หากพูดถึงชื่อ เพ็ชรทาย วงษ์คำเหลา กับภาพยนตร์ หลายคนอาจไม่รู้ว่า ก่อนจะเป็นที่รู้จักกับค่ายสหมงคลฟิล์ม เขาคือนักแสดงที่วิ่งผ่านไปมาหน้ากล้องในตระกูลหนังผีปอบปี 2534-2537 อยู่หลากหลายเรื่อง
“ช่วงแรกๆ ของผม คือการได้แสดงหนังตระกูลผีปอบ คือหน้าที่เรามีแค่วิ่งหนีผีเท่านั้นเลย ซึ่งส่วนใหญ่หนังพวกนี้ เขาจะกำหนดมาแล้วว่า ต้องมีนักแสดงคนนี้คนนั้น ต้องมีพี่ซูโม่กิ๊ก (เกียรติ กิจเจริญ) มีพี่ติ๊ก (ชาญณรงค์ ขันทีท้าว) มีทีมตลกของเทพ โพธิ์งาม ซึ่งผมก็คือหนึ่งในนั้น ไม่อย่างนั้นหนังจะฉายไม่ได้
“แล้วหนังก็จะไม่เข้าโรงภาพยนตร์นะ จะไปฉายในงานหนังกลางแปลง หรือไปเข้าโรงภาพยนตร์ต่างจังหวัดส่วนใหญ่”
เมื่อถามความรู้สึกถึงการได้แสดงครั้งแรกว่าเป็นอย่างไรบ้าง เพ็ชรทายเล่าว่า ในตอนนั้นเขาเริ่มสังเกตและจดจำว่าในการถ่ายหนังเรื่องหนึ่งทำอย่างไรกันบ้าง
“ขอโทษที ตอนนั้นไม่ได้สักแต่จะวิ่งนะ ในกองถ่ายผมก็ดู ผมก็สังเกตตลอด ดูว่าเขาถ่ายกันอย่างไร จัดแสงแบบไหน เลยไม่แปลกที่พัฒนาจนกลายเป็นผมทุกวันนี้”
ตอนนั้นมีคนเห็นแววของคุณในฐานะนักแสดงบ้างไหม
“ไปเล่าให้ใครฟัง ไม่มีให้เขาเชื่อหรอก ตอนนั้นคนรู้จักหม่ำว่าเป็นตลกอย่างเดียว แต่จริงๆ อีกมุมหนึ่งผมเป็นคนชอบดูหนังมาก หนังฝรั่ง หนังจีน ดูหมด เพียงแต่ไม่ได้ไปเล่าให้ใครฟัง
“อย่างหนังจีนนี่ เป๊ะเลยนะ ไม่ต้องดูภาพเลย เอียงหัวฟังเสียงอย่างเดียวก็รู้เลยว่าค่ายไหนจัดจำหน่าย… แทม แท่ม แท่ม แท้ม แท้ม แบบนี้ TVB The Shaw Brothers Studio ตูม ตู้ม ตูม ตู้ม โกลเด้น แบบนี้คือ Golden Harvest คือเรารู้ทันที”
หลังจากนั้นไม่นาน เพ็ชรทายก้าวเข้าสู่วงการภาพยนตร์อย่างเต็มตัว ด้วยการเป็นนักแสดงในภาพยตร์ของค่ายหนังยักษ์ใหญ่อย่างสหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล และมีผลงานสร้างชื่อในบท อ้ายหำแหล่ จากเรื่ององค์บาก (2546) และวงศ์คม ในเรื่องบอดี้การ์ดหน้าเหลี่ยม (2547)
“ตอนจะแสดงเรื่ององค์บาก พูดกันตรงๆ นะ มันง่ายมาก คือพี่ปรัช (ปรัชญา ปิ่นแก้ว) เขาพูดคำเดียวเลย บทนี้คือคนอีสานที่กะล่อน เท่านั้นแหละ โป๊ะเช๊ะเลย แบบนี้เป็นผมอยู่แล้ว อีกอย่างคือเราเป็นคนช่างสังเกต เวลาใครบอกให้เล่นบทไหน ก็จะสังเกตละว่า คนแบบนี้เขาทำตัวกันอย่างไร หรือในหนังที่เคยดูมา เขาแสดงบทประมาณนี้เอาไว้แบบไหน
“ถ้าบอกว่าให้เล่นเป็นตำรวจในบอดี้การ์ดหน้าเหลี่ยมก็มาเลย บุคลิกของ เควิน คอสต์เนอร์ (Kevin Costner) ในเรื่อง The Bodyguard (2535) ที่ต้องมาดูแล วิตนีย์ ฮิวสตัน (Whitney Houston)หรือในบทเรื่องคู่แรด (2550) ที่ต้องเป็นกะเทย ผมก็สังเกตเลย ช่างแต่งหน้าในกอง เขามีลักษณะอย่างไร แล้วเราก็เลือกเลย กูจะเล่นแบบนี้ เป็นคนนี้ แค่นี้เลย การแสดงของผมมาจากการสังเกตและจดจำผู้คน”
