หากย้อนความทรงจำกลับไปยุค 2010 ต้นๆ ชื่อของ หวาย-ปัญญริสา เธียรประสิทธิ์ ถือเป็นศิลปินแถวหน้าของค่ายกามิกาเซ่ (Kamikaze) ไอดอลของวัยรุ่นไทยในฐานะ ศิลปินสาวที่เพียบพร้อมไปด้วยความสามารถ และมีบุคลิกที่เต็มไปด้วย ‘ความเฟียร์ส’ ความมั่นใจ ที่ไม่มีใครเหมือน

15 ปีที่แล้ว หวายเปิดตัวในวงการด้วยซิงเกิล ‘ตกหลุมรัก’ ได้รับทั้งคำชื่นชมและคำวิจารณ์ในเวลาเดียวกัน อาจเป็นเพราะความสดใหม่ในแนวทางการเป็นไอดอลของเธอ ที่ผู้ใหญ่ในเวลานั้นอาจยังไม่เข้าใจเท่าไรนัก 

ทว่าปัจจุบันที่กระแส Y2K เริ่มหมุนกลับมาฮิตในสังคมไทย วันนี้ ปัญญริสาเป็นชื่อที่สังคมคิดถึงอีกครั้ง และเมื่อเธอได้ปล่อยเพลงช้า R&B ‘ให้พูดได้มั้ย? (Let me talk)’ เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2023 อีก ก็ยิ่งทำให้เธอถูกพูดถึงทั้งจากแฟนคลับหน้าเก่า และน้องหน้าใหม่ที่อยากรู้จักไอดอลยุค Y2K เป็นจำนวนมาก

The Momentum จึงชวนเจ้าแม่ R&B ผู้รักการเต้นมาพูดคุยเกี่ยวกับเส้นทางศิลปินตลอด 15 ปีของเธอ ทั้งในแง่มุมมองของชีวิต แพสชัน ตัวตน และเนื้อหาที่สั่งสมมาตลอด ในเส้นทางไอดอลของวงการป็อปประเทศไทย

หวาย Kamikaze

ในสมัยก่อนหลายคนบอกว่า ศิลปินที่ยังอายุน้อยมักไม่มีสิทธิตัดสินใจเรื่องต่างๆ อยากรู้ว่าในฐานะคนที่เข้าวงการตั้งแต่เด็ก มีอะไรที่คุณไม่ได้ตัดสินใจเองในตอนนั้น แล้วรู้สึกเสียดายภายหลังบ้างไหม

ถ้าถามคำถามนี้ตอนเด็กๆ คงอาจจะมี แต่พอถามตอนนี้ เราคงตอบว่าไม่มี วันนี้เราคิดทุกอย่างที่ทำมา มันทำให้เรามาถึงจุดนี้ได้ มันมีเหตุผลของมัน

อาจจะมีเรื่องเดียว คือตอนที่เราเคยไปเป็นศิลปินฝึกหัดที่ประเทศเกาหลีใต้ แล้วไม่ได้ทำต่อ แล้วตัดสินใจกลับมาอยู่ที่ประเทศไทย ถ้าย้อนกลับไปได้ เราคงไม่ทำแบบนั้น วันนี้เรารู้สึกว่า ตอนนั้นเราได้โอกาสที่ดีมากๆ มาแล้ว แต่ทำไมถึงไม่ไปต่อกับโอกาสนั้น ก็เลยรู้สึกเสียดาย รู้สึกว่าถ้าเราจริงจังกับโอกาสนั้น ก็อาจจะไปได้ไกลกว่านี้

แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า จุดที่เราอยู่ในตอนนี้มันไม่ได้มาไกลพอนะ เพียงแต่รู้สึกว่าถ้าไปต่อในเส้นทางนั้น อาจจะโกอินเตอร์ กลายเป็นศิลปินนานาชาติ อะไรแบบนั้น

ถ้าถามคุณพ่อคุณแม่ เขาจะดีใจมากที่เราไม่ได้ไปต่อ แต่ตัวเราก็เสียใจ (หัวเราะ)

การเริ่มเป็นศิลปินตั้งแต่อายุยังน้อย รู้สึกว่าช่วงชีวิตช่วงวัยรุ่นของตัวเองขาดหายไปไหม

ก็มีนะ เราไม่ได้ไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนเท่าไรเลย ในช่วงอายุที่ทุกคนมักไปเที่ยวเล่นด้วยกันหลังเลิกเรียน เราต้องซ้อม ต้องทำงาน ไม่ได้ไปงานพรอม ไม่ได้ไปเต้นกับเพื่อน ต้องพลาดหลายๆ จุดของชีวิตวัยเด็ก อีกมุมคือรู้สึกเหมือนตัวเองถูกบังคับให้ต้องโตเร็วกว่าวัย แต่ถ้าต้องแลกตรงนั้นเพื่อที่จะมีวันนี้ ตอนนี้เราก็รู้สึกโอเค 

