เข้าสู่ครึ่งเดือนหลังของเดือนมกราคม ปี 2561 มีเรื่องเด็ดๆ ที่อยู่ในความสนใจมวลชนอยู่หลายประเด็น และเรื่องจำนวนหนึ่งก็แสนสำคัญจนเราไม่อยากให้ผู้อ่านทำตกหล่น

ตั้งแต่เรื่องเพจการ์ตูนล้อการเมืองชื่อดัง ‘ไข่แมว’ หายไปอย่างปริศนา ซึ่งมาพร้อมเรื่องที่น่ากังวลยิ่งกว่า ท่ามกลางบรรยากาศที่พูดอะไรไม่ค่อยจะได้ ทั้งยังเรื่องอาจารย์ชาญวิทย์ที่งานเข้า หลังจากโพสต์เฟซบุ๊กพาดพิงการใช้กระเป๋าแพงของภริยานายกฯ แต่เรื่องเด่นอีกเรื่องที่สื่อทุกหัวให้ความสนใจ คือ ท้ายที่สุด ศาลทหารสั่ง ‘ไม่ฟ้อง’ สุลักษณ์ ศิวรักษ์ คดี 112 กรณีตั้งคำถามว่าพระนเรศวรมีอยู่จริงหรือไม่ ซึ่งมีต้นเรื่องยิงยาวไปตั้งแต่ปี ’57 และการตัดสินใจนี้มีสาเหตุที่น่าสนใจ

ในขณะที่อีกด้าน ก็เกิดสัญญาณจากฝั่งผู้ออกกฎหมายที่บ่งบอกว่า ปีนี้ก็ยังไม่มีเลือกตั้งนะจ๊ะ ก็คงต้องรอไปถึงปี 2562 อีกนั่นแหละ

และอีกสารพันเรื่องที่ตบเท้ามาสร้างสีสันให้สัปดาห์นี้มีเรื่องไว้คุยกับเพื่อน ทั้งเรื่องสายควันเฮว่าจะปลูกกัญชาในไทยได้แล้ว (จริงหรือ?) ฮาวายป่วนหลังส่งสัญญาณเตือนภัยผิด ข่าวดีเอสไอบุกสถานบริการ บาบีคิวพลาซาแจงเรื่องเนื้อที่เสิร์ฟมีตุ่ม ฯลฯ

เรื่องป่วนๆ ข่าวพลาดๆ อย่างนี้เกิดได้อย่างไร ไปอ่านกัน

1. ไข่แมวหายตัว

ตั้งแต่ช่วงบ่ายของวันพฤหัสที่ 18 ม.ค. เพจไข่แมว หรือ  https://www.facebook.com/cartooneggcat/  ซึ่งมีผู้ติดตามมากกว่า 450,000 ก็ไม่สามารถเข้าถึงได้ เฟซบุ๊กระบุว่าเนื้อหาไม่พร้อมใช้งาน ซึ่งอาจเป็นเพราะลิงก์หมดอายุหรือมองเห็นได้เฉพาะกลุ่ม

มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าสาเหตุที่เพจหาย (หรือที่เรียกในยุคนี้ว่า เพจปลิว) มีความเป็นไปได้สองทางก็คือ หนึ่ง มีผู้กดรีพอร์ตเพจจนระบบเฟซบุ๊กเชื่อว่าเพจสมควรโดนปิดจริงๆ สอง อาจเป็นเรื่องน่ากลัวกว่านั้น คือเป็นไปได้ว่าเจ้าของเพจถูกจับกุมตัวและบังคับให้ปิดเพจ

สำหรับคนที่ไม่รู้จักเพจไข่แมว เพจนี้นำเสนอเนื้อหาเป็นการ์ตูนช่อง วาดด้วยลายเส้นง่ายๆ สีดูตุ่นๆ เชยๆ แต่ก็เข้าใจง่าย แบบที่ต้องหลุดก๊ากออกมา เพราะใบหน้าตัวละครแต่ละตอนช่างมีเอกลักษณ์และนึกออกได้ทันทีว่าใครเป็นใคร และมักเป็นบุคคลในข่าวการเมือง ยั่วล้อไปกับเหตุการณ์ประจำวัน แบบที่งงว่าคิดมุกทันได้ไงหว่า

เมื่อเกิดเหตุการณ์เพจปลิว เพจดังอื่นๆ ก็พากันมาทำภาพไว้อาลัย กึ่งขำขัน เช่น เพจคาราโอเกะชั้นใต้ดิน ที่ไม่ต้องพูดอะไรมากก็เข้าใจ

