ในเวลาที่อาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้าริมสถานีรถไฟ Venezia S. Lucia แสงทองสุดท้ายของวัน ทอแสง บนผืนน้ำระยับจับตา เสียงไวโอลินจากศิลปินพเนจรเคล้าเสียงนกนางนวลดั่งคำขาน ‘ยินดีต้อนรับสู่เวนิส’

แม้เราจะได้ยินกิตติศัพท์ด้านลบต่างๆนานาเกี่ยวกับเมืองนี้ แต่ภาพเวนิสที่เราสัมผัสเองวันนั้น มันยากจะลืมจริงๆ  ไม่แปลกใจเลยที่เวนิสจะถูกยกให้เป็นหนึ่งในเมืองฮันนีมูนยอดฮิตของคู่รักข้าวใหม่ปลามันจากทั่วโลก

เวนิสกับแสงทองสุดท้ายของวัน

หมู่เกาะเวนิส (Venice) หรือ เวเนเซีย (Venezia) ก่อร่างสร้างตัวจากการเชื่อมเกาะเล็กๆ จำนวนมากเข้าด้วยกันในบริเวณชายฝั่งปากแม่น้ำโป อย่างที่เรารู้กันดีว่าเมืองนี้มีคลองมากที่สุดในโลก การสัญจรส่วนใหญ่จึงต้องพึ่งพาเรือและสองเท้าในการเดินสำรวจ หากมีเวลาสัก 2 วัน เป็นจำนวนเวลาที่เหมาะสมในการสัมผัสรายละเอียดของเกาะนี้  แต่หากมีเวลาไม่มากแค่ 12 ชั่วโมง ก็พอทำให้เราอิ่มไปกับความโรแมนติกของเมืองนี้ได้เช่นกัน

หมู่เกาะโอบล้อมโดยผืนน้ำ

          ด้วยเศรษฐกิจหลักของเมืองขึ้นอยู่กับการท่องเที่ยว เราจึงสามารถสนุกกับการเที่ยวเวนิสได้ กับเทศกาลตลอดทั้งปี ทั้งเทศกาลดัง คานิวัลหน้ากาก (Carnevale di venezia) งานแข่งเรือ (Vogalonga) งาน Christmas in the Lagoon แต่เทศกาลสำคัญที่ทำให้เวนิสโดดเด่นทัดเทียมกับเมืองอื่นๆ ในอิตาลี ก็เห็นจะเป็นเทศกาลศิลปะที่ยิ่งใหญ่และเก่าแก่ที่สุดของโลกนาม ‘เวนิส เบียนนาเล่’ Venice Biennale (คำว่า Biennale แปลว่า ทุกสองปี) เมืองทั้งเมืองจะถูกเนรมิตรให้เป็นแกลอรีกลางแจ้ง และตึกอาคารต่างๆ ก็จะแปลงร่างเป็นศาลา (Sala) ให้ประเทศต่างๆ ได้นำเสนอผลงานศิลปะ สำหรับปีนี้งาน Venice Biennale 2019 เพิ่งเริ่มขึ้นในวันที่ 11 พฤษภาคม ที่ผ่านมา และลากยาวไปถึงปลายเดือนพฤศจิกายนเลยทีเดียว (แต่ไม่ว่ามีแผนจะมาเยือนเวนิสช่วงใหน กลิ่นอายของงานศิลป์ก็ยังสอดผสานอยู่กับเมืองอย่างลงตัว แทบจะเรียกได้ว่า ศิลปะเป็นอีกหนึ่งลมหายใจของเวนิส)  

ผลงานศิลปะจาก Venice Biennale ในครั้งก่อน

กิจกรรมที่สำคัญที่ห้ามพลาดหากมาเยือนเวนิส คือการชมสถาปัตยกรรมในสไตล์เวเนเชียน ที่ซ่อนอยู่ตามเกาะแก่งต่างๆ บน ‘เรือกอนโดลา’ ระหว่างทาง จะมีเสียงร้องเพลงอิตาเลียนที่ขับกล่อมโดยเจ้าของเรือ ช่วยเพิ่มบรรยากาศได้เป็นอย่างดี  แม้กลิ่นคลองในบางจุดจะไม่ค่อยน่าอภิรมย์นัก แต่ภาพงามๆ ก็พอกลบกลิ่นไปได้บ้าง

ชมเมืองบนเรือ กอนโดลา

เราเริ่มสำรวจเมืองที่ ‘คลองใหญ่’ หรือ Canal Grande ตัวคลองไหลผ่านใจกลางเมืองเวนิส ในลักษณะคล้ายรูปตัวเอส (S) กลับหัว ปากคลองเริ่มต้นบริเวณหน้าสถานีรถไฟไหลทะลุออกบริเวณแอ่งซันมาร์โก ตลอดสองฝั่งคลองรายล้อมด้วยอาคารสถาปัตยกรรมงดงามอันเป็นมรดกความรุ่งเรือง ตั้งแต่ยุคสาธารณรัฐเวนิสเรืองอำนาจ  

