“เดี๋ยวพี่เกดจะเล่นเกมให้ดู ใครแข็งสุด ตัดออกแน่”

“แต่พี่ไม่อยู่ในห้องนี้กับหนูนะ”

“วาสลีนกลูต้า ไฮยา… อะไรนะ”

เดินทางกันมาถึง EP สุดท้ายอย่าง ‘ไฟนอลวอล์ก’ แล้ว สำหรับ The Face Thailand Season 6 Cycle 9 รายการแฟชั่นชั้นนำในตำนานขวัญใจลูกเล็กเด็กแดง ที่กลับมาเฉิดฉายอีกครั้งในรอบ 6 ปี ท่ามกลางกระแสตอบรับล้นหลามของแฟนรายการผู้ไม่ห่างหายไปไหน สะท้อนจาก ‘มีม’ ประโยคเด็ดข้างต้นที่แพร่ระบาดทั่วโลกออนไลน์ตั้งแต่รายการยังไม่จบ หรือแม้แต่ความคิดเห็นของผู้ชมบนโซเชียลฯ ในแบบเรียลไทม์ จนทำให้ทั้งไทม์ไลน์รู้หมดว่า วันนี้แคมเปญคืออะไร หรือเมนเทอร์คนไหนตัดผู้เข้าแข่งขันบ้าง

ตามที่ เต้-ปิยะรัฐ กัลย์จาฤก ทายาทรุ่นที่ 3 แห่งบริษัทกันตนา และเจ้าของรายการเคยกล่าวไว้ กิมมิกการคัมแบ็กของ The Face Thailand ในครั้งนี้คือ ความสดใหม่ตามพลวัตของโลกและวงการแฟชั่นในแบบฉบับ New Era ที่จัดหนักจัดเต็ม ตั้งแต่กติกา บรรยากาศรายการ และเมนเทอร์เจนใหม่อย่าง มารีญา พูลเลิศลาภ ดีกรี Top 5 Miss Universe 2017 และนักเคลื่อนไหว, แอนโทเนีย โพซิ้ว เจ้าของตำแหน่งรองอันดับ 1 Miss Universe 2023 และ Miss Supranational 2019 และ แพนเค้ก-เขมนิจ จามิกรณ์ ดาราสาวมากประสบการณ์ และตัวแม่วงการนางแบบ การันตีด้วยตำแหน่ง Model of the World 2004 

ความใหม่ที่ว่ายังรวมถึงพิธีกรอย่าง ปืน-สธน ตันตราภรณ์ ที่ใครอาจจะไม่คุ้นหน้าคุ้นตา แต่สำหรับแวดวงอุตสาหกรรมแฟชั่น ต้องรู้จักเขาดีในฐานะ ‘คนครบเครื่อง’ พร้อมไปด้วยประสบการณ์มากมายคือ อดีตรองบรรณาธิการบริหาร Vogue Thailand, ผู้อำนวยการฝ่ายแฟชั่นของ L’Officiel Thailand, นักวิจารณ์แฟชั่น, เจ้าของธุรกิจ, ยูทูบเบอร์ และนักแสดงละครเวที

แม้จะเป็นที่ยอมรับในฐานะคนในแวดวงและความสามารถ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า สธนเป็นอีกคนหนึ่งที่ต้องแบกคำวิจารณ์ทุกสารทิศภายในชั่วข้ามคืน โดยเฉพาะ ‘ซีนร้องไห้’ สั้นๆ ที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาทางลบในทิศทางเดียวกัน ทว่าเขากลับเน้นย้ำอย่างหนักแน่นกับเราว่า นี่คือเรื่องจริงในอุตสาหกรรมแฟชั่นที่มากกว่าความหรูหราในเบื้องหน้า และรายการ The Face Thailand ได้สร้างคุณูปการสำคัญคือ การแง้มประตูบานนั้นออกมาให้สาธารณชนได้เห็น

“อุตสาหกรรมแฟชั่นเป็นอุตสาหกรรมปิดประตูล็อกไม่ให้คุณเห็น แต่จริงๆ มันมีน้ำตาเยอะมากนะ” 

The Momentum พาทุกคนทำความรู้จักสธนในแบบ Exclusive และผ่าเบื้องหลังรายการ The Face Thailand ที่เป็นดังภาพสะท้อนของอุตสาหกรรมแฟชั่นทั่วโลกไปพร้อมกัน

EP1

“ทุกคนเกิดมาพร้อมกับเสื้อผ้าอยู่แล้ว”

ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ แต่เท่าที่สธนจำความได้ ความสนใจแฟชั่นของเขาเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ เหมือนกับมนุษย์ที่เกิดมาพร้อมกับเครื่องแต่งกาย โดยเฉพาะการเติบโตในครอบครัว ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องเสื้อผ้าเป็นทุนเดิม ทั้งคุณปู่ในฐานะนักการทูต และคุณย่าภรรยาทูต คุณแม่ที่คลุกคลีกับวงการความสวยความงาม หรือแม้แต่รายละเอียดเล็กๆ ในตู้เสื้อผ้าของคุณพ่อที่ดูห่างไกลจากความเป็นแฟชั่น แต่สธนจดจำได้อย่างดีคือ การเรียงเสื้อเชิ้ตเป็นระเบียบ ไล่สีจากขาว ครีม ไปจนถึงสีเสื้อที่เข้มที่สุด