แต่ที่เริ่มไม่ขำก็อาจเป็นเพราะ เพจ Drama-addict ออกมาบอกว่า “ที่น่าห่วงไม่ใช่แค่เพจปิดไปนะ แต่คุยกับเพื่อนของแอดมินเพจไข่แมวแล้วเขาว่าติดต่อเจ้าตัวไม่ได้เลย มันเกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย”

ส่วนโลกทวิตเตอร์ คนบางส่วนรำพึงในทำนองว่า บ้านเมืองเราน่ากลัวนะ แค่เพจปลิวและเจ้าของเพจหาย ผู้คนก็คิดได้อย่างเดียวว่าน่าจะเกิดอะไรขึ้น มันมาถึงจุดนี้แล้ว หดหู่เหลือเกิน (ติดตามได้ที่ #ไข่แมว ในโลกแม่มดนกสีฟ้า)

ก่อนหน้าเกิดเหตุการณ์นี้ไม่นาน บีบีซีไทยเพิ่งลงบทความที่เกี่ยวกับแอดมินเพจ “เรารัก พล.อ.ประยุทธ์” ที่เคยโดนทหารจับตัวจนต้องหนีภัยการเมืองไปต่างประเทศเมื่อห้าเดือนที่ผ่านมา ในเนื้อหาบทความมีคำพูดที่น่าสนใจของ ณัฏฐิกา วรธันยวิชญ์ ผู้ก่อตั้งเพจที่ว่า “ด้วยความที่ทุกคนถูกกด จำกัดสิทธิเสรีภาพ เขาทำอะไรไม่ได้มากกว่านี้หรอก … แค่ออกมาขำ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ๆ ปัจจุบันไม่ได้มีความรุนแรง เขาใช้ความสร้างสรรค์ทั้งนั้น แต่คนที่ปกครองประเทศเป็นคนรุ่นเก่า คุณยังคิดว่าการลงโทษหนักๆ มันทำให้ประเทศดีขึ้นเหรอ” (อ่านเต็มๆ ที่ http://www.bbc.com/thai/thailand-42686477)

แต่อนิจจา ความขำขันที่ไม่ถูกใจผู้มีอำนาจ ก็อาจไม่มีที่ยืนเช่นเดียวกัน

เราก็คงต้องรอดูว่าแอดมินไข่แมว อยู่ที่ไหน

 

2. ไอดอลห้ามมีแฟนนะจ๊ะ พักงานเมษา BNK48

จากความรักก็แปรเปลี่ยนเป็นความเกลียดชังอันน่าสะพรึงได้ เมื่อเมษา-เมษา จีนะวิจารณะ ไอดอลสาวแห่งวง BNK48 ทำคลิปหลุดใน ig story เป็นภาพชายหนุ่ม ซึ่งรีบลบออกไม่นานหลังจากนั้น และผู้ติดตามก็ตีความได้ทันทีว่า นั่นคงเป็นแฟนของเธอแน่แท้

ในคราวแรก หลายคนคาดว่าเธอคงลงผิดแอคเคานต์ ดั๊น! มาลงอันที่คนติดตามเยอะๆ เรื่องก็เลยบานปลาย กลายเป็นเสียงก่นด่าหนาหู บ้างไปไกลถึงขั้นหยาบคาย ดูถูกว่าคนอย่างเธออย่ามาเป็นไอดอลเลย ไปประกอบอาชีพอย่างอื่นเถิด ซึ่งเป็นถ้อยคำที่ค่อนข้างรุนแรง จนแฟนๆ บางกลุ่ม (และผู้สังเกตการณ์ซึ่งมีความห่วงใยสูง) ต้องออกมาปรามว่าใจเย็นๆ

ที่แรงรักกลับทิศเป็นชังได้รวดเร็ว ส่วนหนึ่งเพราะพฤติกรรมของเธอถือเป็นการละเมิดกติกาที่ว่า เป็นไอดอล ‘ห้ามมีแฟน’ แต่บางคนก็ว่า เอ้อ จะมีแฟนก็ไม่ผิดอะไร แต่การที่ยังปล่อยรูปซ้ำอีกครั้ง เหมือนจงใจย่ำยีหัวใจแฟนคลับ คงอภัยและทำความเข้าใจไม่ได้

สุดท้าย คณะกรรมการตัดสิน BNK48 จึงลงมติว่า ให้พักงานเมษาเป็นเวลาหนึ่งเดือน นับตั้งแต่ 15 ม.ค. 61

