แม้ฝนจะพรำลงมากลางสัปดาห์ แต่ดูเหมือนจะไม่ช่วยลดอุณหภูมิข่าวการเมืองและเศรษฐกิจลงไปได้ ขนาดเรื่องราวใสๆ ของเหล่าไอดอลสาว ก็ยังมีเหตุให้ต้องตีข่าวปิงปองกันจนร้อนฉ่า เรียกได้ว่าขนาดพระจันทร์ยังกลายเป็นสีเลือดไปได้

เช่นเคย The Momentum ประมวลเรื่องราวตลอดสัปดาห์ ว่าเรื่องราวหมวดหมู่ใดติดเทรนดิ้งสัปดาห์นี้บ้าง

1. กระแสน้องใหม่มาแรง #MBK39

หนึ่งในแฮชแท็กทวิตเตอร์ที่เป็นเทรนดิ้งยอดนิยมจากเมืองไทยสัปดาห์นี้ ก็คือแฮชแท็ค #MBK39

ฟังดูคล้ายชื่อวงดนตรีที่มีไอดอลมากมาย แต่จริงๆ แล้วมันคือโค้ดย่อที่หมายถึงคนจำนวน 39 คนที่ถูกตั้งข้อหา จากการไปชุมนุมที่หน้าห้างสรรพสินค้า MBK

ที่มาของเรื่อง เกิดต่อเนื่องหลังสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ผ่านร่างกฎหมายสภาผู้แทนราษฎร ที่ทำให้เลื่อนการเลือกตั้งออกไปเป็นปี 2562 ถือเป็นการผัดวันเลือกตั้งให้เลื่อนออกไปอีกแล้ว นักกิจกรรมนำโดยกลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย และ สตาร์ท อัป พีเพิล จึงนัดชุมนุมกันในกิจกรรม ‘รวมพลคนอยากเลือกตั้ง’ ที่สกายวอล์กหน้าห้าง MBK เมื่อวันที่ 27 ม.ค. ที่ผ่านมา

การนัดรวมตัวกันอย่างเปิดเผยในที่โล่งแจ้งเช่นนี้ไม่ใช่แค่การกระตุกหนวดเสือธรรมดา เพราะลำพังการรวมตัวทางการเมืองเกินห้าคน คสช. ก็เสี่ยงจะเป็นความผิด แต่มวลชนก็ยังแสดงท่าทีแข็งกร้าว ประกาศด้วยว่าจะนัดมาชุมนุมต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ทุกๆ วันเสาร์

จากนั้น พ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ นายทหารปฏิบัติการประจำกองบัญชาการกองทัพบก ปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าส่วนปฏิบัติการ คณะทำงานด้านกฎหมาย ส่วนงานการรักษาความสงบแห่งชาติ ได้รับมอบอำนาจจาก คสช. มาฟ้องคดีผู้ชุมนุมเจ็ดคน ในข้อหาฝ่าฝืนพ.ร.บ.ชุมนุมฯ เนื่องจากการชุมนุมนี้อยู่ใกล้เขตพระราชฐานในระยะ 150 เมตร หากมีความผิดก็ต้องโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท และตั้งข้อหาว่ามีความผิดฐานยุยงปลุกปั่นตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 ด้วย

แต่ยังไม่จบแค่นั้น ถัดจากรายชื่อ 7 คนแรก ก็ตามมาด้วยลิสต์รายชื่อรอบสอง เพิ่มมาอีก 32 ราย ที่ถูกตั้งข้อหาเฉพาะการชุมนุมในเขตพระราชฐาน รวมจำนวนผู้ต้องหาทั้งหมดมี 39 คน จนเกิดเป็นแฮชแท็ก #MBK39 ที่กลายเป็นเทรนด์ในขณะนี้

หลังเกิดการตั้งข้อหาหมู่ ก็ทำให้เกิดความเคลื่อนไหวจากนักศึกษาและนักกิจกรรม เช่น กลุ่มศิลปากรเสรีเพื่อประชาธิปไตย เผยแพร่ภาพถ่ายให้กำลังใจพร้อมข้อความว่า “อยากเลือกตั้งไม่ผิด ประชาชนมีสิทธิส่งเสียง” ด้านสโมสรนิสิต คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยบูรพา ก็แถลงผ่านเฟซบุ๊กแสดงจุดยืนว่า คำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 3/2558 เปิดให้เจ้าหน้าที่ใช้ดุลพินิจกว้างขวาง จนกลายเป็นเครื่องมือสำคัญทางกฎหมายที่นำมาใช้ละเมิดสิทธิ และเห็นว่าคำสั่งหัวหน้า คสช. ฉบับนี้ขัดต่อรัฐธรรมนูญและหลักนิติรัฐ ส่วนสภานิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและสภานักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก็แถลงยืนยันในสิทธิการชุมนุมโดยสงบละปราศจากอาวุธ แสดงความกังวล และเรียกร้องให้ คสช.ทบทวนบทบาท