การที่ไม่มีช่วงชีวิตวัยเด็กเหมือนคนอื่นส่งผลกับตัวคุณในปัจจุบันบ้างไหม

ปัจจุบันไม่ แต่ถ้าตอนอายุ 15-16 คิดว่าส่งผลประมาณหนึ่งเลย อาจเพราะเรายังไม่เข้าใจว่าทำไมเรามีชีวิตไม่เหมือนคนอื่น เราแค่อยากได้ไปที่ต่างๆ ได้ทำอะไรแบบที่คนอื่นทำ แต่พอคิดอีกที เราก็ได้งานที่คนอื่นไม่ได้ หลายคนอยากเป็นนักร้อง หลายคนอยากมาอยู่จุดที่เราอยู่ เลยพอจะเข้าใจได้ว่าเหมือนเป็นสิ่งที่จะต้องแลกกัน

ปัจจุบัน สังคมตระหนักรู้เรื่องสิทธิเด็กมากขึ้น และมีกระแสต่อต้านการนำเด็กมาทำงานในวงการบันเทิง หวายคิดเห็นอย่างไร

คิดว่าถ้าเด็กอยากทำ ครอบครัวและคนรอบข้างควรจะสนับสนุน แต่ถ้าเด็กบอกว่าไม่อยากทำ ก็ควรจะดึงเขาออกมาทันที ไม่ควรบังคับให้เขาไปต่อ หรือพูดว่า “ไหนๆ ก็ถึงจุดนี้แล้ว ทำต่อเถอะ” ไม่ควรไปกดดันเขา 

หรือถ้ามีกฎหมายออกมาบอกว่า การทำงานในวงการบันเทิงต้องมาจากความยินยอมของเด็กว่าอยากทำจริงๆ และครอบครัว ผู้ใหญ่ หรือคนที่มีอายุสูงกว่าไม่ควรบังคับให้เด็กทำงานได้

อย่างตัวเรา ตอนเด็กๆ เราเป็นคนบอกแม่เองว่าอยากทำ เพราะพี่ๆ ในค่าย RS เข้ามาทาบทามตั้งแต่อายุ 11 ปี แต่คุณแม่บอกว่าอายุยังน้อยไป พอผ่านไปหนึ่งปี หวายอายุ 12 ปี เขาก็กลับมาทาบทามอีก แม่ก็ถามหวายว่า อยากทำไหมและให้เราตัดสินใจเอง ซึ่งเราตอบว่าอยากทำ แม่จึงให้ลองทำ หรือมีช่วงหนึ่งที่เราบอกคุณแม่ว่าไม่อยากร้องเพลงเลย ค่อนข้างเศร้ามากๆ คุณแม่ก็ไม่ให้ร้องเพลงต่อ และดึงเราออกมาจากตรงนั้น หวายรู้สึกว่ามันทำให้เรากล้าบอกแม่ในหลายอย่าง จึงอยากบอกทุกคนว่า ถ้าพ่อแม่รับฟังลูก รับฟังเด็ก เขาก็จะกล้าเปิดใจ และบอกทุกอย่างกับพ่อแม่

ชีวิตในวงการบันเทิงส่งผลต่อการเติบโตของคุณแง่มุมไหนบ้าง

ส่งผลเยอะมาก ตอนเด็กๆ หวายก็เหมือนคนอื่นที่ยังมีความอินโนเซนส์ ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรเท่าไร โดยเฉพาะวัย 13 ปี ที่เพิ่งเริ่มเป็นวัยรุ่น กำลังเรียนรู้ต่างๆ ทุกอย่างดูสดใสไปหมด ตอนนั้นยังไม่ค่อยมองโลกในแง่ลบเท่าไร 

แต่พอเริ่มเป็นศิลปิน ทำให้เราต้องโต ต้องเข้าใจโลกเร็วกว่าปกติ เพราะเราต้องมีความรับผิดชอบมากกว่าคนอื่นๆ ในวัยเดียวกัน 

รวมถึงต้องเรียนรู้วัฒนธรรมไทยมากขึ้น เพราะเราเติบโตในครอบครัวที่มีหลากหลายวัฒนธรรม และเรียนโรงเรียนอินเตอร์ทั้งชีวิต ทำให้เราวางตัวต่อหน้าผู้ใหญ่ไม่ค่อยเป็น ไม่รู้ว่าต้องพูดแบบมีหางเสียง จนทุกวันนี้ก็ยังไม่ค่อยเก่งเรื่องนี้ แต่ก็ดีขึ้นมากๆ เพราะเรียนรู้มาเรื่อยๆ เมื่อก่อนเราจะคิดว่า “เอ้า ก็เราไม่รู้ ไม่ได้ตั้งใจ” แต่ต่อให้ไม่รู้และไม่ได้ตั้งใจจริงๆ สักวันหนึ่งก็ต้องกลับมานั่งคิดว่า เราควรที่จะเคารพวัฒนธรรมนี้ด้วย และสิ่งที่เราทำอาจจะไม่ถูกต้องเสมอไป 