เสียงกระซิบเล็กๆ ในคอมเมนต์บนโซเชียลมีเดียตั้งคำถามว่า เอ… หรือเธอไม่อยากเป็น BNK48 แล้ว แต่ยังติดสัญญา ก็เลยจงใจสร้างเรื่องทั้งหมดขึ้นมา ซึ่งท้ายที่สุดแล้วไม่ว่าจะเป็นอย่างไหน ก็ใจเย็นๆ กันดีกว่า เพราะไอดอล สุดท้ายก็คือมนุษย์คนหนึ่งละนะ

 

3. มีแวว เลื่อนเลือกตั้งไปปี ’62

ขณะที่หลายคนเฝ้ารอว่าเมื่อไรจะมีเลือกตั้ง เราจะได้มีรัฐบาลใหม่มาแทนที่คณะรัฐบาลชุดรัฐประหารเสียที แต่ล่าสุด กำหนดเลือกตั้งมีแววจะเลื่อนออกไปเป็นปี 2562

เมื่อวันที่ 19 ม.ค. 61 ในการพิจารณาร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญกว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณากฎหมายมีมติว่าจะให้เลื่อนเวลาการเริ่มบังคับใช้กฎหมายออกไป 90 วันหลังประกาศราชกิจจานุเบกษา จากเดิมที่กำหนดให้มีผลบังคับใช้ทันที

ถ้าคิดต่อจากเนื้อหาในร่างกฎหมาย ที่ระบุว่า เมื่อกฎหมายมีผลบังคับใช้แล้ว ต้องจัดการเลือกตั้งใหม่ภายใน 150 วัน ดังนั้น การเลื่อนเวลาบังคับใช้กฎหมายออกไปอีก 90 วัน ก็จะยืดเวลาจัดการเลือกตั้งออกไป จากเดิมที่ต้องจัดภายใน 150 วัน ก็กลายเป็น 240 วัน

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว กำหนดเลือกตั้งตามโรดแมปเดิมที่ตั้งเป้าเดือนพฤศจิกายน 2561 เห็นทีจะต้องเลื่อนออกไปเป็นเดือนกุมภาพันธ์ 2562 แทน

ว่ากันว่า การแก้ไขกฎหมายเลือกตั้งส.ส. ออกมาเพื่อให้สอดรับกับคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 53/2560 ที่เพิ่งโผล่มาเมื่อปลายปี 2560 เรื่องการดำเนินการตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ซึ่งกำหนดขั้นตอนซับซ้อนที่พรรคการเมืองต้องดำเนินการ คาดการณ์กันว่า ที่มาของการขยายเวลา เป็นเพราะแต่ละพรรคต้องทำไพรมารีโหวต แต่กว่าคสช.จะปลดล็อคให้ทำกิจกรรมได้ก็ราวเดือนมีนาคมและเมษายน หากไม่ขยายเวลาก็อาจดำเนินการต่างๆ ไม่ทัน

 

4. เรื่องวุ่นๆ ของกัญชง-กัญชา

กลายเป็นเรื่องฮือฮาตั้งแต่วันแรกของสัปดาห์ หลังจากมีรายงานข่าวว่านายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ ประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ ระบุว่าในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ สภาเกษตรกรแห่งชาติได้มอบหมายให้สภาเกษตรกรจังหวัดสกลนครลงพื้นที่ คัดเลือกเกษตรกรที่มีคุณภาพร่วมทำโครงการปลูกกัญชาในพื้นที่นำร่อง 5,000 ไร่ ที่จังหวัดสกลนคร

ทำให้เกิดกระแสตื่นเต้น ว่าประเทศไทยกำลังจะเริ่มไฟเขียวให้กับการปลูกกัญชาแล้ว

ทว่าในวันต่อมา (16 ม.ค.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับตอบคำถามของผู้สื่อข่าวว่าไม่เคยรับรู้เรื่องนี้มาก่อน

ช่วงบ่ายของวันถัดมา นพ.สุรโชค ต่างวิวัฒน์ รองเลขาธิการ อย. ก็ชี้เเจงเพิ่มเติมว่า มีการอนุญาตให้ทดลองปลูก ‘กัญชง’ เพื่อทำการวิจัยเท่านั้น ยังไม่อนุญาตพื้นที่ใดให้ปลูกกัญชาถูกกฎหมาย