เรือกอนโดลา เอกลักษณ์ของเวนิส

หลังจาก 40 นาที บนกอนโดลา เรามาจอดเทียบท่าที่ ‘Gallerie dell’Accademia’ พิพิธภัณฑ์ศิลป์ในอาคารอายุกว่า 200 ปี ว่ากันว่าถ้าปารีสมี ลูฟ (Louvre) ที่เวนิสก็มีแกลอรีแห่งนี้เป็นที่เชิดหน้าชูตา แม้พื้นที่จะไม่ได้ใหญ่มากนัก แต่ก็ได้เก็บรวบรวมผลงานชั้นยอดที่ท่านนโปเลียนกวาดมาจากโบสถ์ วิหาร และคอนเเวนต์ นำมาจัดเก็บที่นี่ตั้งแต่ปี ค.ศ.1807  ภายในมีห้องศิลปินเอกอย่าง เบลลีนี (Belleni) และ คาปาซิโอ (Capaccio) ทั้งภาพวาด รูปปั้น คอลเลกชันหลัก ถูกจัดแสดงบนพื้นที่กะทัดรัด แต่คุณภาพคับแก้ว ประหนึ่งกาแฟเอสเปรสโซช็อตเล็กแต่เข้มข้นสไตล์อิตาเลียน

ผลงานศิลปะใน  Gallerie dell’Accademia

ผลงานศิลปะใน Gallerie dell’Accademia

เราเดินลัดเลาะตามสะพานไปอีกไม่ไกล จะพบกับจุดศูนย์กลางความเจริญของหมู่เกาะแห่งนี้ ที่ลานกลางเมือง ประกอบด้วยกลุ่มอาคารและพิพิธภัณฑ์มากมาย เราเดินเข้าชมสถานที่แรกที่ตั้งตระหง่าน ต้อนรับใกล้ท่าเรือ คือ ‘พระราชวัง Doges Palace’ (Palazzo Ducale ในภาษาท้องถิ่น) พระราชวังแห่งนี้ เคยเป็นของผู้ปกครองเมืองเวนิส  ไฮไลท์ของวังคืออพาร์ทเมนต์ส่วนตัวของท่านเจ้าเมือง ที่ประกอบไปด้วย ห้องประชุม ห้องวุฒิสภา และห้องสภาท้องถิ่น ซึ่งระหว่างทางเดินความเพลิดเพลินจะอยู่ที่ผนัง ซึ่งจัดแสดงภาพศิลปะไว้มากมาย เปรียบเสมือนแกลอรีขนาดใหญ่ ภาพที่โดดเด่นที่สุดเขียนโดย ตินตอเร็ตโต (Tintoretto) เป็นภาพสีน้ำมันขนาดใหญ่รอบโถงอาคาร

พระราชวัง Doges Palace

โถงอาคาร ภายในDoges Palace

ภายนอกอาคารเชื่อมต่อกับมหาวิหารประจำเมือง ซึ่งเมื่อมองลอดหน้าต่างวังออกไป เราจะได้เห็นโดมวิหารยิ่งใหญ่ ด้านหน้าประดับประดาด้วยโมเสกทองระยิบระยับ ยิ่งเมื่อแสงตะวันสาดส่อง ยิ่งทำให้ทองเรืองรอง ถึงขั้นได้รับสมญาว่า ‘Chiesa d’Oro’ หรือ ‘โบสถ์ทอง’

มหาวิหารซันมาร์โก มองจาก Doges Palace

‘มหาวิหารซันมาร์โก’  (Basilica Cattedrale Patriarcale di San Marco) คือชื่อเต็มยศของโบสถ์ทอง  โบสถ์โรมันคาทอลิกแห่งนี้สร้างด้วยสถาปัตยกรรมไบแซนไทน์ ตั้งอยู่กลางจตุรัสซันมาร์โก รอบโบสถ์ประดับตกแต่ง ด้วยโมเสกสไตล์ไบแซนไทน์ รายล้อมด้วยประติมากรรมที่แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ อำนาจ และความรุ่งเรือง มั่งคั่งของเวนิสนับตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 11 ใกล้ๆ กันนั้นเป็น “หอระฆังซันมาร์โก” (Campanile di San Marco) มีความสูงถึง 98.6 เมตร ส่วนบนของหอระฆังเป็นลูกบาศก์สี่เหลี่ยมที่มีรูปหน้าของสิงโตประดับอยู่โดยรอบ อันเป็นสัญลักษณ์ของสาธารณรัฐเวนิส และตัวแทนผู้หญิงของเมืองเวนิส ที่นี่คือหนึ่งจุดที่สามารถชมเวนิสได้ครบจากมุมสูง  

หอระฆังซันมาร์โก (Campanile di San Marco)