หนังสือเล่มหนึ่งในความทรงจำที่บุกเบิกความสนใจของเด็กชายสธนในวัย 10 ปีอย่างเป็นรูปธรรมคือ ELLE นิตยสารแฟชั่นสำหรับผู้หญิง เขาจดจำได้ว่า ในระหว่างเดินช็อปปิงกับคุณแม่ ได้เดินไปแผงหนังสือและสะดุดตากับปกหนังสือสีขาวที่มีนางแบบฝรั่ง เหมือนกับว่ามีอะไรบางอย่างดึงดูดให้หยิบขึ้นมา 

“จำได้ว่าตอนที่พลิกดูตื่นเต้นมาก มันมีเสื้อผ้าบนสิ่งที่เราไม่รู้อย่าง Catwalk หรือ Runway ด้วย มันมีเสื้อผ้าที่อัศจรรย์มาก มีหนัง เพลง หรือคนดังที่เคยเห็นในทีวี ก็เลยเห็นว่า ความสนใจของเรามีชุมชนเฉพาะ มีนิตยสารเฉพาะทางของมัน”

แม้จะมีจุดเปลี่ยนในชีวิตคือ การตัดสินใจเรียนในสาขาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  ด้วยความเชื่อดั้งเดิมที่ว่า ตนไม่ได้คิดจะเอาความชอบอย่างแฟชั่นเป็นอาชีพ แต่ใฝ่ฝันเป็นนักแสดงละครเวทีมากกว่า ซึ่งก็ประสบความสำเร็จตั้งแต่แรกเริ่ม ด้วยการเดบิวต์ในละครเวที บัลลังก์เมฆ เดอะมิวสิคัล (2544 และ 2545) และร่วมงานกับ บอย-ถกลเกียรติ วีรวรรณ เจ้าพ่อละครเวที และสินจัย เปล่งพานิช เจ้าแม่จอแก้วในยุคนั้น ขณะที่เขาก็รู้สึกว่า ตนควรมี ‘แบ็กอัป’ ทางวิชาการ เพื่อสร้างชีวิตที่มั่นคงบ้าง เพราะชีวิตในวงการบันเทิงไม่แน่นอน และความยาวนานของอาชีพน่าตั้งคำถาม

โชคดีที่ในระหว่างเรียน สธนได้ทำ 2 สิ่งที่ชื่นชอบไปพร้อมกัน ได้พบปะผู้คน พาตัวเองไปคลุกคลีในแวดวงแฟชั่นอย่าง ELLE Fashion Week และ Bangkok Fashion Week ก่อนผู้ใหญ่จะเห็นแวว และทาบทามให้ทำงานที่นิตยสาร Cosmopolitan ตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ จนเขารู้ตัวว่า ตนเองได้ทุกอย่างที่ต้องการหมดแล้ว ทั้งอยู่ในละครเวที วงการบันเทิง และมีแบ็กอัปทางวิชาการ จึงตัดสินใจเรียนต่อปริญญาโทที่ Istituto Marangoni สาขา Luxury Brand Managament ที่ลอนดอน สหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นเรื่องแปลกสำหรับคนยุคนั้นที่คิดว่า การไปเรียนแฟชั่นเท่ากับการกลับมาเป็นดีไซเนอร์เท่านั้น

“ชีวิตไหลไปอัตโนมัติ ลืมตาอีกทีก็อยู่ตรงนี้แล้ว” คือคำตอบจากสธนกับการเป็นคนในแวดวงแฟชั่น โดยในช่วงที่ผ่านมา เขาเคยทำงานให้กับ Vogue Thailand ในตำแหน่งรองบรรณาธิการ และรองบรรณาธิการบริหาร ทั้งฉบับนิตยสารและออนไลน์เป็นเวลา 7 ปีเต็ม ก่อนหน้านั้นเป็นผู้อำนวยการฝ่ายแฟชั่นให้ L’Officiel Thailand และ L’Officiel Homme, บรรณาธิการบริหาร L’Optimum Thailand รวมถึงบทบาทอื่นๆ อย่างที่ปรึกษาด้านภาพลักษณ์ ผู้อยู่เบื้องหลังแบรนด์แฟชั่นลักชูรี เช่น Chanel, Gucci, Louis Vuitton และอาจารย์เนิร์ดแฟชั่นที่มักถ่ายทอดเรื่องราวของแฟชั่นที่มากกว่าแค่ความหรูหราอีกด้วย

เพราะสำหรับสธน เสื้อผ้าไปได้ไกลกว่าการบอกแค่ว่า เสื้อผ้าตัวนี้สวยไหม วันนี้คนรอบตัวแต่งตัวอย่างไร แต่คำถามที่ใหญ่กว่านั้นคือ เสื้อผ้าทำงานอย่างไรกับเรา ซึ่งเขามองข้ามขั้นไปในฐานะแฟชั่น แต่เป็นสไตล์และการสร้างภาพลักษณ์ให้กับผู้คน 