คำชี้แจงของ อย. ระบุว่า ที่ผ่านมา กระทรวงสาธารณสุขอนุญาตให้ครอบครองพืชกัญชาเพื่อใช้ในโครงการศึกษาวิจัยที่จะพัฒนาสารสกัดจากพืชกัญชาไปใช้ประโยชน์ในทางการแพทย์ ยังไม่เคยอนุญาตให้ปลูกในพื้นที่เป็นไร่ตามที่เป็นข่าว อย่างไรก็ตาม อย. ตระหนักดีถึงประโยชน์ของกัญชาและสารสกัดจากกัญชาในการนำมาใช้ในการบำบัดรักษาทางการแพทย์ จึงเสนอให้แก้ไขพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 เพื่อสนับสนุนให้พัฒนาการศึกษาวิจัยในคน และนำกัญชา รวมถึงสารสกัดจากกัญชา มาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ในการรักษาโรค โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา

ทางด้านนายศิรินทร์ยา สิทธิชัย เลขาธิการสำนักงาน ป.ป.ส. ก็ให้ข้อมูลว่าเรื่องการปลูกกัญชาในพื้นที่นำร่องนั้นยังไม่มีหน่วยงานรัฐรับทราบ และการปลูกพืชกัญชาซึ่งเป็นยาเสพติดประเภท 5 จะต้องผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้อนุญาต

ทั้งนี้ ที่มาของเรื่องที่ทำให้นายประพัฒน์จะลงพื้นที่สำรวจพื้นที่เพาะปลูก ก็เกิดขึ้นหลังจากเข้าพบกับนายศิรินทร์ยา สิทธิชัย เลขาธิการสำนักงาน ป.ป.ส. และการหารือกับกระทรวงสาธารณสุข ที่พบว่ากระทรวงสาธารณสุขได้ออกกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตผลิต จำหน่าย หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 เฉพาะเฮมพ์ พ.ศ. 2559 ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2560

อย่างไรก็ตาม วันที่ 17 มกราคม มีรายงานข่าวนายประพัฒน์เตรียมทำหนังสือขอเข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ เพื่อชี้แจงให้นายกฯ เข้าใจถึงความจำเป็นในการศึกษาวิจัยกัญชาเพื่อใช้เป็นยารักษาโรค

อนาคตของกัญชาในประเทศไทยจะเป็นอย่างไร คงต้องติดตามกันต่อไป

 

5. สัญญาณเตือนนิวเคลียร์พลาดที่ฮาวาย

ช่วงเช้าของวันเสาร์ที่ 13 ม.ค. ผู้คนในฮาวายแตกตื่น เมื่อโทรศัพท์ทุกเครื่องขึ้นสัญญาณแจ้งเตือนพร้อมข้อความ

“BALLISTIC MISSILE THREAT INBOUND TO HAWAII. SEEK IMMEDIATE SHELTER. THIS IS NOT A DRILL.”

บ่งบอกว่ามีสัญญาณอันตรายจากมิสไซล์ ให้รีบหาที่หลบภัยให้เร็วที่สุด แถมยังย้ำในประโยคสุดท้ายอีกแน่ะว่า นี่ไม่ใช่การฝึกซ้อม

ซึ่งข้อความฉุกเฉินนี้ยังถ่ายทอดไปทางโทรทัศน์ที่ออกอากาศในฮาวาย ใครอ่านข้อความนี้แล้วใจคงหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม กระทั่ง 20 นาทีต่อมา หน่วยจัดการการเตือนภัยฮาวายได้ทวีตข้อความว่า “ไม่มีภัยจรวดมิสไซล์มุ่งมาที่ฮาวายแต่อย่างใด”

ในขณะที่ต้องใช้เวลาถึง 38 นาที กว่าที่ประชาชนจะได้รับสัญญาณแจ้งเตือนทางโทรศัพท์อีกหน ว่าการเตือนครั้งแรกนั้นเป็นความผิดพลาด ลองนึกถึงคนที่รีบหาที่หลบภัย และไม่ได้เช็กทวิตเตอร์ ก็คงนั่งเงียบๆ งงๆ ว่าไหนล่ะ มิสไซล์ที่ว่า

ทางด้านเว็บไซต์พอร์นฮับ เว็บไซต์รวบรวมหนังโป๊ ก็รีบใช้ข้อมูลมาแซวเหตุการณ์ที่ไม่ค่อยขำนี้ ด้วยการเปิดเผยสถิติทราฟฟิคเข้าใช้งานเว็บไซต์ ที่หล่นฮวบลงไปถึง 77% เมื่อมีสัญญาณเตือนภัยนิวเคลียร์ที่ผิดพลาด สวนทางกับสถิติโดยปกติในเช้าวันเสาร์ แต่หลังจากทางการออกมาแก้ข่าวว่านั่นไม่ใช่สัญญาณเตือนจริง เว็บไซต์ก็กลับมามียอดเข้าใช้เพิ่มขึ้น 48%

อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ตุ้มๆ ต่อมๆ นี้ก็ทำให้คนได้ตั้งคำถามสำคัญว่า ถ้าเกิดมีภัยจากนิวเคลียร์เร่งด่วนจริงๆ พวกเขาจะหาที่หลบภัยที่ไหนได้ภายใน 15 นาที ซึ่งเป็นเวลาโดยประมาณที่จรวดจะเดินทางจากเกาหลีเหนือมาถึงฮาวาย เพราะฮาวายมีที่หลบภัยน้อยมาก และบ้านเรือนเกือบทั้งหมดไม่มีชั้นใต้ดิน

เรื่องราวดีๆ ที่เกิดขึ้นก็คือ วันที่เกิดเหตุการณ์นี้ ผู้คนรีบบอกรักกันก่อนจะสายเกินไป แต่ก็กลายเป็นงานหนักของเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งต้องกู้คืนความเชื่อมั่นของประชาชน เพื่อให้การประกาศจริงในครั้งหน้า ประชาชนไม่ลังเลที่จะหาที่หลบภัย

 

6. ‘ชาญวิทย์’ แสดงความบริสุทธิ์ใจ กรณีวิจารณ์กระเป๋าถือภริยานายกฯ

เมื่อวันพุธที่ 17 มกราคม พ.ต.อ.โอฬาร สุขเกษม ผู้กำกับการ 3 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) เปิดเผยกับสื่อมวลชนว่า บก.ปอท. ได้รับคำสั่งให้ตรวจสอบเพื่อดำเนินคดีกับบุคคลที่โพสต์ข้อความผ่านบัญชีผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ Charnvit Kasetsiri เมื่อวันที่ 11 และ 15 มกราคม เนื่องจากเป็นการวิพากษ์วิจารณ์ว่านางนราพร จันทร์โอชา ภริยาของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถือกระเป๋าราคาแพงกว่า 2 ล้านบาทระหว่างเดินทางไปต่างประเทศ แต่ไม่เป็นความจริง จึงเข้าข่ายบิดเบือนข้อมูลให้บุคคลอื่นเข้าใจผิด และเข้าข่ายความผิดตามมาตรา 14 ในพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560

ในเวลาต่อมา ศาสตราจารย์พิเศษ ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เจ้าของเฟซบุ๊ก Charnvit Kasetsiri ก็โพสต์ข้อมูลผ่านเฟซบุ๊กดังกล่าวในช่วงค่ำของวันที่ 17 มกราคม โดยเผยแพร่ข่าวจากสื่อออนไลน์ซึ่งเป็นการยอมรับว่าเขาคือผู้โพสต์ข้อมูลที่ บก.ปอท. อ้างถึง ขณะเดียวกันก็กล่าวว่าต้องการสะท้อนภาพของสังคมไทยที่ว่าชนชั้นนำใช้สินค้าราคาแพง ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ และเป็นการแสดงความคิดเห็นในฐานะประชาชน

สำหรับโพสต์ที่ ศ.ชาญวิทย์แชร์ต่อจากเฟซบุ๊ก Ploy Siripong เมื่อวันที่ 11 มกราคม เขาเขียนความเห็นประกอบว่า “ผู้นำ ต้องใช้ของแพงๆ Thai leaders must look expensive not cheap..” ซึ่ง ศ.ชาญวิทย์กล่าวว่า “ขอยืนยันความบริสุทธิ์ใจในการแสดงความคิดเห็น และยินดีที่จะต่อสู้ตามกระบวนการ”

ต่อมาในคืนวันเดียวกัน ศ.ชาญวิทย์ให้สัมภาษณ์เรื่องนี้กับจอม เพชรประดับ ในรายการ ‘Thai Voice’ ในประเด็นที่ตนอาจจะถูกดำเนินคดี โดยกล่าวว่าเขาแสดงความคิดเห็นในฐานะประชาชนคนหนึ่งที่เห็นภาพซึ่งเผยแพร่ในโซเชียลมีเดีย และต้องการนำเสนอเพียงแค่ว่าการใช้สินค้าราคาแพงของชนชั้นนำไทยนั้นเป็นเรื่องปกติ