แต่สมาชิกของ #MBK39 อาจไม่หยุดแค่นี้ เพราะ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. ด้านความมั่นคงและกิจการพิเศษ เผยออกมาว่า งานนี้จะมีขยายผลไปถึงคนอื่นๆ เพิ่มอีก 66 คน ที่เจ้าหน้าที่สันติบาลถ่ายภาพเหตุการณ์เอาไว้ ตอนนี้กำลังแกะรอยตามหาบุคคลในภาพด้วย

2. ปรากฏการณ์ Super blue blood moon ภาพชัดของวิทยาศาสตร์และความเชื่อในเมืองไทย

นับเป็นความเก๋ของพระจันทร์ในรอบ 152 ปี สำหรับปรากฏการณ์ที่นาซ่าเรียกว่า super blue blood moon ในคืนวันที่ 31 ม.ค. ที่ผ่านมา ที่เกิด ‘พระจันทร์สีเลือด’ หรือจันทรุปราคาเต็มดวง พร้อมๆ กับ

‘บลูมูน’ หรือจันทร์เต็มดวงรอบที่สองของเดือน และ ‘ซูเปอร์มูน’ หรือพระจันทร์โคจรใกล้โลกมากที่สุด

ปรากฏการณ์นี้อยู่ในความสนใจของคนหมู่มาก คนแห่ชมด้วยตาเปล่า หลายโรงเรียนจัดกิจกรรมค่ายดาราศาสตร์ให้นักเรียนได้ร่วมสังเกตการณ์ และหลายพื้นที่ก็บันทึกภาพตั้งแต่ต้นจนจบ เช่นในกรุ๊ป Night watch: Astrophotography and Nightscape photography Group ที่ผู้ใช้เฟซบุ๊ก Vachira Thomas เผยแพร่ภาพดวงจันทร์ที่บันทึกเอาไว้ตั้งแต่เวลา 18.28 – 21.36 ซึ่งมีผู้แชร์ไปมากกว่าหมื่นครั้ง และทำให้เราเห็นการเคลื่อนตัวของเงาของโลกที่ซ้อนลงบนดวงจันทร์อย่างชัดเจน

นอกจากคำอธิบายทางดาราศาสตร์แล้ว เรายังเห็นการใช้ศาสตร์อื่นมาหยิบจับกับ super blue blood moon เช่นมุมมองจากหลวงพี่อุเทน เจ้าอาวาสวัดท่าไม้ ที่กล่าวผ่านไทยรัฐออนไลน์ว่าพระจันทร์สีเลือดหมายถึงลางร้าย โดยเฉพาะกับคน 4 ราศี พร้อมให้ทางแก้เป็นคาถาภาณจันทร์และการตั้งสติ ขณะที่ก็มีศาสตร์ความเชื่ออื่นๆ ที่แนะนำให้ถือโอกาสบูชาพระจันทร์แทนที่จะหวั่นกลัว

ทำให้ในไลฟ์เฟซบุ๊กของสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ นอกจากคอมเมนต์ชื่นชมความงามของปรากฏการณ์แล้ว ยังเต็มไปด้วยคอมเมนต์ขอพรจากดวงจันทร์ให้มั่งมีศรีสุขหมดทุกข์โศกโรคภัย

จึงเป็นเรื่องน่าสนุกทีเดียว ที่เราได้เห็นว่าดวงจันทร์มีปฏิสัมพันธ์กับคนบนโลกในหลายแง่มุม ทั้งทางวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรม และคราวนี้ก็เป็นอีกครั้งที่เราได้เห็นการมีอยู่ร่วมกันของต่างศาสตร์ต่างความเชื่ออย่างชัดเจน

3. หัวร้อนมาจากไหน นักแต่งเพลงรุ่นใหญ่ฉะ BNK48 ส่วนเจนนิษฏ์ตอบกลับนิ่มๆ

“เผื่อเธอจะคิดผิด อยากคิดใหม่ เปลี่ยนใจได้ซักวัน”

นั่นคือหนึ่งในเพลงที่ พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา นักร้อง นักแต่งเพลง และนักดนตรี อดีตสมาชิกวงแมคอินทอชและวงตาวัน ซึ่งขณะนี้อายุ 55 ปี มีส่วนสร้างสรรค์ทำนองและเรียบเรียงดนตรี เขายังเป็นผู้ที่สร้างสรรค์งานเพลงให้ศิลปินมากมายนับร้อยเพลง ทั้งแอ๊ด คาราบาว อัสนี-วสันต์ นูโว ไมโคร ฯลฯ โอโหเยอะมาก พูดตรงนี้คงจะรบกวนพื้นที่ข่าวอื่นๆ