ปืนมองตัวเองเป็น Writer ซึ่งในยุคปืนไม่ค่อยมี Fashion Writer ที่วิจารณ์แฟชั่นมากนัก เหมือนเวลาเราอ่านใน New York Times, International Herald Tribune หรือ​​ The Washington Post ที่มีตัวละครแบบ ซูซี เมนเคส (Suzy Menkes) หรือโรบิน กิวแฮน (Robin Givhan) ที่เขาพูดถึงนิยามความหมายของเสื้อผ้าที่ไม่ได้บอกแค่ว่า เสื้อผ้าสวยนะ ตัวนี้อินเทรนด์นะ แบรนด์นี้แพงจังเลย ถูกจังเลย เก๋จังเลย แต่เป็นการถ่ายทอดว่า การสวมใส่เสื้อผ้าชิ้นนั้นๆ บ่งบอกความหมายอะไร

“เราเลยพยายามจะทำแนวทางนี้ พยายามสอดแทรกคีย์เวิร์ดมาตลอดว่า เสื้อผ้าเป็นมากกว่าเสื้อผ้านะ เสื้อผ้าเป็นอะไรได้บ้าง และเสื้อผ้าสะท้อนอะไรกับคนใส่ เช่นวันนี้คนนี้อาจจะไม่ได้คิดอะไร แต่พรุ่งนี้ถ้าขึ้นเวทีไปทำอะไรที่สำคัญ เสื้อผ้าส่งเสริมอะไรได้บ้าง ที่มากกว่าเพียงแค่ความงาม แต่มีความหมายแฝง

“เสื้อผ้ามันเป็นมากกว่านั้น เสื้อผ้าทำให้จากที่เราเป็นเด็ก กลายเป็นผู้ใหญ่ได้ไหม เสื้อผ้าทำให้จากที่เราไม่มีอำนาจ แล้วมีอำนาจได้ไหม เสื้อผ้าทำให้จากที่เราไม่สวยในพิมพ์นิยม ดูดีขึ้นได้ไหม ซึ่งนอกเหนือจากเสื้อผ้าก็ยังมีหน้า ผม บุคลิก สิ่งแวดล้อม และทุกๆ อย่างเกี่ยวข้อง” 

 

EP2

หลายคนอาจจะคิดว่า สธนเป็นแฟนรายการ The Face Thailand ตัวยง และสานฝันตนเองด้วยการตอบรับในฐานะพิธีกรของรายการในซีซัน 6 แต่เจ้าตัวก็ดับฝันด้วยคำสารภาพที่ว่า เขาไม่ใช่ Big Fan ของรายการ หรือมีอาการ ‘อินเกิน’ จนต้องนั่งดูเกาะจอเหมือนใครๆ

“The Face Thailand มาพร้อมกระแสที่ใหญ่มาก ใหญ่มากจนเรารู้สึกว่า ไม่ดูก็เหมือนดู เราปะติดปะต่อเรื่องได้ เพราะคลิปมามากมายขนาดนั้น เรารู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ไม่ต้องนั่งดูหรอก แค่นั่งอ่านเอาใน Facebook ก็รู้แล้วว่ามีอะไรเกิดขึ้น มันมาหมดทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งมงทั้งมีม ฉะนั้นเรารู้ว่าเกิดอะไรขึ้น มีกระแสอะไร เราได้ดูในบางตอน เราเปิดทีวีมาบางครั้ง ก็นั่งดู แต่ไม่ใช่แฟนคลับ” 

สำหรับจุดเริ่มต้นบทบาทพิธีกรคนใหม่ The Face Thailand ซีซันล่าสุด ต้องย้อนกลับไปตั้งแต่ช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ปรากฏว่า วันหนึ่งสธนได้รับสายรุ่นพี่สุดน่ารักอย่างปิยะรัฐ ที่โทร.มาถามไถ่อัปเดตชีวิตว่า ตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่ แต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไร เพราะเป็นปกติของอุตสาหกรรมบันเทิงอยู่แล้ว ที่ผู้ใหญ่มักมีไอเดียอะไรบางอย่างกับคนในแวดวง แล้วโทร.มาถามสารทุกข์สุกดิบ

กระทั่งปี 2023 ทั้ง 2 คนวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ในระหว่างนั้น สธนได้กลับมาเล่นละครเวที โดยรับบทตัวเอกที่ต้องแต่งหญิงในละครเวที ENDSTATION ซึ่งดัดแปลงจากผลงานในตำนานอย่าง A Streetcar Named Desire (1951) จึงตัดสินใจชวนปิยะรัฐมาดู เพราะเห็นว่า ทายาทกันตนาสนใจประเด็น LGBTQIA+ และอาจเป็นกระบอกเสียงช่วยบอกต่อผู้คน

แต่แล้วในช่วงต้นปี 2025 สธนได้รับสายโทรศัพท์จากพี่ชายคนสนิทอีกครั้ง โดยขอให้เขามาที่สตูดิโอกันตนา ก่อนจะเซอร์ไพรส์ทาบทามขอให้เป็นพิธีกร The Face Thailand Season 6 ด้วย 2 เหตุผล คือ ปิยะรัฐต้องการยกเครื่องเปลี่ยนรายละเอียดในรายการที่ผ่านมาแล้ว 6 ปี และมองเห็นศักยภาพของสธนจากการแสดงละครเวทีครั้งก่อน ซึ่งก็ทำให้เขาสนใจว่า ความตั้งใจของว่าที่พิธีกรจะช่วยเติมเต็มตัวละครที่กำลังหาในรายการนี้ได้ไหม