อีกอย่างที่วงการบันเทิงสอนเรา คือสอนให้เก่งภาษาไทยขึ้นเยอะมากๆ (หัวเราะ) เพราะตอนเริ่มเข้าวงการ ยังพูดไม่ชัด อ่านไม่ออก และเขียนไม่ได้ เนื่องจากเมื่อก่อนไม่เคยพูดไทยกับครอบครัวเลย และที่โรงเรียนก็ไม่พูดเหมือนกัน แต่เมื่อทำงานในวงการบันเทิง มันบังคับให้เราต้องพูด เราจึงเริ่มแปลเป็นภาษาคาราโอเกะ และจำคำที่เคยแปล หรือเคยคุยกับคนอื่นไปเรื่อยๆ ว่า ตัวอักษรเป็นแบบนี้นะ หรือคำนี้มีความหมายแบบนี้นะ กลายเป็นว่าตอนนี้เราพูดไทยชัดขึ้น อ่านได้แต่อาจจะช้านิดหนึ่ง หรือเขียนได้ แต่อาจจะผิด (หัวเราะ) แต่คนอ่านก็เข้าใจว่าเราพยายามที่จะเขียนอะไร

หากให้เลือก 3 เพลงที่สะท้อนตัวตนในการเป็นศิลปินของคุณ จะเป็นเพลงไหนดี

1. ‘ฝากไว้อีกวัน’ เพราะรู้สึกว่าเป็นหนึ่งในเพลงแง่บวกไม่กี่เพลงที่เราได้ร้อง ในวันที่ไม่ค่อยมีกำลังใจก็ฟังได้ รู้สึกดี รวมถึงเวลาเจอแฟนคลับหลายๆ คนเขาก็บอกว่าชอบเพลงนี้ เราเลยรู้สึกว่านี่เป็นเพลงของเรา

2. ‘เสียใจแต่ไม่แคร์’ เพราะเป็นเพลงที่ทำให้ทุกคนได้รู้จักกับเราจริงๆ ไม่ว่าจะวัยไหนก็ตาม

3. ‘ตกหลุมรัก’ เพราะเป็นเพลงแรกในชีวิตเรา และเรามีความทรงจำเยอะมากกับเพลงนี้ ไม่ว่าจะเป็นวันถ่ายเอ็มวี วันอัดเสียง หรือคอนเสิร์ตแรก มันมีความสุขมาก 

หวาย XOXO Entertainment

วันนี้ที่กระแส T-Pop กลับมานิยมในไทยอีกครั้ง คุณคิดเห็นอย่างไรบ้าง

ดีใจที่ตอนนี้กระแส T-Pop มันมาแรง ดีใจที่คนบ้านเราเปิดรับศิลปินไทยมากขึ้น การที่ตอนนี้มีไอดอลออกมาเยอะๆ มันดี 

คือถ้าเป็นเมื่อก่อนมันก็ดีเหมือนกัน แต่สังคมจะมีความไม่กล้าที่จะบอกว่าเราติดตามไอดอลคนนี้อยู่ ได้แค่เก็บความรู้สึกชอบเอาไว้ในใจ แต่ตอนนี้หลายคนกล้าแสดงออกว่า ตนสนับสนุนไอดอล ตรงนี้ดีมากๆ อยากให้พัฒนาไปเรื่อยๆ เพราะเมื่อก่อนเพื่อนๆ ทุกคนที่กามิกาเซ่ก็อยากให้คนสนับสนุนเรา ซึ่งเรารู้อยู่แล้วว่ามีคนรักเรา แต่บางที เราก็ต้องการแรงสนับสนุนในรูปแบบเดียวกับที่เราเห็นทุกวันนี้ด้วย

อีกอย่างคือ ชอบที่ปัจจุบันศิลปินจะแต่งตัวแบบไหน พูดถึงอะไร ไม่ต้องระวังตัวอีกแล้ว แค่เป็นตัวของตัวเองก็จะมีคนยอมรับ เมื่อก่อนเรากับเพื่อนๆ กามิกาเซ่อาจจะเป็นตัวของตัวเองมากๆ แต่ด้วยความที่ว่ามันมาก่อนกาล หวายใส่บ็อกเซอร์ กางเกงทรงแบ็กกี้อะไรแบบนี้ ทุกคนบอกว่า “เฮ้ย ทำไมใส่ให้เห็นกางเกงใน ไม่ได้เรื่องเลย” แต่ทุกวันนี้คนมองเป็นแฟชั่น ซึ่งตอนนั้นเราก็มองเป็นแฟชั่น เพียงแต่คนไม่เข้าใจ 

ตอนนี้คนเข้าใจมากขึ้นว่า เราไม่ควรตัดสินใครจากการแต่งตัวหรือรูปลักษณ์ภายนอก เราควรแสดงความยินดีกับเขามากกว่า ที่เขากล้าแต่งตัวในแบบที่เขาชอบหรือแบบที่เขาเป็น

ทำไมจึงตัดสินใจเซ็นสัญญากับค่าย XOXO Entertainment 

จริงๆ ก่อนหน้านี้มีหลายค่ายติดต่อเข้ามา แต่หวายก็เลือก XOXO Entertainment เพราะรู้สึกว่า ความเป็นครอบครัวคล้ายคลึงกับตอนที่เราอยู่ค่ายกามิกาเซ่ แล้วเราเองก็มีเกณฑ์ประเมินของตัวเองอยู่ ถ้าศิลปินในค่ายแฮปปี้ ดังนั้น ก็คิดว่า XOXO Entertainment น่าจะเป็นค่ายที่ดี 