แต่ที่ทำให้โลกออนไลน์ ‘ใจหายไปเลย’ ก็คือสำนวนเผ็ดร้อนเกรี้ยวกราดที่เขาฝากไว้ในโลกโซเชียลในเวลาสั้นๆ วิจารณ์วงไอดอลดาวเด่น BNK48 ซึ่งเพิ่งกระโดดมาเฉิดฉายในวงการเพลงไม่นาน ว่า

“ปลื้มมาก…ให้ตายห่าสิเอ้า! ไม่พ่อก็แม่ของเด็กพวกนี้ข้างใดข้างหนึ่งหรือไม่ก็ทั้งสองเลย คงเป็นญี่ปุ่นหรือเกาหลี น้องก็เลยไม่อยากเป็นไทยกัน โอ..อินเตอร์ชิบหาย.. เป็นไทยมันเชยไง มันจริงไป มันเลยสะเหร่อ ไม่ปลอม ไม่พลาสติค ไม่ซิลิโคน..นักร้องแม่งแห่กันมาตั้ง 28 คน ยิ่งกว่าทีมฟุตบอล หรือว่ามันเตะฟุตบอลกันด้วยควบคู่กันไป มันคงจะต้องร้องเพลงกันดีมาก ๆ แน่ เพราะเพลงนึงสามสี่นาที มันคงร้องกันได้แค่คนละประโยค.. โอ้ แม่งซ้อมกันสักหกเดือน ร้องประโยคเดียว แต่ต้องซ้อมเต้นเยอะหน่อย เพราะท่ายากฉิบหาย เกือบจะยากกว่าท่าเชียร์ลีดเดอร์เชียวมึง แล้วต้องเต้นให้ 28 คนแม่งพร้อมกัน เป๊ะ ๆ โห.. บัลเลต์บอลชอยแม่งยังทำไม่ได้อย่างนี้ โอ..ปลื้มชิบหาย เด็กไทย ศิลปินไทย ในเงื้อมมือพวกมึง โห..ปลื้มจริงๆ”

แน่นอนว่ากระแสตีกลับจะร้อนแรงไม่แพ้กัน จนในที่สุดเขาก็ต้องลบโพสต์นี้ทิ้งไป ต่อให้จะโพสต์โดยตั้งค่าความเป็นส่วนตัวแบบ ‘เฉพาะเพื่อน’ ตั้งแต่ต้น แต่โลกออนไลน์ไม่เคยมีคำว่า ‘เฉพาะเพื่อน’ โดยเฉพาะเมื่อพาดพิงบุคคลที่ 3 ซึ่งกำลังเป็นที่พูดถึงอย่างกว้างขวาง และมีฟังก์ชันการแคปหน้าจอ

นอกจากโพสต์ต้นตอเจ้ากรรมนั้นแล้ว ก็ยังมี ปล. ข้างท้ายที่บอกว่า “อย่าลืมไปเล่นหนังโป๊นะน้องตามสูตร” ที่ถูกลบทิ้งไป ทำให้หลายๆ คนฮือฮาและก่นด่า ไม่ว่าจะเป็นแฟน BNK48 หรือไม่ เพราะดูๆ แล้วออกจะใส่อารมณ์และด่วนตัดสินกันเกินเบอร์ไปหน่อย

ท้ายที่สุด เว็บไซต์ข่าวสด ตามไปสัมภาษณ์ เจนนิษฐ์ BNK48 สมาชิกคนหนึ่งของวง ว่าคิดอย่างไรกับข้อความดังกล่าว โดยถามว่า ข้อความท้ายโพสต์ที่ระบุว่า “บั้นปลายเล่นหนังโป๊นะน้อง ตามสูตร” รู้สึกว่าแรงไปไหม?

เจนนิษฐ์ก็ตอบกลับมาว่า “หนูไม่โกรธนะคะ เพราะว่าในประเทศญี่ปุ่นมันก็มีอาชีพนี้จริงๆ และก็เป็นอาชีพสุจริต …อาจจะมีนิดนึงว่าเขาคิดไปไกลขนาดนี้เลยหรอ” เรียกได้ว่าตอบได้น่ารักแต่แอบเจ็บๆ คันๆ บอกไม่ถูก

อ่านบทสัมภาษณ์ เจนนิษฐ์ BNK48 ได้ทาง  https://themomentum.co/jennis-bnk48/

4. โพลล์ออนไลน์ลงมติเอกฉันท์ หมดเวลาของลุงป้อมแล้ว!

ไม่จบง่ายๆ สำหรับนาฬิกาหรูหลายเรือนของพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองหัวหน้าคสช.

