‘การฟื้นคืนของบางสิ่ง บ่งบอกว่าฤดูกาลใหม่ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว’

ภายหลังจากที่ปล่อยอัลบั้มแรกในปี 2018 วง Zweed n’ Roll ก็ได้ออกเดินทางบนถนนสายดนตรี ทัวร์ไปตามสถานที่ต่างๆ จากภาพฝันกลายมาเป็นความจริง แต่ช่วงเวลานั้นกลับสั้นนัก เพราะช่วงปลายปี 2019 โลกของเราก็ได้พบเจอกับไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่ทำให้หลายสิ่งต้องหยุดชะงัก รวมไปถึงงานมหรสพอย่างคอนเสิร์ตดนตรี

สมาชิกทั้ง 5 คน ได้แก่ ‘พัด’ – สุทธิภัทร สุทธิวาณิช, ‘นิว’ – นิติ นิติยารมย์, ‘ปูน’ – ณัฐพัชร์ สมิตนุกูลกิจ, ‘มิน’ – ณัฐกร ศิลวัฒน์ และ ‘ทัน’ – ธรรม์ ดำรงรัตน์ เล่าให้เราฟังว่าช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่ ‘แตกสลาย’ และ ‘เคว้งคว้าง’ สำหรับพวกเขา

การมาของโควิด-19 ส่งผลให้ทุกอย่างหยุดนิ่ง เปรียบเสมือนกับฤดูหนาวที่แช่แข็งความเป็นไปและความหวังของผู้คน ซึ่งสมาชิกในวง Zweed n’ Roll ต่างรับมือกับอารมณ์ความรู้สึกเคว้งคว้างนี้ในแบบของตัวเอง

แต่ท้ายที่สุด วันเวลาก็ได้พัดกระแสลมร้อนให้กลับมาอีกครั้ง ละลายความเยือกเย็นของฤดูกาลด้วยความอบอุ่นจากแฟนเพลงที่คอยส่งข้อความมาบอกเล่าความคิดถึง รวมถึงความรักในเสียงดนตรีที่ไม่มีวันมอดไปของพวกเขา และแล้วสมาชิกก็ได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง เพื่อทำอัลบั้มที่บอกเล่าเรื่องราวแห่งการพ้นผ่านฤดูกาลอันหนาวเหน็บ “เป็นเพื่อนที่รับฟัง แค่นั่งอยู่ข้างๆ ก็รู้สึกอุ่นใจ” คือนิยามความเป็นเพื่อนของอัลบั้มนี้ที่ ‘พัด’ ในฐานะนักร้องนำ เล่าให้ฟัง 

สำหรับบางคนที่ฤดูหนาวของคุณยังไม่ผ่านพ้น ลองรับฟังไออุ่นจากเสียงดนตรีของ Resurrection แล้วคุณอาจพบว่า หัวจิตหัวใจของคุณได้รับการปลอบประโลม และพร้อมสำหรับการเริ่มต้นฤดูกาลครั้งใหม่แห่งชีวิตอีกครั้ง

 

ชื่ออัลบั้มใหม่ของวงอย่าง Resurrection มีที่มาที่ไปอย่างไร

นิว: ตอนนั้น หลังจากที่ทำอัลบั้มกันเสร็จแล้ว เราก็มานั่งคุยกันว่าจะตั้งชื่ออัลบั้มนี้ว่าอะไรดี ซึ่งพอมองดูแล้วเราคิดว่าคอนเซ็ปต์มันก็เกิดจากการแตกสลาย คือหลังจากออกอัลบั้มแรกแล้วก็ไม่รู้จะทำอะไรต่อ เลยปล่อยซิงเกิลและออกทัวร์ไปเรื่อยๆ จนวันหนึ่งที่เราไม่สามารถไปทัวร์ได้แล้ว เราก็เลยต้องกลับมาคิดว่าจะเอายังไงต่อ ช่วงเวลานั้นมันเป็นสภาวะที่พวกเราเคว้งมาก มันเลยเป็นสภาวะที่เราอยากจะให้กำลังใจตัวเอง และให้กำลังใจคนอื่นด้วย ก็เลยออกมาเป็น Resurrection