คำว่า ความเป็นครอบครัว หรือ Family Dynamic ของค่ายกามิกาเซ่คือทุกคนมีความเป็นครอบครัวเดียวกันมากๆ ไม่ว่าจะเป็นทีมงาน ศิลปิน รวมถึงพ่อแม่ของเพื่อนๆ ศิลปินด้วยก็ตาม ค่ายกามิกาเซ่เรารักกันมาก และอยู่เพื่อกันจริงๆ ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นก็ยังคอยซัพพอร์ตกันจนถึงทุกวันนี้ แม้ทุกคนจะแยกย้ายกันไปเติบโตตามเส้นทางของตัวเอง แต่พวกเราก็ยังนัดเจอกัน กินข้าวด้วยกัน หรือไปนอนบ้านเพื่อน มันยังเหมือนเดิมมากๆ หวายจึงมองว่า Family Dynamic เป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะการจะเป็นศิลปินที่ดีได้ มันต้องเริ่มจากหัวหน้าบ้านก่อน 

นอกจากนี้ คุณยังได้ปล่อยเพลงใหม่อย่าง ‘ให้พูดได้มั้ย?’ เพลงนี้มีที่มาอย่างไร

เพลง ‘ให้พูดได้มั้ย?’ เป็นเพลงที่ตั้งใจทำมาก หลายคนเข้ามาถามตลอดว่าเมื่อไรเราจะออกเพลงช้าอีก เราอยากทำเพลงช้าที่ทุกคนรู้สึกว่ายังเป็นตัวเราอยู่ แค่ในฉบับที่โตขึ้น ไม่ว่าจะคำพูด เนื้อร้อง หรือแนวเพลง อยากให้ทุกคนฟังแล้วรู้สึกว่า “เฮ้ย หวายกลับมาแล้ว” 

ตอนคุยกับพี่ๆ นักแต่งเพลงและคนเขียนเนื้อร้อง ก็มีการบรีฟกันว่าอยากให้ไปแนวทางนี้นะ แล้วทั้งคู่ก็ทำการบ้านได้ดีมาก ถ้าฟังเพลงดีๆ จะมีหลายท่อนที่เอาเนื้อร้องหรือชื่อเพลงที่เราเคยร้อง เช่น ‘เสียใจแต่ไม่แคร์’ หรือ ‘กอดสุดท้าย’ มาใส่ในเนื้อเพลง 

คุณมีส่วนร่วมในการทำเพลงนี้อย่างไรบ้าง ทำไมจึงออกมาเป็นเพลงที่สื่อสารเกี่ยวกับ Toxic Relationship และความรุนแรงในความสัมพันธ์ 

ตอนคุยกับทีม เขาจะถามก่อนว่าอยากได้เพลงแนวไหน เนื้อหาประมาณไหน เราก็บอกแนวเพลง และเล่าถึงหลายอย่างที่รับรู้มา

คือเรารู้สึกว่าช่วงนี้ในประเทศไทยมีข่าวการทำร้ายกันเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นทางคำพูดหรือทำร้ายร่างกาย เราเลยต้องการเป็นกระบอกเสียงให้กับคนที่กำลังรู้สึกแบบนี้ หรือตกอยู่ในความสัมพันธ์เป็นพิษ อยากสื่อสารว่า คุณต้องพูดความรู้สึกเหล่านี้ออกไป อย่าเก็บเอาไว้คนเดียว อย่างน้อยบอกคนที่เชื่อใจ คนที่สนิท ดีกว่าเก็บไว้กับตัวเอง และอยากให้เดินออกมาจากความสัมพันธ์นั้น ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์รูปแบบเพื่อน แฟน หรือครอบครัว ท้ายที่สุด เราไม่ควรถูกทำร้ายแบบนั้น มันไม่มีข้ออ้างที่ดีพอ

ส่วนเรื่องมิวสิกวิดีโอ เราอยากแสดงให้เห็นว่าการอยู่ใน Toxic Relationship มันไม่ดีนะ แต่ก็มีการคุยกับพี่ผู้กำกับว่าจะพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไร ให้ไม่กระทบจิตใจของทุกคนเกินไป ไม่อยากให้คนที่โดนเรื่องนี้มาดูเอ็มวีแล้วรู้สึกดูไม่ได้ หรือไปจี้จุดเขา พยายามถ่ายทอดมิวสิกวิดีโอออกมาให้ทุกคนเข้าใจ แต่ไม่ไปทริกเกอร์เขา

 

คุณเคยเจอเหตุการณ์แบบในเพลง ‘ให้พูดได้มั้ย?’ บ้างไหม ที่เลิกกันแล้ว แต่อีกฝ่ายเอาเรื่องของเราไปพูดเสียๆ หายๆ กับคนอื่น