เรื่องนี้กระทบชิ่งไปถึง ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อดีตผู้อำนวยการนิด้าโพล ซึ่งประกาศจะลาออกจากตำแหน่ง เพราะถูกจำกัดเสรีภาพทางวิชาการหลังจากอธิการบดีนิด้าสั่งระงับการเผยแพร่ผลโพลล์เรื่อง ‘นาฬิกาหรูที่ยืมเพื่อน บิดเบือนหรือพูดความจริง?’ ซึ่งผลสำรวจระบุว่า 85 เปอร์เซ็นต์ไม่เชื่อว่านาฬิกาทั้งหมดยืมเพื่อนมา

ในวันเดียวกัน เพลง ‘คุกกี้เสี่ยงทาย’ เวอร์ชันแซ็วนาฬิกาหรู ก็ปรากฏภาพและเสียงในไลน์ ก่อนจะถูกอัปโหลดขึ้นยูทูบ เรียกรอยยิ้มและยอดวิวตีคู่มากับเพลง ‘เพื่อนโคตรสนิท’ ซึ่งมีคนเปิดฟังแล้วมากกว่า 355,000 ครั้ง

ทว่าจุดเริ่มต้นของพายุลูกใหญ่ เกิดขึ้นหลังจากคำพูดในงานสานสัมพันธ์สื่อมวลชนสายทหารเมื่อวันที่ 31 ม.ค. โดยพลเอกประวิตรกล่าวบนเวทีว่า “ถ้าประชาชนไม่ต้องการ ผมก็พร้อมที่จะไปจากตำแหน่งนี้”

หลังจากนั้นไม่กี่อึดใจ แคมเปญบนเว็บไซต์ change.org หัวข้อ ‘อยากให้รองนายกประวิตรฯ ลาออก ตามที่ท่านได้กล่าวไว้เมื่อวันที่ 31 ม.ค. 61 ที่กระทรวงกลาโหม’ ก็เกิดขึ้นตามมา โดยมีผู้ลงชื่อสนับสนุนให้พลเอกประวิตรลาออกจากตำแหน่งแล้ว 48,635 คน (เวลา 15.37 น. ของวันที่ 2 ก.พ.)  

ในวันเดียวกัน เพจ ‘ที่นี่ ThaiPBS’ ก็สอบถามความคิดเห็นของแฟนเพจว่าอยากให้บิ๊กป้อมอยู่ หรืออยากให้บิ๊กป้อมไป โดยเปิดแสดงความคิดเห็นเป็นเวลา 24 ชั่วโมง ตั้งแต่วันที่ 31 ม.ค. ถึง 1 ก.พ. และมีผู้แสดงความคิดเห็นประมาณ 192,000 รายชื่อ ลงคะแนน ‘อยากให้อยู่’ ประมาณ 8,500 รายชื่อ (4 เปอร์เซ็นต์) ลงคะแนน ‘อยากให้ไป’ ประมาณ 184,000 รายชื่อ (96 เปอร์เซ็นต์)

ขณะที่เพจ ‘Drama-addict’ ก็สำรวจความคิดเห็นเช่นกัน และประกาศผลเมื่อเย็นวันที่ 1 ก.พ. โดยทางเพจบอกว่ามีผู้ร่วมแสดงความคิดเห็นกว่า 70,000 คน และมีคนบอกว่าอยากให้พลเอกประวิตรไปพักผ่อน 95 เปอร์เซ็นต์

ส่วนเพจ ‘CSI LA’ ต้นทางของการขุดคุ้ยเรื่องนี้ ก็ทำโพลล์สำรวจความเห็นเช่นกัน เริ่มสำรวจเมื่อช่วงเที่ยงของวันที่ 1 ก.พ. จากผู้ตอบแบบสำรวจ 14,297 คน มีคนที่อยากให้พลเอกประวิตรลาออกจากตำแหน่ง 7,810 คน (55 เปอร์เซ็นต์) (ข้อมูลเมื่อ 2 ก.พ.)

นอกจากนี้ เรื่องนาฬิกายังลามไปถึงงานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 3 ก.พ. โดยมีรายงานข่าวว่าเจ้าหน้าที่ทหารจากกองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ม.2 รอ.) จะเข้าตรวจหุ่นล้อการเมืองของนักศึกษาธรรมศาสตร์ หลังจาก ‘ขอความร่วมมือ’ ไปยังนักศึกษาว่าขอให้ละเว้นเรื่องนาฬิกาและหุ่นที่มีลักษณะคล้ายผู้นำ