พัด: จริงๆ นอกจากเป็นชื่ออัลบั้มแล้ว Resurrection ก็เป็นชื่อเพลงหนึ่งในอัลบั้มที่ใช้ชื่อภาษาไทยว่า ‘ฟื้น’ ด้วย อัลบั้มนี้เป็นการรวบรวมเอาสิ่งที่เจอตลอดระยะเวลา 3-4 ปีหลังจากที่เราปล่อยอัลบั้มแรกไป ซึ่งพูดตามตรงก็คือมันเป็นช่วงเวลาที่เราค่อนข้าง Lost ประกอบกับว่าเจอสถานการณ์โควิดด้วย ก็เลยทำให้ทุกคนหยุดอยู่กับที่

นิว: เนื้อหาในอัลบั้มมันมีทั้งเหตุการณ์ที่เราได้พบเจอ การยอมรับความจริง ไปจนถึงการแตกสลาย และการฟื้นกลับขึ้นมาใหม่อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งโดยรวมผมคิดว่ามันพูดถึงการต่อสู้

แสดงว่าตอนนี้กลับมาคืนชีพแล้วใช่ไหม

นิว: หวังว่านะครับ แค่วันนี้ที่ปล่อยอัลบั้มแล้วเห็นฟีดแบ็กจากคนฟังก็รู้สึกดีใจแล้ว มีบางคนที่บอกว่าเขารอฟังวงเราอยู่ เพลงของเราช่วยเขาได้จริงๆ ก็ทำให้เรารู้สึกหายเหนื่อย

 

หลังจากช่วงเวลาที่แตกสลาย อะไรทำให้ความรู้สึกมันกลับมาประกอบกันใหม่ได้

นิว: สำหรับผม ดนตรีคือสิ่งที่เรารัก และผมทุ่มเทกับมันมาก เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นเหตุผลที่เรารวบรวมสิ่งที่แตกสลายและทำให้มันออกมาเป็นเพลงได้ ไม่ว่ามันจะพังแค่ไหน 

พัด: ดนตรีเป็นเหมือนสิ่งที่เรารู้สึกว่าทำแล้วมีค่า เป็นสิ่งที่เราทำได้ดีที่สุดในชีวิต เลยไม่อยากจะปล่อยมันไว้เฉยๆ ก็เลยมาลุยกันต่อ

ปูน: เหมือนกันครับ คือเพลงเป็นสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกว่าตัวเองมีค่า เหมือนเวลาที่เราเล่นดนตรีออกไปและมีคนฟีดแบ็กกลับมาว่า เขาได้รับพลังนั้น เขาชอบเพลงเรา และอยากให้เราทำเพลงออกมาอีก ซึ่งมันก็เป็นกำลังใจที่ทำให้เราอยากทำเพลงต่อไป

มิน: เหมือนอย่างที่พัดพูดไปก่อนหน้านี้ คือแฟนเพลงก็มีส่วนมากในการทำให้เรายังทำเพลงอยู่ 

ทัน: สำหรับเราเครื่องดนตรีก็ยังคงเป็นสิ่งที่เรารัก และอีกส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะแฟนเพลง อย่างล่าสุดก็เห็นแฟนเพลงสักที่มีคำว่า Zweed n’ Roll ลงบนตัวเขา ก็ยิ่งทำให้รู้สึกว่ายังไงเราก็ต้องทำต่อ 

นิว : ตอนนั้นเขาก็บอกว่าช่วยทำเพลงต่อนะ เพราะเขาอยากจะมีชีวิตเพื่อฟังเพลงของเราต่อไปเรื่อยๆ ซึ่งเรารู้สึกว่าการที่เพลงทำงานได้ขนาดนี้มันยิ่งใหญ่มากๆ

 