มันก็มีนะ เราเป็นคนจริงจังกับการทำเพลงมาก ถ้าทำออกแล้วรู้สึกว่าไม่ใช่เรา ถ้ามันรู้สึกร่วมไม่ได้ เราก็จะไม่ทำ บางทีดีประมาณหนึ่งหรือเกือบจะดีแล้ว ถ้าเป็นไปได้เราก็จะปรับเปลี่ยนใหม่ให้ดีกว่านี้ อยากให้ทุกคนฟังแล้วรู้สึกร่วมได้ หรือฟังแล้วรู้สึกว่าเราเข้าใจเขา เพราะเราเองก็อยากเป็นปากเสียงให้ทุกคนด้วย บางทีเพื่อนเราเจออยู่ก็อยากพูดแทนเพื่อน บางทีก็อยากพูดแทนตัวเอง 

เมื่อตกอยู่ใน Toxic Relationship ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์รูปแบบใดก็ตาม คุณมีวิธีจัดการหรือออกมาจากตรงนั้นอย่างไร

 เวลาพูดมันพูดง่าย เวลาเราเจอคนอื่นโดน เราก็จะบอกว่า “เฮ้ย สู้เว้ย แค่ต้องเดินออกมา” แต่พอเจอกับตัวเองมันยากนะ มันพูดง่ายทำยาก แต่เราเชื่อว่า สุดท้ายเวลาจะช่วยเยียวยาทุกอย่าง ดังนั้น เราควรให้เวลาตัวเองด้วย ทำในจังหวะที่พอดีพอเหมาะกับตัวเอง 

การก้าวออกมาเร็วที่สุดอาจจะดีที่สุด แต่การที่เราให้เวลาตัวเอง เตรียมตัวให้ดีว่าเราจะต้องเดินออกจากตรงนี้จริงๆ นะ หลังจากเดินออกมาแล้วจะทำอย่างไรให้สุขภาพกายและใจเราดีที่สุด นี่ก็สำคัญเหมือนกัน

เวลาเจออะไรแบบนี้ อยากบอกทุกคนว่า ทางที่ดีที่สุดคือเดินออกมาเร็วที่สุด แต่ก็ไม่เป็นไรเหมือนกัน ถ้าเราจะใช้เวลากับมันก่อน ขอแค่ทุกคนไม่อยู่นานเกินไปจนเจ็บยิ่งกว่าเดิม มันมีคนที่รักเราเสมอ มีทางออกเสมอ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็มีทางออก ถ้าเราไม่มีคนสนิท ไม่มีเพื่อน ครอบครัว หรือคนไว้ใจให้ปรึกษา แนะนำให้โทรสายด่วนหรือไปปรึกษาคุณหมอก็ได้

แต่ก็มีคนบางประเภทที่ ‘มูฟออนเป็นวงกลม’ จริงๆ ไม่สามารถเดินออกมาได้เลย หรือไม่กล้าพอที่จะตัดสินใจ คุณอยากบอกอะไรคนเหล่านั้นบ้างไหม

การติดอยู่ในวงกลมของความสัมพันธ์ เราว่าเป็นเรื่องปกติสำหรับคนที่อยู่ในความสัมพันธ์ที่ไม่ดี แล้วเมื่อโดนมาระยะหนึ่ง หลายคนจะเฉยชากับความรู้สึกนั้นไปแล้ว มันชินไปแล้ว 

เวลาเราอยู่ในความสัมพันธ์หรือโดนกระทำแบบนั้น ผู้กระทำมักเชื่อว่าเขาทำเราได้ เพราะเราจะไม่เดินออกไป เขามองว่าเดี๋ยวเราก็อยู่กับเขาต่อ เดี๋ยวเราก็ไม่บอกใครอยู่ดี เขาอาจจะคิดว่าเราอายไม่กล้าบอกใครหรือเขาขู่ หรือแค่คิดว่าเราไม่มีใครให้บอก 

จนทำให้หลายคนรู้สึกว่าตนไม่สามารถเจออะไรที่ดีกว่า หลายคนบอกตัวเองว่า “ถึงเขาจะเป็นแบบนี้ แต่เขาก็รักเรา” ซึ่งจริงๆ อยากจะบอกว่ามันมีคนที่ทั้งรักเราได้และไม่ทำร้ายเราได้เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน แฟน หรือครอบครัว 

ดังนั้น มันเลยไม่มีเหตุผลที่ดีพอเลย ที่เราต้องโดนทำร้ายเช่นนี้

หวาย ปัญญริสา

คนส่วนใหญ่มักจะมองว่าคุณเป็นศิลปินที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ คุณรู้สึกเช่นนั้นไหม

ตอนนี้ก็ยังเป็นตัวของตัวเองอยู่ แต่โตขึ้น อ่อนไหวขึ้น 

ตอนเด็กๆ เรายังไม่เข้าใจว่านี่คือการทำงาน เรายังสนุกสนานกับทุกอย่างอยู่ หวายว่าธรรมชาติเด็กทุกคนยังบริสุทธิ์มาก ไม่ค่อยมีความคิดแง่ลบ แต่พอทำงานมาสักระยะหนึ่ง และในช่วงนั้นเราเจอความเห็นทั้งดีและไม่ดี ก็เลยเริ่มแคร์กับเสียงคนรอบข้างมากกว่าเดิม ไม่ได้รู้สึกมั่นใจเท่าตอนแรกขนาดนั้น 