“ปืนก็ตอบกลับไปว่า พี่เต้คิดถูกแล้วที่ต้องเปลี่ยนแปลง อุตสาหกรรมแฟชั่นไม่ได้พูดประโยคเดิม ก่อนหน้านี้เราเคยพูดว่า คุณอ้วนไป ไปลดน้ำหนักสิ น้ำหนักแบบนี้เป็นนางแบบไม่ได้ อย่างแรกเลย คุณพูดไม่ได้แล้ว อย่างที่ 2 คือมันผิดด้วย เพราะยุคนี้คนเขาเป็นนางแบบได้ แค่ชุดความคิดเล็กๆ แค่นี้มันก็เปลี่ยนไปหมดแล้ว 

“เพราะฉะนั้น วันนี้ปืนก็เห็นด้วยว่า นี่คือคำตอบที่โอเค พี่เต้ไม่ได้ตอบอะไรที่เป็นความเข้าใจผิด เราเข้าใจตรงกันว่า อุตสาหกรรมนี้ต้องการการเปลี่ยนแปลง ถ้าพี่เต้เดินมาบอกว่า พี่เต้จะทำซีซัน 6 ที่เหมือนเดิมทุกอย่าง ปืนก็จะบอกว่า สวัสดีลาก่อน ปืนไม่ได้คิดแบบเดียวกัน แต่เราเห็นบางอย่างร่วมกันว่า ใช่ ความคิดน่าสนใจ และความสำเร็จของรายการมาจากเจ้าของและทีมงานที่เขาทันโลก”

แม้ตอนแรก สธนกะจะขอเวลาสัก 2 สัปดาห์ แต่เขาก็เปลี่ยนใจตัดสินใจตอบตกลงทันทีที่ได้รับทาบทาม โดยไม่ถามเรื่องเวลาและเงินทอง โดยเชื่อว่า ‘คิดไปแล้วได้อะไรขึ้นมา’ เพราะเขาเองก็ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับอุตสาหกรรมบันเทิงนี้มากพอจะให้ใคร่ครวญตกตะกอน แล้วมาตอบตกลงทีหลัง

“ของบางอย่างไม่จำเป็นต้องรอให้สมบูรณ์พร้อม มันไม่มี Textbook ที่ต้องไปเรียนว่า บริษัทกันตนาทำงานกันอย่างไร แล้วปกติรายการ The Face Thailand จัดการยังไง ต่อให้กลับไปนอนคิดที่บ้าน ก็คิดไม่ออกหรอก มันก็ต้องกลับมาที่คำถามว่า จะทำหรือไม่ทำอยู่ดี

“สิ่งที่ทำให้ตอบในวันนั้น ปืนพูดกับทุกคนว่า มันคือความอยากรู้อยากเห็นว่า รายการ Reality ที่เขาว่าไม่มีบทนี่ เราก็อยากรู้ว่าไม่มีบทจริงไหม แล้วที่มันถ่ายหน้าทั้งหลายกันแบบปุ๊บปั๊บ เราก็อยากรู้ว่ามีกล้องทั้งหมดกี่ตัว ไฟกี่ดวง ทีมงานกี่ชีวิต ระบบวิธีการทำงานของบริษัทที่คนในอุตสาหกรรมบันเทิงบอกกันว่าคลาสสิกนั้น บอกกันว่าบริษัทไหนจะใหญ่กว่าบริษัทนี้ จะมีกล้องมากกว่าบริษัทนี้ เขาขนาดนั้นจริงไหม 

“ปืนอยากเห็นสิ่งเหล่านี้ เพราะอุตสาหกรรมแฟชั่นทำงานแตกต่างกัน เราก็คิดว่า ทำก็ได้ ไม่มีไอเดียด้วยซ้ำว่าจะพาตัวเองไปตายหรือเกิด”

 

EP3

“สธนที่คุณเห็นในรายการกับที่บ้าน เป็นคนละคนกัน”

พิธีกรรายการ The Face Thailand ตอบคำถามของเราว่า เขาทำการบ้านและเตรียมตัวอย่างไร ซึ่งแน่นอนว่า ต่อให้รายการไม่มีสคริปต์ แต่ด้วยธรรมชาติของรายการเรียลลีตี การเพิ่มเติม ปรุงแต่ง หรือลดทอน เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้รายการกลมกล่อมขึ้น โดยที่เขายังวางบทบาท จังหวะ หรือแม้แต่คำพูดบางอย่างได้เหมือนกับคนอื่นๆ ไปร่วมกัน

“เพราะในท้ายที่สุด อะไรก็แล้วแต่ที่อยู่หน้ากล้อง มันจัดการและบริหารได้ มันคือน้ำเสียงหรือบุคลิกที่เรานำเสนอ แล้วถ้าคุณคิดว่ามันคือตัวตนจริงทั้งหมด เหมือนกับเวลาเราเดินเล่นอยู่สยามฯ หรือซื้อของอยู่ในซูเปอร์มาร์เก็ต ก็น่าเสียดาย เพราะหลายอย่างมีการวางหมากไว้ด้วย” 