ขณะที่นิสิตผู้รับผิดชอบการทำขบวนสะท้อนสังคมของจุฬาฯ ก็บอกกับผู้สื่อข่าวว่า ตอนที่ส่งแบบร่างว่าจะมีหุ่นอะไรบ้างให้กับคณะกรรมการจัดงานของมหาวิทยาลัยตรวจ ก็ถูกห้ามไม่ให้มีข้อความที่เป็นคีย์เวิร์ดสำคัญ รวมถึงห้ามใส่แหวนและนาฬิกาข้อมือ

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้น้องๆ นิสิต-นักศึกษาจะอวดโฉม ‘นาฬิกา’ ในสนามศุภฯ ไม่ได้ แต่สำหรับภาพ ‘นาฬิกาปลุกยี่ห้อโรเล็กซ์’ ผลงานของ Headache Stencil ศิลปินแนวสตรีตอาร์ต ซึ่งโพสต์ภาพผลงานผ่านเฟซบุ๊กในช่วงดึกของวันที่ 30 ม.ค. ก็แพร่กระจายในโลกออนไลน์ไปไกลโขแล้ว

ผลงานชิ้นนี้มีชีวิตอยู่บนตอม่อของสะพานลอยแห่งหนึ่งเกือบสี่วัน ก่อนที่มันจะถูก ‘ลบ’ เมื่อช่วงเย็นของวันที่ 2 ก.พ.

5. ตำรวจชี้แจง ครูปรีชาเป็นเจ้าของหวย 30 ล้าน

หลังจากเริ่มสอบสวนคดีนี้ตั้งแต่วันที่ 12 ธ.ค. 2560 พล.ต.ท.กิตติพงษ์ เงามุข ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 ก็ตั้งโต๊ะแถลงสรุปคดีเมื่อวันที่ 31 ม.ค. ที่ผ่านมา โดยชี้แจงสามประเด็นสำคัญ ดังนี้

หนึ่ง สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลจำหน่ายลอตเตอรี่มายังยี่ปั๊วสนามบินน้ำแล้วรวมชุด โดยยี่ปั๊วห้าเจ้าขายให้ยี่ปั๊วสนามบินน้ำ จากนั้นแผงลอตเตอรี่สนามบินน้ำขายให้แม่ค้าที่ตลาดเรดซิตี้ อ.เมืองกาญจนบุรี จากนั้นแม่ค้าคนที่หนึ่งขายต่อให้แม่ค้าอีกคนที่เปิดแผงในตลาดเรดซิตี้

สอง แม่ค้าอีกคนขายให้ครูปรีชาจริงตามพยานหลักฐาน

สาม จากการสืบสวน ร.ต.ท.จรูญไม่ยืนยันว่าซื้อจากแม่ค้าคนใด แต่เจ้าหน้าที่มีพยานยืนยันว่า ร.ต.ท.จรูญ เก็บได้ จึงเชื่อว่า ร.ต.ท.จรูญเก็บลอตเตอรี่ได้ ซึ่งทีมสอบสวนจะออกหมายเรียก ร.ต.ท.จรูญไปแจ้งข้อกล่าวหา ‘ยักยอกทรัพย์’ หรือ ‘รับของโจร’ ขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นผู้เก็บลอตเตอรี่ได้

เมื่อผลการสอบสวนออกมาแบบนี้ โลกออนไลน์ก็ฮือฮากันพอสมควร เพราะก่อนหน้านี้หลักฐานของทางฝั่ง ร.ต.ท.จรูญดูจะมีน้ำหนักมากกว่า

หลังจากทราบผลคดี ร.ต.ท.จรูญก็ให้สัมภาษณ์ที่บ้านพักในจังหวัดกาญจนบุรี โดยยืนยันว่าตนเองคือคนซื้อลอตเตอรี่ พร้อมกับยืนยันว่ามีพยานหลักฐานหมดแล้ว แต่ยังไม่ได้นำออกมาเปิดเผย ขณะที่ทางฝ่ายครูปรีชาก็ยืนยันว่าตนเองเป็นเจ้าของลอตเตอรี่ โดยเขียนแถลงการณ์ตอนหนึ่งว่า “ผมเชื่อมั่นมาโดยตลอดและยืนยันว่าลอตเตอรี่ชุดนี้เป็นของผม”

ทางด้านนายษิทรา เบี้ยบังเกิด ทนายความของ ร.ต.ท.จรูญ ก็กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่าตนมั่นใจว่าจะชนะคดีนี้แน่นอน เนื่องจากมีพยานหลักฐานที่สำคัญอีกหลายอย่าง และยังบอกผ่านเฟซบุ๊กด้วยว่า “ผมไม่มีความหนักใจในการต่อสู้คดีแม้แต่น้อย อยากให้ขึ้นศาลเร็วๆ ด้วยซ้ำ”