ส่วนหนึ่งของการให้สัมภาษณ์ ศ.ชาญวิทย์กล่าวว่า “สังคมไทย สังคมรอบบ้านเรา บรรดาชนชั้นนำจะต้องทำตัวให้ดู expensive ดู cheap ไม่ได้ ถ้าดู cheap เดี๋ยวไม่มีคนนับถือ การแต่งตัวก็ดี เครื่องประกอบซึ่งอาจจะเรียกได้ว่าเป็นเฟอร์นิเจอร์ทั้งหลาย มันต้องออกมาเป็นลักษณะแบบนั้น”

 

7. บิตคอยน์ร่วงไม่หยุด

นับจากที่บิตคอยน์กลายเป็นสกุลเงินดิจิทัลหลักของโลก และได้รับการยอมรับให้มีการซื้อขายล่วงหน้าในบรรษัทการเงินยักษ์ใหญ่สหรัฐฯ เมื่อช่วงเดือนธันวาคม 2017 ที่ผ่านมา ดูเหมือนว่าราคาของบิตคอยน์จะพุ่งไม่หยุดจนขึ้นไปสูงสุดถึง 19,343 ดอลลาร์เป็นประวัติการณ์

แต่แล้ว ขึ้นปี 2018 ราคาของบิตคอยน์กลับค่อยๆ ดิ่งลงอย่างต่อเนื่อง ด้วยเรื่องการจัดระเบียบและกีดกันการเติบโตของสกุลเงินดิจิทัลในเอเชีย โดยเฉพาะเกาหลีใต้ ที่มีการพิจาณากฎหมายควบคุมสกุลเงินดิจิทัล และเริ่มมีการกำกับดูแล สามารถที่จะแบนการซื้อขาย หรือปิดตลาดซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลได้

ขณะที่จีนก็เตรียมออกมาตรการกำกับการซื้อขายสกุลเงินดิจิทัล เตรียมเก็บภาษีผู้ที่ได้กำไรจากการค้าเงินสกุลดิจิทัล รวมทั้งมีข่าวว่า ไล่ปิดร้านรับแลกเงินดิจิทัลอีกต่างหาก

ด้วยเหตุนี้ ทำให้ราคาของบิทคอยน์ผันผวนอย่างต่อเนื่อง เมื่อช่วงต้นเดือนมกราคมก็ลดลงไปอยู่ที่ 15,000 ดอลลาร์ และเมื่อวันอังคารที่ 16 ม.ค. ผ่านมา ก็ดิ่งลงไปเหลือแค่ 10,000 ดอลลาร์ เรียกว่าเกือบครึ่งหนึ่งของราคาที่เคยขึ้นไปสูงสุด นอกจากนี้ ยังส่งผลกระทบถึงสกุลเงินดิจิทัลอื่นๆ เช่น ริปเพิล และอีเธอเรียม ก็ร่วงตามลงไปด้วย ทำให้มูลค่าตลาดของสกุลเงินดิจิทัลหายไปกว่า 2 แสนล้านดอลลาร์ภายในวันเดียว

 

8. สุลักษณ์รอด ศาลทหารสั่ง ‘ไม่ฟ้อง’ คดีหมิ่นสถาบันฯ

คนที่ติดตามข่าวอาจจะฉงนมาตั้งแต่แรกที่ตั้งข้อหาแล้วว่า สมเด็จพระนเรศวรเข้าไปเกี่ยวข้องกับมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญาได้อย่างไร ล่าสุด ศาลทหารมีมติ สั่งไม่ฟ้องคดี สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ด้วยเหตุผลที่ว่า “พยานหลักฐานไม่พอ”

สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ปัญญาชนสยามผู้ได้ชื่อว่าจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ถูกกล่าวหาว่าทำผิดในคดีหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ พระราชินี และรัชทายาท จากการพูดในงานเสวนา ‘ประวัติศาสตร์ว่าด้วยการชำระและการสร้าง’ ที่จัดขึ้นที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เมื่อปี 2557 โดยสุลักษณ์ตั้งคำถามถึงการมีอยู่จริงของการยุทธหัตถีของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช จนทำให้ถูกฟ้องคดี

ในช่วงที่มีการตั้งข้อหา ก็เกิดเป็นประเด็นให้ผู้คนสงสัย เพราะประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 มีวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครอง 1. พระมหากษัตริย์ 2. พระราชินี และ 3. องค์รัชทายาท แต่กรณีสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ซึ่งเป็นอดีตพระมหากษัตริย์ กฎหมายอาญาปัจจุบันไม่น่าจะเขียนครอบคลุมเอาไว้