“แต่ถามว่า มันเป็นตัวปืนไหม ใช่ ปืนทำงานอยู่ในวงการแฟชั่นมานานเกิน 20 ปี เวลาทำงานเราก็มีน้ำเสียงแบบนี้ เพราะอุตสาหกรรมบันเทิงไม่ใช่เรื่องสวยงามเท่านั้น แต่เป็นเรื่องธุรกิจ ความเด็ดขาด มันเป็นเรื่องของการ โอเค เอาแบบนี้ จบนะ แยกย้าย เลิกกอง เอาอะไรอีกไหม เราก็หยิบประสบการณ์จากตรงนั้นตรงนี้มาใช้”

นอกจากการเป็นพิธีกรประจำรายการ หนึ่งเรื่องที่ผู้ชมไม่รู้คือ สธนยังมีตำแหน่งอีกอย่างคือ Editor ประจำรายการ ซึ่งเป็นสิ่งที่ปิยะรัฐตั้งใจว่า The Face Thailand ไม่ต้องการแค่พิธีกรในแบบเดิมๆ เพียงแค่รับกติกา เข้ากล้อง และคุมความเป็นไป แต่ต้องการคนในอุตสาหกรรมแฟชั่นที่เข้าใจว่า วงการนี้ทำงานอย่างไร

“พี่เต้ต้องการคนที่นั่งในห้องประชุมกับเขา แล้วบอกได้ว่า ธีมการแข่งขันนี้สมเหตุสมผลไหม คนในอุตสาหกรรมแฟชั่นเขาไปทางนี้กันไหม เขาเชื่อเรื่องนี้กันหรือเปล่า มันถึงมีหลาย Dialogue ที่สะท้อน ซึ่งมันมาจากการประชุมว่า โลกของแฟชั่นไม่ได้ต้องการคนสวยพิมพ์นิยมแบบเดียว แต่ต้องการคนที่มีเรื่องราวจากข้างใน นั่นจึงเป็นที่มาของธีมในซีซันนี้คือ Power of Self, Own Your Value ซึ่งแปลว่า ตัวละครต้องหยิบความมั่นใจหรือปมออกมาเล่นได้ 

“หรือแม้แต่เกมการแข่งขันเอง มันมีเกมการทดสอบอาชีพที่มากกว่านางแบบหรือนักแสดง มันกลายเป็นอาชีพที่ไปถึงอินฟลูเอนเซอร์ ขายของไลฟ์ ถึงนางงาม เพราะท้ายที่สุดแล้ว ปืนมองว่า The Face Thailand ซีซันนี้ สร้างความแตกต่างบางอย่างให้เห็นว่า เราไม่ต้องการให้ผู้ชนะเพียงคนเดียวได้อยู่ในวงการนี้นะ นี่คือตลาดที่เราคัดมาให้แล้ว อย่างน้อยที่สุดก็ 10 คน คุณสามารถเลือกคนนี้ไปอยู่บนบิลบอร์ด เป็นนักร้อง นักแสดง หรือเล่นละครเวทีได้ เราคือเอเจนซี”

สำหรับสธน The Face Thailand คือสิ่งที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริงในอุตสาหกรรมแฟชั่น ซึ่งปกติแล้วมักปิดประตูและไม่มีคนส่วนใหญ่เห็น แต่รายการแง้มเบื้องหลังออกมา ตั้งแต่แคมเปญจนถึงการคัดเลือกผู้ชนะในแต่ละ EP ที่หลายคนอาจรู้สึกว่าไม่ตรงใจ

“คนที่ผู้ชมเห็นจากการตัดต่อไปแล้วว่า คนนี้ต้องชนะแน่ๆ เลย ปรากฏว่าอีกคนชนะ คุณอาจจะคิดว่ามันค้าน แต่อุตสาหกรรมแฟชั่นจริงๆ มันเป็นเรื่องจริงที่เมื่อการแข่งขันจบแล้ว ทั้งกรรมการ ลูกค้า และปืนในฐานะโฮสต์และ Editor ซึ่งไม่ได้เป็นเมนเทอร์ เราเห็นวิธีการทำงานของคนทุกคน 

“หลายครั้ง ปืนเป็นคนที่ลูกค้าและกรรมการหันมาถามว่า คุณว่ายังไง เราก็จะแจงกลับว่า เราเห็นแบบนี้แบบนั้น ซึ่งเขาจะเห็นตามหรือไม่ ก็สิทธิ์ของเขา แต่นี่คือบทบาทหนึ่ง ซึ่งพี่เต้และทีมงานเลือกและมาลงที่ปืน”

 

EP4

ปฏิเสธไม่ได้ว่า The Face Thailand เป็นหนึ่งในรายการที่เผชิญกับ ‘ทัวร์ลง’ มากที่สุดจากโลกโซเชียลฯ ตั้งแต่เจ้าของรายการ เมนเทอร์ ผู้เข้าแข่งขัน พิธีกร จนถึงคนตัดต่อ และหนึ่งในเรื่องที่สธนถูกวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุดคือ การที่เขา ‘ร้องไห้’ ในห้องคัดเลือกไปพร้อมกับเมนเทอร์ บ้างถึงกับวิจารณ์ว่า เขาอยากมีซีน เก็บอารมณ์ไม่เป็น หรือไม่เหมาะสมกับการเป็นพิธีกร