สำหรับกรณีนี้ ทนายวรวัฒน์ บุญฤทธิ์ ผู้เชี่ยวชาญทางด้านกฎหมาย ให้ความเห็นไว้ว่า หากอัยการสั่งฟ้องและเรื่องไปถึงมือศาล แต่ถ้าพิสูจน์ได้ว่าลอตเตอรี่เป็นของใคร ก็ต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถูกดำเนินคดี โดยฝ่ายครูปรีชาจะถูกข้อหาแจ้งความเท็จและเบิกความเท็จ ขณะที่ฝ่าย ร.ต.ท.จรูญจะถูกข้อหายักยอกทรัพย์ที่หายไป

เรียกได้ว่าไม่มีเจ๊า มีแต่เจ๊ง ทั้งสองฝ่ายจึงไม่มีหนทางให้ถอยไปไหนแล้ว

6. หนูรัตน์ทำตาสองชั้น ความขำแบบไม่สนพีซี กับการตลาดยุคใหม่

“ไม่เหมียนเดิมแล้วจ้า วิภาวดีมีตาสองชั้นแล้ว!” ถ้าใครที่ติดตาม ‘หนูรัตน์’ อยู่ น่าจะสังหรณ์ได้ว่าต่อจากนี้เราอาจจะเห็นหนูรัตน์หน้าเปลี่ยนไปอีกเรื่อยๆ ก็เป็นได้

ที่จริงการที่เน็ตไอดอลคนหนึ่งไปทำศัลยกรรมตาสองชั้นไม่น่าเป็นเรื่องเทรนดิ้งอะไร แต่สำหรับกรณีหนูรัตน์ หรือผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ ‘ธิดาพร ชาวคูเวียง’ ที่มักจะถูกนำเรื่องราวไปเผยแพร่ในเพจ ‘หนูรัตน์’ ต่ออีกทีหนึ่ง น่าสนใจที่ว่า ชาวเน็ตจำนวนมากเสพคอนเทนต์หนูรัตน์ด้วยอารมณ์ขันที่มีต่อผู้บกพร่องทางการได้ยิน (ตามที่ฝ่ายหนูรัตน์ให้ข้อมูลเอง) โดยฝังกลบเรื่อง political correctness ไปแบบไม่แคร์ไม่สน

เมื่อมีผู้เสพจำนวนมาก การขายของก็ตามมา ระยะหลังหนูรัตน์ได้รับงานโฆษณาหลายชิ้น เช่นงานขายชุดนักศึกษาในบท ‘ไพริน’ หรืองานโฆษณาโปรดักชั่นจริงจังของสินค้าประเภทเสริมความงาม ยังไม่นับงานไทอินในไลฟ์สดต่างๆ และคราวนี้เธอก็มาไกลถึงขั้นการรับสปอนเซอร์คลินิกศัลยกรรมความงาม ที่หนูรัตน์เองต้องเข้ารับการผ่าตัดเปลือกตาเพื่อให้ตัวเองเข้าใกล้กรอบความงามที่คนส่วนใหญ่เชื่อมากขึ้น

ในมุมมองของผู้เสพ นอกจากเราจะเห็นวิธีทำการตลาดและวิธีคิดในการเล่าเรื่องของหลายแบรนด์ เรายังได้แอบสังเกตและตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับผลประโยชน์ที่ตัวหนูรัตน์เองได้รับ โดยเราไม่มีทางรู้เลยว่าเม็ดเงินได้ไปถึงหนูรัตน์ผู้ดูเหมือนจะมีปัญหาด้านการติดต่อสื่อสารมากน้อยแค่ไหน

ซึ่งทั้งหมดนั้นอยู่นอกเหนือการควบคุมหรือความรับผิดชอบของเราๆ เพียงแต่การติดตามเน็ตไอดอลคนนี้ ทำให้เราได้ตั้งคำถามหลายข้อทั้งกับตัวเอง ตัวบุคคล และสังคม ในขณะที่บางคนไม่อาจห้ามตัวเองไม่ให้ขำได้ หรือบางคนจะไม่ขำด้วยก็ตาม

7. ไทยพาณิชย์เกือบวุ่น พนักงานนัดประท้วง เหตุซีอีโอประกาศลดคน

เกือบเป็นเรื่องราวใหญ่โตหลังจาก อาทิตย์ นันทวิทยา กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารธนาคารไทยพาณิชย์พูดถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2018 และเป้าหมายปี 2020 ในงาน SCB VISION 2020 เมื่อจันทร์ที่ 22 ม.ค. 61 ประเด็นที่ร้อนแรงตามมา คือการประกาศลดจำนวนพนักงานจาก 27,000 คน เหลือเพียง 15,000 คน  และลดจำนวนสาขาลงจากที่มีอยู่ 1,153 สาขา เหลือเพียง 400 สาขา ภายใน 3 ปีข้างหน้านี้