แต่จนวันนี้ พอมันโตขึ้นมาอีกนิด ก็เริ่มมาสนใจและแคร์ความรู้สึกของตัวเองมากกว่าคนอื่น ทำให้ความมั่นใจก็เริ่มกลับมาอีกครั้งแล้ว 

จุดเปลี่ยนที่ทำให้ความมั่นใจของหวายกลับมาคืออะไร

อาจจะเป็นเพราะตอนนี้ได้ความเห็นที่ดีๆกลับมา ในช่วงที่ทุกคนกำลังกลับมาอินเทรนด์ Y2K แบบนี้ อีกทั้งคอมเมนต์หรือฟีดแบ็กที่เราได้มา มันแตกต่างจากเมื่อก่อนมาก ไม่ใช่ว่าเมื่อก่อนมีแต่ไม่ดีนะ แต่เราแค่รู้สึกว่า คนที่เมื่อก่อนอาจจะไม่กล้าแสดงออกว่าชอบผลงานเราหรือติดตามเรา ตอนนี้เขากล้าบอกเราแล้ว เราเลยมีกำลังใจมาก มั่นใจในตัวเองมากขึ้น 

อีกอย่างคือ สังคมที่ไทยตอนนี้เริ่มเข้าใจเรื่อง Bullying มากขึ้นด้วย หรือเรื่องการเหยียดรูปร่าง ทุกคนก็รู้แล้วว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดี สังคมกำลังก้าวไปในทางที่ดีขึ้นเรื่อยๆ เรามองว่าเป็นทิศทางที่ดี

แล้วเรื่อง Beauty Standard และมาตรฐานสังคมอื่นๆ ตอนนี้คุณก้าวข้ามไปได้หรือยัง

คิดว่าก้าวข้ามได้แล้ว 

มีช่วงหนึ่งที่เราเศร้ามาก และไม่เข้าใจเลยว่า คนจะอะไรกับเรานักหนา เราเป็นนักร้องก็อยากให้ทุกคนโฟกัสกับการร้องเพลง ผลงานที่เราทำออกมา รวมถึงเนื้อหาของเพลง แต่แน่นอนว่า เราก็อยากดูดีในสายตาของทุกคนด้วยเหมือนกัน แต่เราแค่ไม่เข้าใจว่า การที่เราแต่งตัวเป็นตัวเอง มันไม่ดีขนาดนั้นเลยเหรอ 

พอมาถึงวันนี้ อาจเพราะอยู่ในวงการมานาน และโตขึ้น อายุก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้ว ก็เลยรู้สึกว่าจะได้รับการยอมรับมากขึ้น เหมือนหลายคนก็อาจจะมองว่า สิ่งที่เราทำเป็นเรื่องปกติ มองว่าการที่เราแต่งตัวแบบนี้ ก็โอเคในแบบของเรานะ

แต่ในใจของเราเอง จริงๆ คือมันถึงจุดที่เราไม่อยากแคร์คนที่มีความคิดเห็นลบอีกต่อไปแล้ว โดยเฉพาะความเห็นที่ไม่ได้หวังดีกับเรา ไม่ได้ทำให้เราดีหรือพัฒนาขึ้น ดังนั้น ถ้าเป็นความเห็นที่ไม่ก่อประโยชน์ ลดความมั่นใจของเรา ก็จะไม่แคร์แล้ว เพราะอย่างน้อย เราชอบในสิ่งที่เราเป็นอยู่ แค่นี้ก็พอแล้ว

แม้จะทำงานมานานแล้ว แต่ยังคงมีสิ่งที่ยากสำหรับคุณไหม

มีอยู่ การตั้งสติหรือควบคุมอารมณ์ก่อนขึ้นโชว์ก็ยังเป็นสิ่งที่ยากสำหรับเราอยู่ อาจจะยากน้อยลง หรือใช้เวลาเตรียมตัวสั้นลง แต่ทุกครั้งที่กำลังจะขึ้นเวที เราก็ยังคงตื่นเต้นว่าเราจะเต้นผิดไหม จะร้องผิดไหม หรือจำเนื้อเพลงไม่ได้แล้ว 

แต่กลายเป็นว่าท้ายที่สุด เมื่อขึ้นเวที ทุกอย่างจะดำเนินไปเองอัตโนมัติเหมือนหุ่นยนต์ที่ถูกตั้งค่าไว้แล้ว นอกจากนี้ เรื่องการสัมภาษณ์ในรายการทีวี เราก็กังวลว่าตัวเองจะพูดถูกไหม ยิ่งถ้าเป็นรายการสดก็จะยิ่งกังวล

สิ่งที่ดีและไม่ดีที่สุดของการทำงานในวงการบันเทิงสำหรับคุณคืออะไร

สิ่งที่ดีมากๆ สำหรับเรา คือการได้ทำในสิ่งที่รัก อย่างการร้องเพลงเป็นอาชีพ เราดีใจมากที่ไม่ต้องทำอาชีพที่ไม่ชอบ เพราะหลายคนอาจจะไม่มีโอกาสแบบนี้ ไม่ใช่แค่อาชีพนักร้อง แต่ไม่ว่าจะอาชีพอะไรก็ตาม ถ้าคุณได้ทำในสิ่งที่คุณชอบเป็นอาชีพ มันดีมากจริงๆ และสิ่งที่ดีอีกอย่างหนึ่งคือการได้เจอผู้คน เพราะการทำงานในวงการบันเทิง มันบังคับให้เราเจอคนนู้นคนนี้ ซึ่งไม่ใช่แค่การรู้จักแบบผิวเผิน แต่คือสร้างความสัมพันธ์ เป็นรุ่นพี่-รุ่นน้องกัน สามารถขอคำปรึกษากันได้