อย่างไรก็ดี คำสั่ง ‘ไม่ฟ้อง’ ครั้งนี้ก็ไม่ได้แถลงไขเหตุผลโดยละเอียด บอกเพียงคร่าวๆ ว่าพยานหลักฐานไม่พอ แต่ไม่ได้ตีความไปถึงตัวกฎหมายว่าจะต้องครอบคลุมถึงพระมหากษัตริย์ในอดีตหรือไม่

ด้าน สุลักษณ์ ศิวรักษ์ กล่าวว่า เชื่อว่าคดียุติได้เพราะพระบารมีปกเกล้าปกกระหม่อมของในหลวงรัชกาลที่ 10  หลังจากที่สุลักษณ์ยื่นฎีกาถึงพระองค์ท่าน คดีจึงถึงที่สิ้นสุด

 

9. เปิดบันทึกลับ ‘วิคตอเรีย ซีเครท’

ปฏิบัติการบุกเข้าตรวจค้นวิคตอเรีย ซีเครท เกิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 14.00 น. ของวันศุกร์ที่ 12 มกราคม โดยเจ้าหน้าที่นำธนบัตรเข้าล่อซื้อบริการทางเพศกับพนักงานของสถานบริการ เมื่อมีการรับเงิน จึงมีการนำกำลังเข้าปิดล้อมสถานที่เพื่อตรวจค้นจับกุม จากนั้น เจ้าหน้าที่จากสถาบันนิติวิทยาศาสตร์จึงเข้าเก็บหลักฐาน

แม้ว่ากรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) จะเป็นเจ้าของคดีและเป็นผู้นำในการตรวจค้น พร้อมกับเจ้าหน้าที่กรมการปกครอง แต่ผู้แฝงตัวเข้าพื้นที่สืบหาข้อมูลเพื่อพิสูจน์ว่ามีการลักลอบค้ามนุษย์ในสถานบริการแห่งนี้นานนับเดือน คือองค์กรต่อต้านการค้ามนุษย์ จนกระทั่งได้ข้อมูลแน่ชัด จึงส่งข้อมูลให้กับดีเอสไอ

นายรณสิทธิ์ พฤกษยาชีวะ ผู้อำนวยการฝ่ายสืบสวน องค์กรต่อต้านการค้ามนุษย์ เปิดเผยว่า เอกสารบันทึกรายการให้บริการลูกค้าที่พบในคอมพิวเตอร์ของกลางจากวิคตอเรีย ซีเครท มีการระบุตำแหน่งของผู้รับบริการ ซึ่งเป็นตำแหน่งข้าราชการตำรวจ และนี่คือสาเหตุที่องค์กรไม่ขอความช่วยเหลือจากตำรวจในการเข้าตรวจค้น

สำหรับการช่วยเหลือผู้ที่ถูกบังคับค้าประเวณีมีจำนวน 113 คน เป็นชาวเมียนมา 96 คน ชาวลาว 11 คน ชาวไทย 4 คน และชาวจีน 2 คน

ในวันต่อมา (13 ม.ค.) พล.ต.ท.ชาญเทพ เสสะเวช ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ก็ยืนยันว่า มีคำสั่งให้ตำรวจ สน.วังทองหลาง 5 นาย ได้แก่ พ.ต.อ.ธรรมนูญ บุญเรือง พ.ต.ท.นเรนทร์ เครื่องสนุก พ.ต.ท.พิชัย ทูลธรรม พ.ต.ท.เดชาวัสส์ ขันกสิกรรม และ พ.ต.ท.ปรัชญา บุญยืน ไปช่วยราชการที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล

ขณะที่ในช่วงเช้าของวันนั้น พนักงานสอบสวนของดีเอสไอก็คุมตัวนายบุญทรัพย์ อมรรัตนาศิริ หรือป๋ากบ ผู้ต้องหาตามหมายจับคดีค้ามนุษย์ ฝากขังที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก หลังจากเจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นแล้วพบว่านายบุญทรัพย์เป็นผู้ดูแลกิจการ

วันที่ 15 มกราคม มีการเปิดตู้เซฟที่ยึดมาจากวิคตอเรีย ซีเครท โดยพบเอกสารบัญชีรายชื่อบุคคลซึ่งคาดว่าจะเป็นพนักงาน เงินสดหลายแสนบาท รวมทั้งพระเครื่อง นาฬิกา แว่นตา และเอกสารทางการเงินอีกจำนวนมาก