ทำให้สหภาพแรงงานไทยพาณิชย์ นำโดยไวทิต ศิริสุวรรณ ประธานสหภาพฯ ออกแถลงการณ์เรียกร้องความเป็นธรรม พร้อมกับเชิญชวนพนักงานและสมาชิกมารวมตัวชุมนุมบริเวณลานน้ำพุ ธนาคารไทยพาณิชย์ สำนักงานใหญ่รัชโยธิน ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 29 ม.ค. 61 เวลา 12.00-12.45 น. เพื่อเรียกร้องกรณีเงินโบนัสและการปรับขึ้นเงินเดือนไม่เป็นธรรม รวมทั้งความกังวลที่ธนาคารประกาศลดขนาดองค์กร โดยจะเตรียมรวมตัวกันทุกวันจนกว่าปัญหาจะได้รับการแก้ไข

ส่งผลให้อาทิตย์ นันทวิทยา กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ รวมทั้งผู้บริหารระดับสูงของธนาคาร ต้องรีบออกมาตัดไฟเสียแต่ต้นลม โดยนัดหารือกับไวทิต ศิริสุวรรณ ประธานสหภาพฯ ก่อนจะได้ข้อสรุปว่า ไม่มีการเลิกจ้างอย่างแน่นอน และหากมีการโยกย้ายปรับเปลี่ยนตำแหน่ง จะให้เวลาพนักงานได้ปรับตัวและเรียนรู้กับงานใหม่ โดยหากมีการลดสาขาลง ก็จะให้พนักงานมีสิทธิเลือกตำแหน่งงาน หรือมีทางเลือกจ่ายเงินชดเชยถ้าลาออกก่อนเกษียณ

นับว่าเป็นการแก้สถานการณ์ที่เร่งด่วนทันใจ เพราะถ้าปล่อยให้ยืดเยื้อหรือมีการประท้วงจริงๆ เกิดขึ้น เชื่อว่ากระทบว่าธนาคารไทยพาณิชย์อย่างแน่นอน

8. เมื่อเต๋อ-ฉันทวิชช์ เอ่ยปากจีบ ใหม่-ดาวิกา และเธอก็ชมเขาว่าเป็นคนแมน 2018

อาจจะเป็นคู่รักคู่ใหม่ในวงการบันเทิงไทยเป็นได้ สำหรับ เต๋อ-ฉันทวิชช์ ธนะเสวี และใหม่-ดาวิกา โฮร์เน่ เมื่อฝ่ายชายเอ่ยปากว่าชอบนางเอกสาว และอยู่ในช่วงพัฒนาความสัมพันธ์ โดยทั้งคู่เริ่มคุยกันมาตั้งแต่ช่วงต้นปี

ความสัมพันธ์ของเต๋อ-ฉันทวิชช์ และใหม่-ดาวิกา มีข่าวออกมาเป็นระยะว่าทั้งซุ่มคบหาดูใจกันมาได้หลายเดือนแล้ว หลังจากเล่นละครด้วยกันในเรื่อง ชายไม่จริงหญิงแท้ และดูเหมือนว่าความสัมพันธ์จะสนิทสนมกันมากกว่าเพื่อนร่วมงาน

ในที่สุดเต๋อ-ฉันทวิชช์ ก็ได้ออกมายืนยันถึงความสัมพันธ์กับใหม่-ดาวิกา ในงานอีเวนต์หนึ่ง โดยฝ่ายชายยอมรับว่ารู้สึกดีกับฝ่ายหญิง และอยู่ในช่วงพูดคุยและศึกษาดูใจกันอยู่

ส่วนนางเอกสาวใหม่-ดาวิกา ก็พูดถึงเต๋อว่าเป็นคนแมน 2018 ที่ออกมาพูดอย่างชัดเจน และให้เกียรติผู้หญิง ส่วนเรื่องที่ว่า ทั้งคู่กำลังศึกษาดูใจกันอยู่ ใหม่ก็บอกว่าตอนนี้อยู่ในช่วงเริ่มต้น ก็คงต้องใช้เวลาในการเรียนรู้และศึกษากันไปก่อน

แฟนคลับของทั้งคู่คงต้องรอลุ้นกันต่อไปว่า นี่จะเป็นคู่รักคนบันเทิงแห่งปี 2018 หรือเปล่า

9. แจน BNK48 จบการศึกษา เพื่อไปต่อในสายอาชีพนางแบบ

เมื่อวันจันทร์ที่ 29 ม.ค. เหล่าโอตะก็พบกับข่าวเซอร์ไพรซ์กันตั้งแต่ต้นสัปดาห์ เมื่อคณะกรรมการ BNK48 ประกาศผ่านคลิปวิดีโอว่า แจน-เจตสุภา เครือแตง หรือ เซนต์แจน จบการศึกษา BNK48 แล้ว ซึ่งในแวดวงรู้กันดีว่าคำคำนี้หมายถึงการลาออกจากวง