สธนพูดถึงประเด็นดังกล่าวอย่างมั่นใจว่า นี่ไม่ใช่กระแสวิจารณ์ครั้งแรกของเขา เมื่อย้อนกลับไปในบทบาทเดิมคือ การเป็นบรรณาธิการที่วิจารณ์ประเด็นทางแฟชั่นอย่างตรงไปตรงมา ในทางกลับกันประเด็นทัวร์ลงเป็นสิ่งธรรมชาติ โดยเฉพาะกับรายการ The Face Thailand ที่ผู้ชมเป็นดังตัวละครหนึ่ง ทำให้ความแซ่บในรายการทวีคูณยิ่งขึ้น 

“เสน่ห์ของ The Face Thailand คือความเรียลไทม์ พร้อมให้ทุกคนได้มีส่วนร่วม ผู้ชมในทุกช่องทางคือตัวละครหนึ่งในสตูดิโอของเรา เราไม่ได้ทำอะไรมาเพื่อให้มันอยู่แค่ในจอ เสพแล้วจบ แต่เราสร้างพื้นที่ที่คุณอยู่กับเรา รู้สึกร่วมไปกับเรา แล้วดีกรีของความแซ่บของรายการอาจจะมาแค่ 60% แต่เพราะผู้ชมให้ค่า มันจึงเพิ่มเป็น 100% ในวินาทีนั้น

“ปืนคิดว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมชาติ แล้วบางทีก็อาจจะจำเป็นต้องมีทัวร์แบบนี้ เพื่อให้รายการมันฟู่ขึ้นมาทีเดียว ปืนไม่ได้บ่มิไก๊ เข้ามาอยู่ในรายการแล้วคิดว่า พรุ่งนี้ออนแอร์ หน้าฉันเปิดตัวแล้วคนทั้งประเทศจะค้นพบขวัญใจคนใหม่ เรารู้อยู่แก่ใจว่า เนื้องานมันสุ่มเสี่ยงมาก แต่เพราะมองว่า รายการนี้มีความสำคัญกับชีวิตฉันเหมือนกัน ฉันอยากรู้ ฉันจึงเข้ามา 

“ปืนมองว่า ตัวเองอยู่ในอุตสาหกรรมแฟชั่น รายการได้เข้ามาใช้ตัวละครในวงการจริงๆ แน่นอนว่า พี่เกด (เมทินี กิ่งโพยม) หรือหลายๆ คนก็เป็นตัวจริง แต่ในฐานะพิธีกร การที่เขาเลือกจะใช้บุคคลที่ไม่ใช่ชื่อเสียงโด่งดังในวงกว้าง ทั้งที่กันตนาสามารถใช้ดาราดังๆ คนไหนก็ได้ แต่กันตนาเลือกใช้บุคลากรจริง ตรงนี้ถือเป็นการให้เกียรติอุตสาหกรรมที่เป็นหม้อข้าวของปืนมากๆ เหตุใดปืนจะปฏิเสธเกียรติยศนี้ โดยเฉพาะเมื่อมันตรงมาที่เรา” 

สธนยังย้ำว่า อยากให้แต่ละคนอย่าลืมบทบาท ‘ผู้ชม’ ของตนเอง ที่ไม่เห็นความจริงทั้งหมดด้วย เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่า ทุกสื่อมีการออกแบบ และคัดฉากบางอย่างออกมาให้ชม ซึ่งในเบื้องหลังของรายการยังมีอะไรมากมายกว่านั้น เต็มไปด้วยความกดดันจากการทำงานข้ามวันข้ามคืน บางคนถึงกับร้องไห้ตั้งแต่ยังไม่เข้าห้องดำ ดังนั้นสิ่งที่พอจะเป็นไปได้คือ การตัดซีนน้ำตาที่พอจะเมกเซนส์มาให้ได้เห็นกันบ้าง เพื่อให้ผู้ชมเข้าใจ 

“เรานั่งตรงนั้น เราไม่ได้เป็นเพียงโฮสต์ และไม่ได้มีความคาดหวังว่า ผู้ชมจะเห็นเราเป็นเพียงหุ่นยนต์ เป้าหมายของเราคือคนที่ให้เราเข้ามา เขาต้องการให้ผู้ชมเห็นจริงๆ ว่า อุตสาหกรรมแฟชั่นเป็นอย่างไร ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นคนแบบเรา 

“เวลาที่เรานั่งออดิชัน เราออดิชันคนมามาก บางครั้งเราเห็นเด็กบางคนอยากเป็นนางแบบมาก แต่ไปต่อไม่ได้ เขามีปัญหา ซึ่งเวลาเรายิ้ม เรายิ้มให้กับความสำเร็จของเขาจริงๆ เวลาเสียใจ เราเสียใจไปกับเขา เพราะเราช่วยเขาไม่ได้”