สิ่งที่ไม่ดีคือความเหนื่อย ด้วยความที่อาชีพเราต้องใช้แรงเยอะมากในช่วงเวลาสั้นๆ บางครั้งประมาณ 45 นาที แต่มันก็เหนื่อยเหมือนกัน เพราะใช้ทั้งแรงและอินเนอร์ แล้วยิ่งหากทำงานในวัยเด็ก แม้จะเป็นเด็กยุคนี้ก็ตาม สิ่งที่ไม่ดีคือ เราจะขาดช่วงเวลาวัยเด็ก เช่น อดไปเที่ยวกับเพื่อน 

คิดอย่างไรกับประโยคที่ว่า อาชีพศิลปินสบายกว่าหลายอาชีพ

เราเข้าใจ เพราะอาชีพอื่นที่ต้องเข้าออฟฟิศตั้งแต่ 09.00-17.00 น. ก็ลำบากจริงๆ แต่การที่เราไม่ต้องร้องเพลงทั้งวัน ไม่ต้องตื่นมาทำงานทุกวัน และมีวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ มันไม่เหนื่อยเท่าคนอื่นจริงๆ เพราะเราไม่ได้รับงานทุกวัน และนานๆ ทีจะมีคอนเสิร์ต เราพูดได้เลยว่า เราไม่เหนื่อยเท่าคนอื่น แต่ศิลปินที่รับงานทุกวัน วันละ 5-6 งาน เขาก็อาจจะเหนื่อยมากเช่นกัน 

มีอะไรบ้างไหมที่อยากทำ แต่ยังไม่เคยมีโอกาสได้ทำ

ที่จริงอยากลองมาลุยเรื่องการแสดง อยากเล่นซีรีส์ แต่เรายังไม่เคยเรียนในด้านนี้ แล้วก็ไม่มั่นใจในเรื่องนี้จริงๆ ขนาดเอ็มวี ‘ให้พูดได้มั้ย?’ ที่เพิ่งถ่ายไปก็ยังรู้สึกว่าเราจะแสดงอย่างไรดี โชคดีที่มีน้องเน็ต (สิรภพ มานิธิคุณ) มาเล่นเป็นพระเอก เหมือนเขาส่งบทให้เรามากๆ เห็นน้องแสดงแบบนั้นแล้วเราอินกับบทขึ้นมาทันที เลยทำให้รู้สึกว่าอยากลองในเรื่องการแสดง แต่อาจจะขอไปเรียนก่อน ขอพร้อมก่อน

แล้วก็อยากทำธุรกิจของตัวเอง อาจจะเป็นแบรนด์เครื่องสำอางหรือเสื้อผ้า แต่ก็ยังต้องศึกษาต่อไปเรื่อยๆ ก่อนที่จะทำ เพราะเราไม่อยากอยู่ดีๆ เร่งรีบทำ อยากที่จะหาข้อมูลแบบจริงๆ ก่อน พอพร้อมเมื่อไรค่อยทำ

คิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จแล้วหรือยัง

คิดว่าหวายประสบความสำเร็จแล้ว เพราะความสำเร็จสำหรับเราไม่ใช่การที่ทุกคนรู้จัก แต่คือการที่เราผ่านพ้นจุดๆ หนึ่งมาได้ และกลับมายืนอย่างมีความมั่นใจได้เหมือนเดิม เหมือนเราผ่านจุดที่ความมั่นใจเป็นศูนย์ และกลับมาเป็นร้อยอีกครั้ง เราก็เลยรู้สึกว่า นี่แหละ คงเป็นความสำเร็จของเรา

ความสำเร็จอีกอย่างหนึ่ง คือวันแรกที่มีคอนเสิร์ตเพลงตกหลุมรัก แค่นั้นก็รู้สึกว่า เราบรรลุเป้าหมายที่อยากทำให้สำเร็จมากๆ มาตั้งแต่เด็กแล้ว

สำหรับศิลปินหลายคน เมื่ออยู่ในวงการนานขึ้น กระแสก็มักจะเริ่มลดลง สิ่งนี้ส่งผลต่อคุณหรือไม่

เราไม่คิดมาก แต่ก็ส่งผลบ้าง อย่างช่วงที่ปล่อยเพลงใหม่ เราก็จะกังวลว่า เพลงจะกระแสดีไหม คนจะให้ความสนใจเหมือนเดิมไหม แต่ก็พยายามบอกตัวเองว่า ทำให้ดีที่สุด ทำในสิ่งที่เราชอบที่สุด ถ้าคนอื่นจะชอบ เขาก็ชอบ ถ้าไม่ชอบก็ไม่ชอบ เราแค่ต้องทำใจ แต่ทำในสิ่งที่ชอบ ดีกว่าฝืนปล่อยเพลงที่ตัวเองไม่ชอบออกมา