เคยคิดไหมว่าเพลงของคุณจะทำงานกับความรู้สึกของคนฟังขนาดนี้ 

พัด: ไม่เคยคิดเลย เราแค่ระบายสิ่งที่เรารู้สึกออกไปเฉยๆ เรียกว่าให้กำลังใจตัวเองก่อนแล้วกัน แต่ก็คิดว่ามันน่าจะเชื่อมโยงไปถึงความรู้สึกของคนอื่นได้ด้วย

นิว: ในอัลบั้มแรกเราเหมือนเล่าเรื่องของวงอย่างเดียว พัดก็พูดในสิ่งที่พัดรู้สึก ส่วนนักดนตรีก็เล่นในสิ่งที่ตัวเองรู้สึก ทั้งความเศร้า ความโกรธ ความรู้สึกทุกอย่าง แต่หลังจากได้ออกไปทัวร์ ได้เจอคนเยอะขึ้น เริ่มเห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่างดนตรีของเรากับผู้คน คำว่า Zweed n’ Roll มันไม่ใช่แค่ตัวเราแล้ว แต่คือคนที่บอกกับเราว่าเพลงของพวกเราเข้าไปอยู่ในชีวิตของเขา

จึงเป็นที่มาว่าเราอยากขยายความเชื่อมโยงนี้ให้ใหญ่ขึ้น ในอัลบั้มใหม่จึงมีสัดส่วนของเพลงไทยที่มากขึ้น มีเรื่องเล่าที่ไม่ได้มาจากแค่ตัวเราเอง แต่มีการไปหยิบเรื่องของคนใกล้ๆ ตัว ที่คิดว่าทุกคนน่าจะเจอเหมือนกันมาเล่าด้วย

 

จากที่เมื่อก่อนเล่าเรื่องของตัวเองอย่างเดียว การหยิบเรื่องของคนอื่นมาเล่าให้ความรู้สึกอย่างไรบ้าง

พัด: สนุกดี ตอนแรกก็ไม่คิดว่าเราจะใช้เรื่องของคนอื่นมาแต่งเพลงได้ แต่พอลองก็รู้สึกเหมือนเราได้ไปท่องเที่ยว และส่วนตัวพัดเป็นคนที่มีความเพ้อฝัน ชอบจินตนาการ ฉะนั้นเวลาเรานึกถึงเรื่องอะไรมันก็จะไหลไปได้เรื่อยๆ 

อย่างในอัลบั้มนี้จะมีเพลงที่ชื่อว่า Stars ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากเพลง Stars ของ Janis Ian อีกที ซึ่งเนื้อหาของเพลงนั้นเกี่ยวกับการที่คนเราขึ้นไปอยู่ในจุดที่สูงแล้วตกลงมา มันแย่และโดดเดี่ยวมากๆ ก็เลยคิดว่าถ้ามีเพลงสักเพลงหนึ่งที่แต่งขึ้นมาจากความรู้สึกที่เข้าใจศิลปินเหล่านั้น ก็คงจะดี

 

หลังจากทำเพลงเสร็จแล้ว พอมองย้อนกลับไป คุณค้นพบหรือได้อะไรกลับมาจากการทำอัลบั้มนี้บ้าง

พัด: ส่วนตัวเรารู้สึกว่าได้กำลังใจมากขึ้นนะ เวลาเราย้อนกลับไปฟังเพลงของตัวเอง อันนี้พูดรวมไปถึง 3 เพลงก่อนที่จะมีค่ายด้วย มันทำให้เรารู้สึกภูมิใจมากๆ ว่า ‘เออ พวกเราก็เก่งเหมือนกันนะ’ 

ปกติคนในวงฟังเพลงของตัวเองบ่อยไหม

พัด: ถ้าปล่อยไปแล้วจะไม่ค่อยฟัง แต่ก่อนจะปล่อยก็จะฟังเยอะมากๆ เพราะมันต้องตรวจเช็กรายละเอียดต่างๆ

นิว: ก่อนที่จะปล่อยผมก็ฟังบ่อยมาก แล้วก็คิดว่าเพลงเราเป็นยังไง แต่พอปล่อยออกมาแล้วก็อยากให้คนอื่นเป็นคนมาบอกเรามากกว่า