ในวันเดียวกัน พ.ต.ท.สุภัทธ์ ธรรมธนารักษ์ ผอ.กองคดีต่อต้านการค้ามนุษย์ ให้ข้อมูลว่าคดีนี้เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2560 โดยมีหญิงสาวผู้เสียหายหลบหนีจากมาเลเซียไปร้องขอความช่วยเหลือจากมูลนิธิพิทักษ์สตรีว่าถูกนายหน้านำไปค้าประเวณี ต่อมาดีเอสไอจึงช่วยเหลือผู้เสียหายและรับตัวมาจากชายแดนภาคใต้ ซึ่งผู้เสียหายให้การว่าถูกนำไปค้าประเวณีที่วิคตอเรีย ซีเครท ในช่วงปี 2557-2559 ซึ่งขณะนั้นมีอายุ 12-13 ปี ดีเอสไอจึงอนุมัติเป็นคดีพิเศษ ก่อนที่ปฏิบัติการตรวจค้นจะเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 12 มกราคม

วันต่อมา (16 ม.ค.) นางสาวศศิธร วิระเทพสุภรณ์ อายุ 46 ปี เจ้าของห้างหุ้นส่วนจำกัด อมรินทร์ออนเซน และกรรมการผู้ขอใบอนุญาตเปิดสถานอาบอบนวด วิคตอเรีย ซีเครท ก็เดินทางเข้ารับทราบข้อกล่าวหาที่ สน.วังทองหลาง หลังจากตกเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญารัชดา รวมทั้งหมด 13 ข้อหา

อย่างไรก็ตาม วันที่ 18 มกราคม นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ อดีตผู้ก่อตั้งและเจ้าของสถานบริการวิคตอเรีย ซีเครท ก็เข้าพบ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. และคณะ เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานบริการดังกล่าว หลังจากจากนายชูวิทย์เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับขั้นตอนการดำเนินกิจการและการใช้บริการในสถานบริการแห่งนี้ผ่านรายการโทรทัศน์ รวมทั้งระบุด้วยว่านางสาวศศิธรเป็นเพียงนอมินีที่มีชื่อเป็นผู้ถือใบอนุญาตสถานประกอบการ แต่ไม่ใช่เจ้าของตัวจริง

ล่าสุด ช่วงเย็นของวันที่ 19 มกราคม มีรายงานข่าวว่าศาลได้อนุมัติหมายจับนายกำพล วิระเทพสุภรณ์ อายุ 61 ปี และนางนิภา วิระเทพสุภรณ์ หรือธีระตรกูลวัฒนา อายุ 68 ปี รวมทั้งหมด 12 ข้อหา หลังจากพนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติม และยื่นคำร้องขอศาลอาญาอนุมัติออกหมายจับ

 

10. บาร์บีคิวพลาซ่าเผยผลตรวจ ไม่ใช่พยาธิ แค่การอักเสบของเนื้อ

กรณีที่ผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ Wilawan Wasuntarasophit โพสต์ภาพชิ้นเนื้อวัวของร้านบาร์บีคิวพลาซ่าที่มีลักษณะผิดปกติ เป็นเม็ดสีขาวใส จึงเรียกพนักงานของร้านมาสอบถาม ซึ่งพนักงานบอกว่าเป็นเอ็นเนื้อ ขณะที่ในโลกโซเชียลคาดว่าน่าจะเป็นตัวอ่อนของพยาธิ

ทางบาร์บีคิวพลาซ่าออกมาชี้แจงกรณีนี้ ว่ามีการนำชิ้นเนื้อวัวไปตรวจสอบกับศูนย์วิทยาศาสตร์เบทาโกร ผลปรากฎว่าไม่พบพยาธิแต่อย่างใด โดยอ้างอิงคำอธิบายจาก น.สพ.ดร.นิติพงศ์ หอมวงศ์ ภาควิชาสัตวบาล คณะเกษตร กำแพงแสน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่ระบุว่า ตุ่มขาวที่พบในภาพที่โพสต์ ผลการตรวจชี้ให้เห็นว่าไม่พบตัวอ่อนพยาธิอย่างที่หลายๆ คนกังวล แต่เป็นตุ่มของกระบวนการการอักเสบที่เป็นเม็ดเลือดขาวที่ตายแล้วที่บางครั้งก็พบได้ทั่วไปในเนื้อวัว โดยไม่เป็นอันตรายต่อการบริโภคแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม บาร์บีคิวพลาซ่าก็ได้กล่าวขอโทษและแสดงความเสียใจที่ทำให้ลูกค้าเกิดความไม่มั่นใจในการรับประทานอาหารของร้าน พร้อมกับยืนยันว่าจะตรวจสอบและเข้มงวดกับทุกขั้นตอนตั้งแต่ต้นน้ำจนเสิร์ฟถึงมือลูกค้า เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวอีก

Tags: , , , ,