  • ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หรือเอกเกิดเมื่อปี 2521 ปัจจุบันเป็นคุณพ่อลูกสี่
  • เขาขึ้นเป็นรองประธานบริหารกลุ่มบริษัทไทยซัมมิท ตั้งแต่ปี 2545 ต่อมาลาออกจากตำแหน่งทางธุรกิจทั้งหมด เพื่อลงสนามการเมือง ก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ร่วมกับ รศ.ปิยบุตร แสงกนกกุล เขาได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าพรรคอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2561
  • ธนาธรจบการศึกษาจาก คณะวิศวกรรมศาสตร์ หลักสูตรนานาชาติ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และสาขาวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนอตติงแฮม ประเทศอังกฤษ และด้วยความสนใจทางการเมือง เขาตัดสินใจศึกษาต่อในระดับปริญญาโท สาขาเศรษฐศาสตร์การเมือง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และปริญญาโทใบที่สอง สาขาการเงินระหว่างประเทศ ที่โรงเรียนธุรกิจสเติร์น มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก และปริญญาโทใบที่สาม สาขากฎหมายธุรกิจระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยซังคท์กัลเลิน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
  • ธนาธรชื่นชอบกีฬาผาดโผนและกิจกรรมเชิงผจญภัย ทั้งพายเรือคายัค วิ่งมาราธอน ไตรกีฬา ไต่เขา ฯลฯ เขาเคยพายเรือล่องแม่น้ำในประเทศไทยโดยมีเป้าหมายออกสู่อ่าวไทย รวมถึงพายเรือจากอ่าวไทยเพื่อไปถึงพรมแดนมาเลเซีย ทั้งยังเคยออกกำลังกายด้วยการเดินจากที่ประชุมฝั่งธนบุรีกลับบ้านตัวเองที่บางนา-ตราด
Tags: , , ,