“อุตสาหกรรมแฟชั่นเป็นอุตสาหกรรมปิดประตูล็อกไม่ให้คุณเห็น แต่จริงๆ มันมีน้ำตาเยอะมากนะ แล้วถ้าเกิดคุณดูสารคดี The September Issue คุณจะเห็น แอนนา วินทัวร์ (Anna Wintour) เชือดงานของ เอ็ดวาร์ด เอ็นนินฟูล (Edward Enninful) จนเขาเดินออกมาร้องไห้กับ เกรซ คอดดิงตัน (Grace Coddington) หลังจบการประชุม บางทีเราอยู่ในปี 2025 มนุษย์ก็ยังมีความเป็นมนุษย์แบบนั้น”

แต่ในอีกด้านของคำวิจารณ์บนโลกโซเชียลฯ​ สิ่งที่สธนได้รับในโลกความเป็นจริงคือ การให้กำลังใจและความรักจากผู้ชม โดยหลายครั้งด้วยกัน ที่มีคนทักทายและให้กำลังใจเขาเวลาเจอตัวจริงๆ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ทำให้ใจฟู ขณะที่เป้าหมายสูงสุดของเขาในบทบาทพิธีกรรายการ The Face Thailand คือการทำให้คนรู้จักแวดวงแฟชั่นมากขึ้น

“ปืนไม่ได้อยากให้คนจำในแง่ของคนที่ถูกวิจารณ์หรือชื่นชม แต่อยากถูกจดจำในแง่ที่ว่า ถ้าเขาสนใจเราต่อ มันจะพาไปสู่การค้นหาต่อว่า คนแบบเราเป็นใครมาจากไหน แล้วเขาก็จะถูกลากมาสู่อุตสาหกรรมที่เราทำงานอยู่ทั้งละครเวทีหรือแฟชั่น 

“ปืนอยากให้ทุกคนเห็นอุตสาหกรรมนี้เยอะๆ ให้คนอื่นมาเห็นบ้างว่า คนในอุตสาหกรรมแฟชั่นไม่ได้อยู่บนหอคอยงาช้าง แล้วก็จ้องมองลงมา ใส่เสื้อคอตั้ง แต่งหน้าจัด แล้วบอกว่า ข้างล่างเป็นอย่างไรบ้าง ปืนไม่ได้เป็นคนแบบนั้น

“อุตสาหกรรมแฟชั่นสำหรับปืน มีความเป็นประชาธิปไตย คือทุกๆ คนเลือกใส่สิ่งที่ตัวเองต้องการได้ ปืนไม่ตัดสิน เหมาะกับคุณแบบนี้ อะไรเหมาะคือคุณบอกเอง ฉันไม่บอก ปืนมาจากยุคที่เคยบอกว่า อันนี้ผิด อันนี้ถูก ซึ่งเรื่องกาลเทศะ ทุกวันนี้ก็ยังให้ค่าอยู่ แต่โดยรวมถ้าคุณเลือกจะใส่อะไรมา วันนี้ก็เรื่องของคุณแล้ว ไม่ว่ากัน เราอยู่ในยุค 2025 ที่จริงๆ อาจจะล้ำไปเป็น 2030 แล้วด้วย คุณควรจะคิดล่วงหน้าไปแล้ว”

 

EP5

“ต้องลองถึงจะรู้”

คือคำแนะนำจากสธนในการเข้าสู่วงการแฟชั่นสำหรับคนรุ่นใหม่ โดยคุณสมบัติสำคัญคือ ต้องรู้เรื่องความเป็นไปในโลกดีและอ่านหนังสือเยอะ เพราะทุกวันนี้อุตสาหกรรมต้องการอะไรที่มากกว่าคนแต่งตัวสวยโก้ เหมือนในภาพยนตร์ The Devil Wears Prada (2006)

“ตอนนี้คำถามคือ คุณทำงานได้ไหม คุณคิดอย่างไรกับเสื้อผ้า เราอยู่จุดนี้ต่างหาก ปืนมีภาคที่เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย และมักพูดกับนักเรียนแฟชั่นเสมอว่า อย่าเป็นตัวเองแบบที่ผุดขึ้นมาจากดินแล้วเป็นเลย ให้ดูก่อนว่าน้ำในดินที่ปลูกสร้างเราขึ้นมามีแร่ธาตุอะไรบ้าง แล้วงอกเงยขึ้นมาให้สัมพันธ์กันกับโลก

“ปืนเข้ามาในวันที่ตนเองไม่คิดว่า แฟชั่นเป็นตัวกรองชนชั้น เราเป็นบรรณาธิการที่มองว่า เมื่อสังคมตกสะเก็ดในแง่เศรษฐกิจ แฟชั่นทำงานอย่างไร สีแบบไหนที่ลูกค้าจะลงทุน เมื่อโลกเฟื่องฟู แล้วยามสงครามยุติ ผู้คนมีเงินมากขึ้น คนเลือกแต่งตัวแบบไหน ประวัติศาสตร์มันฟ้องเสมอว่า คนเราใส่สีสันสดใสเพราะอะไร หรือรายละเอียดของเสื้อผ้าเกิดจากอะไร