แม้เพ็ชรทายให้ความสำคัญกับการออกแบบคาแรกเตอร์ของบทที่ได้รับ แต่สิ่งที่เขามองว่าเป็นเรื่องสำคัญอันดับแรกที่นักแสดงที่ดีต้องมี คือความเป็นมืออาชีพและตรงต่อเวลา
“ตรงต่อเวลา ผมว่าเรื่องนี้สำคัญที่สุด ถ้ากองถ่ายนัด 6 โมงเช้า ก็ต้องไป 6 โมงเช้า แม้จะมีคิวถ่ายทำบ่าย 3 ก็เถอะ จะไปโวยวาย จะไปว้ากใส่ก็ไม่ได้ แบบนั้นไม่มืออาชีพ เพราะเขาเหมาเรามาทั้งวันแล้ว หน้าที่ของเราคือทำตามคำสั่งให้ได้
“แต่หากพูดถึงเรื่องการแสดง เรื่องการสังเกตกับมีตัวละครในหัวก็สำคัญ ทุกวันนี้ผมก็จะมีคนในหัวอยู่ตลอด ถ้าวันนี้จะให้เล่นบททนาย ผมก็จะมีหน้าทนายตั้ม (ษิทรา เบี้ยบังเกิด) ไม่ก็ทนายเดชา (เดชา กิตติวิทยานันท์) ในหัว ถ้าจะให้เป็นนักสนุกเกอร์ก็มีอยู่ไม่กี่คน รอนนี โอซุลลิแวน (Ronnie O’Sullivan), จัดด์ ทรัมป์ (Judd Trump) หรือต๋อง ศิษย์ฉ่อย (วัฒนา ภู่โอบอ้อม) ก็สังเกตไปสิ เขาเดินแบบไหน เขาวางมืออย่างไร” เพ็ชรทายเล่า
ส่วนเวลาสังเกตบุคลิกคนต้องดูอะไรบ้าง เพ็ชรทายอธิบายว่า แต่ละคน แต่ละอาชีพ มีบุคลิกเด่นที่แตกต่างกันไป สิ่งสำคัญคือต้องสังเกตให้เห็น แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยของตัวเขา โดยเขายกตัวอย่างวิธีการขยับปากของ เดนเซล วอชิงตัน (Denzel Washington) ที่มีเอกลักษณ์จนทำให้เป็นนักแสดงที่มีบุคลิกแตกต่างไปจากคนอื่น
“เคยสังเกตไหม เวลาเดนเซลพูด ปากเขาจะเผยอตลอด ไม่รู้เป็นอะไร แต่ทำให้เวลาเขาพูดอะไร เขาแสดงอารมณ์แบบไหน มันดูเข้าท่าเหลือเกิน
“ดังนั้น ผมจะชอบดู ชอบจำ ชอบสังเกต ไม่ใช่แค่นักแสดง แต่ทั้งหมดเลยของภาพยนตร์ ละคร เพลง อื่นๆ ด้วย คือเอาเป็นว่าอะไรที่เกี่ยวกับวงการบันเทิง ผมเป็นคนหนึ่งที่เอาใจใส่กับมันมากๆ”
หลังจากนั้นเพ็ชรทายลองสวมอีกบทบาทกับการเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ และมีผลงานสร้างชื่ออย่างเรื่องแหยม ยโสธร (2548) ไปจนถึงผลงานที่หลายคนใช้คำว่า ‘อิหยังวะ’ อย่างเรื่องโป๊ะแตก (2553)
“แหยม ยโสธรเป็นหนังที่ผมอยากทดลอง อยากลองทำหนังแบบสมัยก่อน ก็เลยนำเสื้อผ้าไปย้อมสี ให้มันแป๋นแหล๋นเลย ตอนแรกตั้งใจทำภาพให้เป็นฝอยๆ (Grain) ด้วย ผมบอกกับทีมงานไปแบบนั้น เพราะไม่รู้ว่าจะเรียกมันว่าอะไร เราไม่มีความรู้ เลยต้องพึ่งเขา แต่พอลองทำออกมาแล้วรู้สึกว่ามันรำคาญ มันยุบยิบตา ก็เลยเอาออก
“จะเรียกว่าเป็นผลงานที่ได้ลองทำ ได้รู้จักอะไรหลายๆ อย่างกับการเป็นผู้กำกับก็ได้
“แต่สำหรับโป๊ะแตกนี่พิเศษหน่อย” เพ็ชรทายเกริ่นถึงหนังอีกเรื่องที่สร้างปรากฏการณ์ของตัวเอง
“เวลาบอกให้คนอื่นไปดูหนังเรื่องนี้ เชื่อว่าร้อยทั้งร้อยตอบไม่ได้หรอก เวลาอีกฝ่ายถามกลับมาว่า มันคือหนังเกี่ยวกับอะไร”
“เรื่องอะไรวะโป๊ะแตก หนังเป็นอย่างไรวะ”
“ไม่รู้หนังเหี้ยอะไรก็ไม่รู้”
“แล้วมึงจะให้ดูทำห่าอะไรวะ”
“หึ่ย มึงไปดูก่อน ไม่รู้เรื่องไม่เป็นไร แต่มึงไปดูก่อน”
