เมืองเวนิซ ประเทศอิตาลี มีนักท่องเที่ยวไปเยือนประมาณ 20 ล้านคนต่อปี ทุกๆ ปีมีเรือสำราญขนาดใหญ่เข้าเทียบท่าประมาณ 10,000 ลำ แต่ตอนนี้ นายกเทศมนตรีเมืองเวนิซออกมาบอกว่า อยากให้ยูเนสโกขึ้นบัญชีดำเมืองประวัติศาสตร์แห่งนี้ เพื่อให้เวนิซกลายเป็นพื้นที่ต้องห้าม หลังเกิดปัญหาเรือสำราญลำหนึ่งพุ่งชนท่าเรือและเรือท่องเที่ยว แต่รัฐบาลก็ดูไม่มีทีท่าที่จะแก้ปัญหา

จากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน ที่เรือสำราญขนาดใหญ่ชื่อ MSC Opera ซึ่งมีความยาว 275 เมตร พร้อมผู้โดยสาร 2,679 คน ชนเรือท่องเที่ยวในคลอง จนทำให้มีผู้บาดเจ็บ 4 คน เรือลำนี้หยุดไม่ได้ และชนเรือบ้านที่มีคนอยู่ในเรือ 110 คน ก่อนที่จะหยุดที่ถนนหน้าจตุรัสเซนต์มาร์ค

หลังอุบัติเหตุ ชาวเมืองเวนิซออกมาประท้วงไม่ให้เรือสำราญเข้ามาในทะเลสาบ ถือป้ายที่มีข้อความว่า “เอาเรือใหญ่ออกจากทะเลสาบ”

ดานิโล โทนิเนลลี รัฐมนตรีคมนาคมก็นั่งเฮลิคอปเตอร์ไปเวนิซเพื่อหาทางแก้ปัญหา แต่ก็ไม่ได้พูดคุยกับนายกเทศมนตรีเกี่ยวกับแผนการของชาวเมืองหรือของเขาเอง ที่อยากให้สร้างท่าเรือสำหรับเรือขนาดใหญ่ที่ทางใต้ของเวนิซ เพราะโทนิเนลลีอยากนำเรื่องนี้ไปทำประชามติออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ของพรรค

การมาเยือนโดยไม่ได้พูดคุยกับคนในพื้นที่ยิ่งทำให้ประชาชนไม่พอใจ ลุยจิ บรูจนาโร นายกเทศมนตรีเวนิซ ให้สัมภาษณ์กับรายการวิทยุว่า เขาจะเขียนจดหมายถึงองค์การยูเนสโก ซึ่งเป็นผู้ประกาศขึ้นทะเบียนเมืองเวนิซให้เป็นเมืองมรดกโลกว่า “ให้ขึ้นบัญชีดำเมืองเวนิซ ว่าตอนนี้เวนิซมีอันตราย และเรารู้สึกถึงความอันตราย”

บรูจนาโรบอกว่า ชาวเมืองไร้ศรัทธาต่อรัฐบาล และผิดหวังกับรัฐมนตรีคมนาคมอย่างยิ่งที่ไม่อนุมัติแผนปิดคลองไม่ให้เรือสำราญขนาดใหญ่เข้ามาตามที่รัฐบาลเสนอ

ในปี 2017 รัฐบาลอิตาลีออกกฎหมายห้ามเรือที่มีน้ำหนักมากกว่า 96,000 ตันเข้ามายังใจกลางเมือง แต่ยังไม่ได้บังคับใช้จนกว่าจะถึงปี 2021

ด้านยูเนสโกให้อำนาจแก่รัฐบาลอิตาลีในการหามาตรการปกป้องอนุเสาวรีย์และรักษาสภาพแวดล้อมที่เปราะบาง หรือมีความเสี่ยงต่างๆ ที่มาจากการเป็นเมืองมรดกโลกจนถึงปี 2017 ซึ่งก็ต่อเวลามาจนถึงปี 2021 แต่การปรับปรุงเพื่อจัดการการท่องเที่ยวเป็นไปด้วยความล่าช้า

หากเมืองเวนิซถูกขึ้นบัญชีดำ ก็จะเป็นกลายเป็นพื้นที่ต้องห้าม ในเวลานี้มีมรดกโลก 54 แห่งที่ถูกขึ้นบัญชีดำจากยูเนสโก ด้วยเหตุผลเรื่องความอันตราย เกือบทั้งหมดอยู่ในแอฟริกาและตะวันออกกลาง

 

ที่มา:

 

ที่มาภาพ: MIGUEL MEDINA / AFP

Tags: , , , ,