นอกจากนี้ ตามหมู่ตึกรอบจัตุรัสกลางเมือง ยังเป็นที่ตั้งของอีกหลายแกลอรี อาทิ “Museo Correr” พื้นที่เก่าของราชวังสไตล์นีโอคลาสสิก (Neoclassical Palace) จัดแสดงศิลปะที่เกี่ยวกับวิถีชีวิตของเวนิส ทั้งการเมือง ศาสนา อำนาจ การค้า ซึ่งถ่ายทอดเป็นภาพศิลปะที่งดงาม  

เมืองจากมุมสูง

หากเมื่อยล้า จะจิบกาแฟอิตาเลียน หรือเปอร์เซโก้ (ไวน์ขาวบับเบิ้ลสัญชาติอิตาเลียน) สักแก้วยามบ่าย ก็นับว่าช่วยเติมพลังได้ดี  ที่ “Caffe Florian” ร้านดังเดิมของเวนิส เราจะได้จิบเครื่องดื่มรสกลมกล่อม เคล้าเสียงเพลงจากวงดนตรีคลาสสิก (ย้ำว่ามาทั้งวงและแต่งตัวซะเต็มยศเลย) บรรยากาศในร้าน ชวนเราหลุดไปในเวนิสเมื่อครั้งศตวรรษที่ 11 และบรรยากาศนอกร้านก็สุดชิล นั่งเพลินเพียงหนึ่งอึดใจ อาจทำให้เราอิ่มอารมณ์ไปนานอีกหลายวัน   

จิบกาแฟที่ลานกลางเมือง

 Caffe Florian

สำหรับคอศิลปะสมัยใหม่ ที่เวนิสก็ยังมีอีกหลายสถานที่ให้ได้เยี่ยมชม เช่น คอลเลกชันเด็ด ที่ “Peggy Guggenheim Museum” แม้ตัวตึกจะเป็นสิ่งก่อสร้างตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 18 แต่ภายในจัดแสดงผลงานที่โดดเด่น ของศิลปินอิตาเลียนแนวฟิวเจอร์ริสติค (Italian Futuristic) รวมไปถึงศิลปินอเมริกันสมัยใหม่ (American Modernism) ผลงานจึงล้ำสมัยออกแนวนามธรรม หรือ Abstract Art

อีกสถานที่ที่น่าเยี่ยมชมสำหรับศิลปะสมัยใหม่ คือพื้นที่ศิลปะในร้านแบรนด์เนมชื่อดังอย่าง “Espace Louis Vuitton Venezia” นับตั้งแต่สถานที่นี้เปิดตัวในปี ค.ศ.2013 ไม่เพียงแต่นำเสนอผลงานศิลปะได้อย่างน่าสนใจ แต่ยังผสานประวัติศาสตร์ศิลป์ ของเมืองไว้ในพื้นที่ได้อย่างลงตัวอีกด้วย ไม่ว่าคุณจะเป็นคอศิลปะหรือไม่ แต่เชื่อเถอะว่าเสน่ห์ศิลปะของที่นี่ไม่ยากนักที่จะเข้าใจ

ตามตรอกซอกซอยของเวนิส

ตามตรอกซอกซอยของเวนิสยังมีโบสถ์ วิหาร ชุมชน และร้านรวง ซ่อนตัวอยู่มากมาย ทริปนี้เรามี Google Map เป็นเพื่อนร่วมทาง ลองเดินหลงๆ ให้แผนที่นำเราไปในย่านที่ปราศจากนักท่องเที่ยว เราจะได้สัมผัสถึงความเป็นเวนิสแบบดั้งเดิม แม้ว่าพื้นที่เชิงพาณิชย์จะรุกล้ำความเป็นอยู่ของคนท้องถิ่น แต่ในตรอกซอกซอยเล็กๆ ที่เรา (ตั้งใจ) หลงไป เรายังได้เห็นรอยยิ้มของแก็งค์คุณป้า ที่ออกมาพบปะสังสรรค์กันในช่วงกลางวันในลานชุมชน เด็กๆ เตะฟุตบอลเล่นกัน หยอกกันด้วยเสียงสนุกสนาน แม้เราจะฟังไม่เข้าใจ แต่รอยยิ้มของชุมชนเป็นภาษาสากลที่ทำให้เราสัมผัสได้ถึงเสน่ห์ความน่ารัก และมุมโรแมนติกเล็กๆ ของเวนิสได้ดีทีเดียว   

ลานหน้าโบถส์

ถ้าเปรียบทะเลอาเดรียตริกทางตอนเหนือของอิตาลีเป็นผืนผ้าใบศิลปะ ‘เวนิส’ คงเป็นผลงานชิ้นงาม ที่ถูกบรรจงแต้มลงบนผืนผ้าใบนี้ และคอยเชื้อเชิญผู้คนจากทั่วโลกกว่า 33 ล้านคนต่อปี ให้มาเยี่ยมชม

ลองมาสัมผัสความโรแมนติกน่ารักๆ ของเวนิสสักครั้ง แล้วจะหลงรักเวนิส อย่างแน่นอน    

Tags: ,