ปูน: ผมฟังบ่อยนะครับ รู้สึกว่าอัลบั้มนี้เหมือนเป็นสิ่งที่ภูมิใจที่สุดในชีวิตในตอนนี้ ผมไม่เคยคิดว่าเราจะสามารถสร้างผลงานดีๆ ขนาดนี้ออกมาได้ แต่มันก็เกิดขึ้นได้จริงจากความช่วยเหลือของมืออาชีพหลายๆ คนมาช่วยกันทำขึ้น ซึ่งเราก็ชอบมันทั้งหมดเลย และรู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่ได้เจอกับคนเหล่านั้นด้วย

 

อัลบั้มนี้เป็นการทำงานกับค่ายครั้งแรกของวงเลยใช่ไหม เป็นอย่างไรบ้างกับครั้งแรกนี้

ปูน: ใช่ครับ ซึ่งก็ต้องขอบคุณทาง Warner Music มากๆ เพราะถ้าไม่มีค่ายก็ไม่รู้ว่าวงเราจะยังมีอยู่หรือเปล่า

นิว: ทางค่ายเข้ามาช่วยจัดการปัญหาที่เราเจอในอัลบั้มแรกได้เยอะมาก เพราะจากประสบการณ์การทำอัลบั้มแรกที่เราตั้งใจจะทำทุกอย่างกันเอง ทำให้เรารู้ว่าการออกอัลบั้มมันไม่ใช่แค่การเล่นดนตรี แต่มันมีทั้งเรื่องหลังบ้าน การทำปก ทำ MV ทำ PR และการติดต่อประสานงานต่างๆ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำทั้งหมดด้วยตัวเอง

 

นอกจากค่ายแล้ว อัลบั้มนี้ยังเป็นการทำงานแบบมีโปรดิวเซอร์จริงจังครั้งแรกด้วย

ปูน: ใช่ครับ ในอัลบั้มนี้วงเราได้คุณเชน เอ็ดเวิร์ด (Shane Edwards) โปรดิวเซอร์ชาวออสเตรเลียมาช่วยโปรดิวซ์ด้วย

นิว: การทำงานกับเชนเป็นประสบการณ์ที่ดีมากๆ เพราะทั้งเขาและพวกเราพร้อมที่จะเปิดใจเข้าหากันทั้งคู่ จนทำให้เกิดงานที่เราคิดว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่วงเคยทำมา

พัด: เหมือนเขาช่วยดึงสิ่งที่ดีที่สุดของเราออกมาได้เยอะมากๆ

 

กระบวนการที่เกิดขึ้นตอนทำงานเป็นอย่างไรบ้าง

นิว: อย่างที่บอกว่าเราเปิดใจเข้าหากันมาก คือเพลงของ Zweed n’ Roll ส่วนใหญ่จะเป็นเพลงที่ค่อนข้างยาวและมีดนตรีเยอะ แต่สไตล์ของเชนคือจะทำเพลงที่ค่อนข้างกระชับ ซึ่งพอเขาได้ฟังเพลงของเราเขาก็เปิดใจ แล้วก็บอกว่าบางทีไม่ต้องทำให้มันสั้นขนาดนั้นก็ได้ แค่ให้มันพอดีและเหมาะกับตัวเพลง ในขณะที่บางครั้งพวกเราเองก็ยอมให้เขาตัดเพลงให้สั้นลง ให้กระชับขึ้น

อีกเรื่องหนึ่งคือ ปกติเวลาเราอัดเพลงบางครั้งเราเล่นไปก็ไม่แน่ใจกับตัวเองว่ามันดีหรือเปล่า คือเราไม่ค่อยได้รับการเชียร์หรือบิลด์เท่าไรนัก แต่ตอนอัดอัลบั้มนี้พอเล่นเสร็จ เชนก็จะชมเราว่าที่คุณเล่นมันสุดยอดมาก คุณนี่ Legend เลย ซึ่งมันก็ทำให้เรากล้าใส่อย่างเต็มที่ เพราะรู้สึกว่าเขาจะช่วยซัพพอร์ตเราจริงๆ