ด้วยความที่เราโตแล้ว เราจะต้องบอกตัวเองว่า มีขึ้นก็ต้องมีลง และอาจจะขึ้นมาอีกก็ได้ ใครจะไปรู้ ดังนั้น ถ้าเรารักในจุดที่ยืนอยู่หรือสิ่งที่ทำอยู่ ก็แค่ทำต่อไปเรื่อยๆ ดีกว่า อย่าให้สภาพแวดล้อมหรือคนภายนอกมาทำให้รู้สึกว่า เราควรจะหยุดทำในสิ่งที่ตัวเองรัก แค่เพราะยอดวิวเราน้อย หรือคนอาจจะไม่ได้สนใจเรามากขนาดนั้นแล้ว 

 

ในวันนี้คิดว่าคุณค่าในชีวิตของตัวคุณเองคือเรื่องอะไร

การหาความสุขของตัวเองให้เจอ บางทีเราอาจจะอยู่ในสถานการณ์หรือช่วงชีวิตที่เราหาความสุขไม่เจอ ไม่รู้ว่าความสุขอยู่ไหน แต่อยากให้ทุกคนรู้เอาไว้ ว่าความสุขมันอยู่รอบตัวจริงๆ อาจจะใช้ต้องเวลาในการค้นหาบ้าง แต่หากพยายามต่อไป วันนั้นจะมาถึงแน่นอน

อย่างความสุขของเราในตอนนี้ คือเราสุขภาพดีขึ้น ได้ดูซีรีส์อยู่บ้าน อยู่กับครอบครัว เพราะเราเป็นคนติดบ้าน ออกไปข้างนอกก็ชอบนะ แต่ชอบอยู่บ้านมากกว่า ส่วนใหญ่ก็ให้เพื่อนมาหาที่บ้าน (หัวเราะ) ตอนนี้อยากโฟกัสในเรื่องสุขภาพของเราเหมือนพอโตขึ้น เราก็ให้ความสนใจกับเรื่องนี้มากขึ้นจริงๆ เพราะเราก็ไม่อยากป่วยไปเรื่อยๆ

เป้าหมายในอนาคต ทั้งในแง่ของการทำงานและชีวิตส่วนตัว

อยากเติบโตไปและร้องเพลงไปเรื่อยๆ จนกว่าตัวเองจะร้องไม่ได้แล้ว เพราะเรารักการร้องเพลงมาก นอกจากนี้ ก็อยากเรียนเกี่ยวกับดนตรีด้วยเหมือนกัน เพราะอยากพัฒนาด้านนี้ไปเรื่อยๆ แล้วก็อยากไปเรียนต่อด้านอาชญาวิทยา (Criminology) เพราะชอบมากๆ เป็นอีกความฝันหนึ่งที่อยากลองทำ ดังนั้น หลังจากนี้อาจจะต้องบาลานซ์ทุกอย่างให้ดีขึ้นกว่าเดิม

มีโอกาสที่จะได้เห็นคุณทำงานเบื้องหลังวงการเพลงบ้างไหม

มี อยากแต่งเพลง เขียนเนื้อร้องเอง แต่อาจจะติดในเรื่องของภาษานิดหนึ่ง (หัวเราะ) เพราะคำพูดเวลาพูดคุยนั้นง่ายมาก แต่เวลาจะทำให้เนื้อเพลงลงตัว มักหาคำพูดไม่ได้ 

(คิดครู่หนึ่ง) อยากกำกับเอ็มวีด้วย ถ้ามีโอกาสก็อยากทำมากๆ เพราะชอบอะไรที่เกี่ยวกับการกำกับ และตัดต่อ

มีอะไรที่คุณอยากแนะนำศิลปินรุ่นถัดๆ ไปบ้างไหม

อยากจะบอกทุกคนว่า มีคนรักก็ต้องมีคนไม่ชอบ อย่าคิดมาก 

พูดว่าอย่าคิดมากก็อาจจะพูดง่าย แต่เอาเป็นว่า พยายามที่จะเข้าใจให้มากที่สุด แคร์คนที่เราควรแคร์ อะไรที่ทำให้รู้สึกไม่ดีก็อย่าไปอ่าน อย่าไปเอามาใส่ในใจ แต่ถ้าเป็นเรื่องที่คนอื่นตั้งใจเตือนเรา และอยากให้เราเป็นไปในทางที่ดีขึ้น ถึงแม้ว่ามันอาจจะเจ็บแค่ไหน แต่ก็พยายามที่จะเข้าใจว่า เขาเป็นห่วงเรานะ บางทีเขาอาจจะไม่ได้ว่าเราก็ได้ และสนใจคนที่รักเรามากๆ 

รวมถึงดูแลตัวเองให้ดี อยากให้โฟกัสเรื่องสุขภาพของตัวเองมากๆ เพราะตอนเรายังเด็ก เราไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้หรอก เพราะเรายังมีแรงสู้ เรายังเก่ง และอยู่ในวงการไปนานๆ เท่าที่ทุกคนอยากอยู่ ไม่ต้องกดดันตัวเองมากเกินไป

Tags: , , ,