เพราะการเป็นไอดอลนั้นก็เหมือนการเข้ามารับโอกาสพัฒนาตัวเองในด้านต่างๆ ในช่วงเวลาหนึ่ง และผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนให้สมาชิกรุ่นต่อไปได้เข้ามาเรื่อยๆ ดูเหมือนวลี ‘จบการศึกษา’ เป็นศัพท์ที่แสดงให้เห็นแง่งามของการเติบโต

และการจบการศึกษาครั้งนี้ก็เช่นกัน เว็บไซต์ GM Live รายงานว่า แจนได้รับโอกาสให้ทำงานเป็นพรีเซนเตอร์และนางแบบที่ญี่ปุ่น ระหว่างที่เธอเดินทางไปถ่ายรายการ เพื่อนร่วมทาง (ออกอากาศทาง MCOT HD) ที่ญี่ปุ่น และแจนถือเป็นคนที่ 3 แล้วที่จบการศึกษาจาก BNK48 นับตั้งแต่วงเปิดตัวมา

และแจนจะแสดงในฐานะ BNK48 ครั้งสุดท้ายใน BNK48 Theater ที่ BNK48 The Campus ในช่วงต้นเดือนมีนาคม

ขณะที่แจน ซึ่งปีนี้จะมีอายุครบ 24 ปี และถูกเรียกแบบขำๆ ว่าอยู่ในกลุ่ม ‘ชราไลน์’ ได้พบโอกาสเติบโตในสายอาชีพในอีกทาง และตัดสินใจออกไป ในฝั่งของผู้กำลังจะมาใหม่ การรับสมัครออดิชันสมาชิก BNK48 รุ่นที่ 2 ได้สิ้นสุดลงแล้ว และมีผู้สมัครกันมาอย่างถล่มทลาย รวมทั้งสิ้นมากถึง 10,782 คน

10. แพงที่สุดในประวัติศาสตร์ ขายสถานทูตอังกฤษให้เครือเซ็นทรัล 1.8 หมื่นล้านบาท

อาคารเก่าแก่ย่านวิทยุที่อยู่คู่กรุงเทพฯ มาตั้งแต่ปี 2463 อาจจะกำลังกลายเป็นอดีต เมื่อ 31 ม.ค. 61 สถานเอกอัครราชทูตแห่งสหราชอาณาจักรประกาศว่า ได้ขายที่ดินของสถานทูต พื้นที่ 25 ไร่ กลางย่านเพลินจิต ไปแล้วในราคา 420 ล้านปอนด์ หรือมากกว่า 1.8 หมื่นล้านบาท และเตรียมย้ายที่ทำการไปอยู่ในตึกบนถนนสาทรในปีหน้า

ด้วยราคาดังว่า ทำให้การซื้อขายครั้งนี้ถือเป็นการขายที่ดินครั้งใหญ่ที่สุดของกระทรวงต่างประเทศ สหราชอาณาจักร เงินที่ได้จากการขายจะนำไปลงทุนในการสร้างและพัฒนาสถานทูตอังกฤษทั่วโลก ที่ปัจจุบันมีแผนจะพัฒนาสถานทูต 30-40 แห่งให้ทันสมัย

มร.ไซมอน แมคโดนัลด์ ปลัดกระทรวงการต่างประเทศสหราชอาณาจักร กล่าวว่า “ในสภาพเศรษฐกิจเช่นนี้ เราจำเป็นต้องตัดสินใจในเรื่องที่ยากลำบาก เพื่อให้แน่ใจว่าสหราชอาณาจักรจะยังคงรักษาบทบาทในเวทีโลกไว้ได้ ในขณะที่ใช้จ่ายเงินภาษีของประชาชนอังกฤษอย่างคุ้มค่าที่สุด”

สถานทูตใช้วิธีการประมูล ผู้โชคดีที่ได้เรือนเก่ากลางเพลินจิตแห่งนี้ไปดูแล ก็คือบริษัทกิจการร่วมค้าเซ็นทรัลกรุ๊ปและฮ่องกงแลนด์ ซึ่งเป็นบริษัทในเครือจาร์ดีน แมธทีสัน

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีดีลการขายพื้นที่ของสถานทูต เพราะเมื่อปี 2549 ทางสถานทูตเคยแบ่งขายที่ดินจำนวน 9 ไร่ให้กับกลุ่มเซ็นทรัล ผู้ชนะการประมูล ก่อนที่จะกลายเป็นเซ็นทรัล เอ็มบาสซีในปัจจุบัน

Tags: , , , , , , , , , , , ,