ปูน: เชนให้ความสำคัญกับอารมณ์ของเพลงค่อนข้างมากด้วย ถึงแม้ว่าจะเป็นเพลงไทยก็ตาม ยกตัวอย่างบางเพลงที่เขามองว่าควรจะมีท่อนโซโล่ เขาก็จะถามผมว่าเนื้อเพลงเขียนว่าอะไรบ้าง อยากให้ผมเล่นดนตรีออกไปตามความรู้สึกที่ถูกเขียนไว้ในเนื้อเพลง

นอกจากนี้เขาก็ละเอียดกับเรื่องซาวด์ ถ้าเทียบกับอัลบั้มที่แล้วที่ผมใช้กีตาร์ตัวเดียวอัด พอมาอัลบั้มนี้เชนบอกว่ามีกีตาร์ตัวไหนบ้างเอามาให้หมด เผื่อเลือกหยิบมาใช้เวลาที่อยากได้เสียงตามสไตล์ของกีตาร์แต่ละตัว ซึ่งก็ทำให้อัลบั้มนี้มีซาวด์กีตาร์ที่หลากหลายกว่าเดิม ระหว่างอัดเราก็มีการใช้เอฟเฟกต์เข้ามาช่วย คือพยายามทำให้เสียงมันหลากหลายขึ้นผ่านกีตาร์ โดยที่ไม่ต้องไปพึ่ง Synthesizer หรือเครื่องดนตรีอื่นๆ มากมาย

เหมือนเชนเขาอยากให้ทุกอย่างออกมาโดยมีความเป็นแอนะล็อกมากที่สุด คือเขาใส่ใจเรื่องซาวด์มากๆ แต่ก็ยังคงความเป็นตัวของพวกเราเอาไว้อยู่

 

ผ่านมาเกือบ 10 ปี นับตั้งแต่จุดเริ่มต้นของวง มุมมองของพวกคุณที่มีต่อดนตรีเปลี่ยนแปลงหรือแตกต่างจากเดิมบ้างไหม

นิว: สำหรับผมต่างนะครับ เมื่อก่อนผมรู้สึกว่าดนตรีคือทุกอย่างในชีวิต แต่ตอนนี้ผมไม่ได้เป็นอย่างนั้นแล้ว ไม่ใช่ว่าไม่รักดนตรีแล้วนะ ผมยังฟังเพลงเยอะ ยังหา New Release ฟังตลอด แค่คาดหวังกับมันน้อยลงมากกว่า 

พอโตขึ้นเราก็พบชีวิตมันมีอีกหลายด้านและมีสิ่งอื่นๆ ที่เราชอบทำด้วยเหมือนกัน เช่นการเล่นเซิร์ฟ หรือดำน้ำ ซึ่งจริงๆ สิ่งเหล่านั้นมันก็ยังสามารถวนกลับเข้ามาอยู่ในดนตรีของเราได้อยู่ดี

ปูน: สิ่งที่สังเกตได้คือผมฟังเพลงน้อยลง แต่ฟังแนวที่ตัวเองชอบมากขึ้น แล้วถ้าชอบเพลงไหนก็จะฟังเพลงนั้นวนอยู่เพลงเดียวไปช่วงหนึ่งเลย เหมือนไม่ค่อยหาเพลงมาฟังเพิ่มขึ้นเท่าไหร่

มิน: ถ้าในแง่ความรู้สึกผมก็ไม่ค่อยต่างเท่าไรนะครับ เราอาจจะไม่ได้มองว่าดนตรีเป็นทุกอย่างในชีวิตมาตั้งแต่แรกแล้ว สำหรับผมดนตรีเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต และทุกวันนี้ก็ยังเป็นแบบนั้นอยู่ แล้วมันก็เป็นส่วนที่ดีของชีวิตเรา