“แฟชั่นเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับโลก ถ้าโตขึ้นมาแล้วอ่านแต่นิตยสารแฟชั่นอย่างเดียว คุณจะเป็นบุคลากรที่แคบ หัดอ่านหนังสือพิมพ์บ้าง อ่านข่าวการเมืองบ้าง รู้ความเป็นไปในอุตสาหกรรมอื่นบ้าง แล้วมันจะหลอมรวมสหบูรณาการ จนทำให้แฟชั่นของคุณเป็นเรื่องที่กลมกล่อม

“ยุคนี้เด็กรุ่นใหม่ทดลองได้เยอะ คุณมีพื้นที่เยอะมาก แต่ต้องลงมือทำ จึงจะค้นพบโดยอัตโนมัติว่า แฟชั่นที่คิดว่าชอบ สุดท้ายคุณอาจไม่ชอบก็ได้ และปืนพูดเสมอว่าอุตสาหกรรมแฟชั่นไม่ได้ต้องการเด็กที่เรียนหรือเข้ามาเพื่อเป็นดีไซเนอร์เท่านั้น ยังคงมีอาชีพอีกมากมายนักรอคอยคุณอยู่ บางคนอาจจะเป็นนักเขียน บรรณาธิการ พอดแคสเตอร์ เจ้าของโรงงานกระดุม บางคนอาจกลายเป็นช่างตัดเย็บ ช่างฝีมือ ช่างทำแพตเทิร์น วันนี้คนที่สามารถเปิดบริษัทเย็บผ้าที่มีฝีมือ รับงานหลากหลายรูปแบบ เผลอๆ จะรวยกว่าดีไซเนอร์ด้วยซ้ำ 

“อีกสิ่งที่เราพูดบ่อยคือ ลองเป็นแบบสธนก็ได้นะ ปืนพูดเสมอว่า สิ่งหนึ่งที่คิดว่าเกิดขึ้นแล้วดี คือการเป็นแฟชั่นเนิร์ด ปืนเป็นเนิร์ด เป็นนักวิชาการ ลึกๆ ข้างในเป็นคนสนใจประวัติศาสตร์ แต่หัวข้อที่พูดถึงมันดันเป็นแฟชั่น ซึ่งคนคิดว่ามีแต่เรื่องหรูหรา เกี่ยวกับเสื้อผ้า การตัดเย็บ แต่จริงๆ คือฉันเป็นนักวิเคราะห์ และสิ่งที่ฉันวิเคราะห์คือไทม์ไลน์ของแฟชั่นกับโลกและสังคม 

“ข้อมูลนี้ทำให้เราสามารถเป็นอะไรมากมายมากกว่าแค่ วันนี้เรามาอันบ็อกซ์กระเป๋า Chanel ใบใหม่ที่เพิ่งซื้อมากันนะ ราคา 4.5 แสนบาท ใบนี้หายากมากเลย ซึ่งไม่ผิด แต่ปืนไม่อยากเป็นแค่นั้น 

“อ่านหนังสือให้เยอะเข้าไว้ ทำความเข้าใจโลกที่อยู่อาศัย ศึกษาแฟชั่นให้ลึก เกินเลยไปกว่าซีซันนี้มีเทรนด์อะไร และแค่อยากแต่งตัวตาม แล้วเมื่อคุณเริ่มจากจุดนั้นได้ การเข้ามาในอุตสาหกรรมนี้ก็ไม่น่ายาก แม้จะยังไม่เปิดกว้างที่สุด แต่เริ่มแง้มประตูบ้างแล้ว ฉะนั้นถ้าอยากฝากอะไร ก็อยากบอกว่าต้องลงมือลอง เพราะถ้าแค่ฝันว่าจะเป็นคนแฟชั่น มันไม่ได้เป็นหรอก” สธนทิ้งท้าย

Fact Box

  • สธนเคยเป็นรองบรรณาธิการบริหาร Vogue Thailand, ผู้อำนวยการฝ่ายแฟชั่น L’Officiel Thailand, บรรณาธิการ L’Officiel Homme, บรรณาธิการบริหาร L’Optimum Thailand รวมถึงบทบาทอื่นๆ เช่น ที่ปรึกษาด้านภาพลักษณ์ ผู้อยู่เบื้องหลังแบรนด์แฟชั่น Luxury อย่าง Chanel, Gucci, Louis Vuitton
  • สธนเป็นนักเล่าเรื่องแฟชั่น ศิลปวัฒนธรรม และบันเทิงคดี ในรายการ Something’s Story และ Solo Story ทั้งยังเป็นแขกรับเชิญระดับดาราช่องประจำค่าย Farose
  • สธนจบการศึกษาชั้นปริญญาตรีที่สาขาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และปริญญาโท สาขา Luxury Brand Managament ที่ Istituto Marangoni
  • สธนเคยแปลหนังสือนิยายแปลเรื่อง ชุดใหม่ใจกะพริบกับนิวยอร์กทริปของมิสซิสบราวน์ เป็นหนังสือขายดีติดชาร์ตหลายสัปดาห์ในสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ แปลจาก My Mrs. Brown ซึ่งประพันธ์โดย วิลเลียม นอริช (William Norwich) อดีตบรรณาธิการนิตยสาร Vogue อเมริกา
  • สธนเลี้ยงสุนัขสายพันธุ์มอลทีส ชื่อท็อฟฟี่
Tags: , , , , , , , , , , , , , ,