เพ็ชรทายจำลองสถานการณ์ตัวอย่างเวลามีคนพูดถึงหนังเรื่องนี้
“จริงๆ แล้ว ผมตั้งใจให้เป็นวิดีโอตลก ถ้าภาษาคาเฟ่เราจะเรียกกันแบบนี้ มันคือการถ่ายทอดเบื้องหลังของกองถ่าย ที่กำลังถ่ายหนังทับซ้อนกันอีกที คือตัวหนังจะเป็นอย่างไรไม่ต้องรู้หรอก ผมอยากให้สนใจคนหลังกล้องมากกว่า ซึ่งทุกอย่างมันเรื่องจริงทั้งนั้น ฉากกินข้าวด้วยมือก็เรื่องจริง เอาคนมาทาตัวดำทั้งเรื่องก็เรื่องจริง
“เรื่องนี้ลงทุนนิดเดียวเองนะ แต่ดังถล่มทลาย วันนี้คนยังพูดถึงเลย” เพ็ชรทายอธิบายอย่างอารมณ์ดี
เมื่อถามต่อว่า มีหนังประเภทไหนอยากทำอีกบ้างไหม เพ็ชรทายเล่าว่า ในหัวตอนนี้มีไอเดียพล็อตหนังเต็มไปหมด เพียงแต่ด้วยงบประมาณและการติดต่อในด้านต่างๆ ทำให้หนังในฝันยังไม่เกิดขึ้น
“ถ้าเป็นไปได้นะ ผมอยากจะเอา โจว ซิงฉือ (Stephen Chow) เอา จิม แคร์รีย์ (Jim Carrey) มาเล่นเครียดๆ เลย แต่เป็นตลกแบบเครียดๆ คือให้มันฮาแบบอึดอัด มาเล่นตลกร้ายใส่กัน ไม่ต้องเล่นหน้าเล่นตา แล้วเสริมทัพด้วย เควิน ฮาร์ต (Kevin Hart ), คริส ทักเกอร์ (Chris Tucker) หรือจะเอา โรแวน แอตกินสัน (Rowan Atkinson) ที่ชอบเล่นหน้าเล่นตา เอามาพูดเยอะๆ เลย ดูสิจะเป็นอย่างไร
“เพียงแต่ผมไม่รู้จะต้องทำอย่างไร จะต้องคุยกับใคร จะเอาเงินที่ไหนไปจ้างเขา”
แม้หนังในฝันของเพ็ชรทายยังไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในเร็ววันนี้ แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขายังคงเป็นนักแสดงและผู้กำกับที่โลดแล่นอยู่ในวงการภาพยนตร์มาตลอด ผ่านผลงานหลากหลายเรื่อง จนถึงผาดำคำไอ่ ซินเดอเรลล่าสตอรี่ ที่ผลิตโดย STUDIO, SSJ Entertainment, 36 Corporation และบั้งไฟ ฟิล์ม โดยมีเพ็ชรทายควบคุมการสร้างและร่วมแสดงในบทพระราชาผาเงิน
“หนังเรื่องนี้ก็เป็นหนังย้อนยุคเมื่อหลายร้อยปีที่แล้ว เป็นหนังประเภทพีเรียด (Period Movie) เล่าถึงเรื่องรักๆ ของเจ้าชายผาดำ (แสดงโดย ยุทธนา เปื้องกลาง) ที่กำลังตามหารักแท้ จนไปเจอสาวบ้านนอกคนหนึ่งชื่อ คำไอ่ (แสดงโดย สุพาพอน สมวิจิด) ที่อยู่กับแม่เลี้ยงใจร้าย (แสดงโดย เอ็นดู วงษ์คำเหลา) ก็กลายเป็นเรื่องซินเดอเรลล่าที่ทุกคนรู้จัก แต่คราวนี้เป็นแบบฉบับลูกทุ่ง”
สุดท้ายเมื่อถามเพ็ชรทายในฐานะคนรักภาพยนตร์ว่า การเป็นนักแสดง ผู้กำกับ กระทั่งการเป็นคนชอบดูหนังให้อะไรกับคุณ เขาตอบเพียงสั้นๆ ว่า
“คำเดียวเลยครับ คำว่าความสุข ทั้งที่ตัวเราได้รับเอง และได้มอบกับคนอื่น คือเราเองเวลาดูหนังก็มีความสุขแล้วนะ แต่พอได้เห็นเขาหัวเราะกับหนังที่เราทำนี่มีความสุขยิ่งกว่าอีก”
สำหรับ ผาดำคำไอ่ ซินเดอเรลล่าสตอรี่ เข้าฉายแล้ววันนี้ในโรงภาพยนตร์ (25 กรกฎาคม 2567) สามารถดูตัวอย่างได้ทาง
Tags: หม่ำ, หม่ำ จ๊กม๊ก, เพ็ชรทาย วงษ์คำเหลา, องค์บาก, บอดี้การ์ดหน้าเหลี่ยม, แหยม ยโสธร, ผาดำคำไอ่, โป๊ะแตก, The Frame