ทัน: เมื่อก่อนเวลาฟังเพลงผมจะชอบหาฟังให้มันลึกลงไปเรื่อยๆ รู้สึกว่าเมื่อก่อนเราฟังเพลงที่ค่อนข้างยาก แต่ทุกวันนี้ฟังเพลงที่มันง่ายขึ้น สามารถเอ็นจอยกับการฟังเพลงบนบิลบอร์ด ฟังเพลงตามคลื่นวิทยุได้ รู้สึกว่าเราเปิดมากขึ้น

พัด: สำหรับพัดเราก็ยังอยู่กับดนตรี แต่ที่เปลี่ยนไปคือความทะเยอทะยานที่มากขึ้น เมื่อก่อนเวลาทำเพลงพอทำเสร็จก็จะไม่ได้สนใจว่า คนจะรู้สึกยังไงกับเพลงของเรา แต่ทุกวันนี้ก็เหมือนเริ่มมีความคาดหวัง อยากให้คนฟังประทับใจผลงานของเรา ซึ่งในแง่หนึ่งมันก็เหมือนเป็นการกดดันตัวเอง แต่มันก็เป็นสิ่งที่เตือนเราว่าเราหยุดอยู่กับที่ไม่ได้แล้ว หลังจากที่เราหยุดอยู่กับที่มาประมาณ 7-8 ปี แต่พอได้ปล่อยอัลบั้มนี้มันเหมือนเราหลุดออกมาจากหล่มนั้น ก็เลยรู้สึกว่านี่มันคือการฟื้นขึ้นมา และหลังจากนี้เราก็ต้องบินแล้ว

 

ถ้าให้วงลองจินตนาการว่า Resurrection นี้เป็นเหมือนเพื่อนสักคนหนึ่ง อัลบั้มนี้เป็นเพื่อนแบบไหน 

พัด: เพื่อนที่รับฟัง ไม่ต้องให้คำแนะนำอะไรมาก แค่นั่งอยู่ข้างๆ ก็รู้สึกอุ่นใจ

นิว: ใช่ น่าจะเป็นเพื่อนที่รับฟัง เพื่อนที่อาจจะเคยเจออะไรมาเหมือนกัน เพื่อนที่เข้าใจ คอยอยู่ข้างๆ เวลามีอะไรก็ระบายให้ฟังได้ 

 

ตั้งแต่มีสถานการณ์โควิด-19 ความเคว้งคว้างดูเหมือนจะเป็นอารมณ์ร่วมของสังคม นอกจากเพลงที่ทำออกมาแล้ว วงมีอะไรที่จะบอกกับแฟนเพลงหรือคนทั่วไปที่กำลังรู้สึกเคว้งอยู่ไหม

นิว: คงต้องบอกว่าผมก็เคว้งเหมือนกัน แต่ก็หวังว่าเราจะฟื้นไปด้วยกัน เพราะเราอาจจะไม่สามารถฟื้นขึ้นมาด้วยตัวคนเดียว อาจจะต้องมีหลายๆ ฝ่ายช่วยกัน นอกจากนักดนตรีต้องมีคนดูแล้ว เราก็ต้องอาศัยการสนับสนุนจากภาครัฐด้วย

สำหรับแฟนเพลงเรารู้ว่าช่วงเวลานี้มันแย่และมันก็ยาก แต่หวังว่าการฟื้นของเรา จะช่วยให้ทุกคนฟื้นขึ้นมาได้เช่นกัน หากมีโอกาสได้เจอกันในคอนเสิร์ตก็มาทัก มาพูดคุย หรือบอกเล่าเรื่องราวให้ฟังกันได้

พัด: บางปัญหาที่เราเผชิญกันอยู่ มันไม่ใช่รอเวลาแล้วจะดีขึ้นหรือหายไป เราต้องช่วยกันส่งเสียงเพื่อที่จะให้เกิดการพัฒนา ถ้าเรามัวแต่รอว่าเดี๋ยวเวลาผ่านไปมันก็ดีขึ้น สุดท้ายจะไม่มีวันนั้นหรอก

Tags: , , , , , ,